สวัสดีจร้า พบกับเราอีกแล้ว BB-Knight TV วันนี้ เราพาทุกคนมาอินเตอร์ซะหน่อย หลังจากพาขึ้นดอยขึ้นเขามาหลายทู้ละ ประเทศที่เราจะรีวิวนั้น ก็คือประเทศมาดากัสการ์นั่นเอง!!



ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยกับการไปต่างประเทศ (ถ้าไม่นับตอนที่เราไปสังขละบุรี และออกไปพม่าขำๆ ไม่กี่ชั่วโมง) ซึ่งครั้งแรกก็มาประเทศยากๆ และไกล๊ไกลเล้ย 555+



เราอาจจะเขียนรีวิวละเอียดหน่อยเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราเดินทางมาต่างประเทศ เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นข้อมูลทั่วๆ ไปที่คนอื่นรู้อยู่แล้ว และอีกอย่างเท่าที่เราดูรีวิว ก็ยังไม่ค่อยเห็นรีวิวประเทศมาดากัสการ์มากนัก แถมข้อมูลที่จำเป็นก็หายากด้วย เราจึงรีวิวให้ละเอียดเท่าที่จะทำได้ละกันเนอะ

ทริปนี้เราไปกัน 4 คน (ช 1 ญ 3) ค่าใช้จ่ายทุกอย่างหารเฉลี่ยทั้งหมด และเช่ารถพร้อมคนขับที่พูด Eng ได้นิดโหน่ยย ซึ่ง 4 คนเป็นปริมาณคนที่พอดีเลยล่ะ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งคิดเรทที่ 1-4 คน ถ้ามากกว่านี้จะเป็นอีกเรทราคานึง และบางห้องพักก็นอนได้เต็มที่ 4 คน รถที่นั่งก็นั่งประมาณ 4-5 คนกำลังดีที่เหลือก็วางกระเป๋า อะไรประมาณนี้แหละ



ก่อนที่เราจะเริ่มรีวิวเนื้อหาหลัก เรามาทำความรู้จักกับมาดากัสการ์ในมุมมองของเราที่ไปอยู่มาประมาณ 10 วันกันก่อนเนอะ อันที่จริงสรุปตรงนี้เป็นข้อมูลที่แทรกๆ อยู่ในรีวิวเรานี่แหละ แต่เราเขียนสรุปออกมาก่อนสำหรับคนที่ไม่อยากอ่านแบบยาวๆ ละกันเนอะ



1. ถ้าคุณคาดหวังว่าจะมาตามรอยการ์ตูนเรื่องมาดากัสการ์ ที่มีสัตว์น้อยใหญ่ หรืออยากเห็น Big Five แบบในหนังล่ะก็ อย่ามาที่นี่เลย (มันมีแค่ในการ์ตูนเท่านั้น ขนาดไกด์ท้องถิ่นบางคนยังไม่เคยดูการ์ตูนเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ) ให้คุณหยุด Stop อยู่ที่ Kenya นั่นแหละ เพราะมาดากัสการ์ สัตว์ที่ใหญ่ที่สุดถ้าไม่นับ Zebu หรือวัวของที่นี่ ก็คือตัว Indri หรือพี่ใหญ่ของ Lemur นั่นเอง

2. สกุลเงินของที่นี่ใช้หน่วย Ariary ซึ่ง 100 Ar ก็ประมาณ 1 บาทไทย คิดง่ายๆ ก็คือราคาของทุกอย่างตัด 0 ไป 2 ตัว ซึ่งเงินของที่นี่เป็นแบงค์ล้วนๆ ไม่มีเหรียญ ซึ่งจะมีแบงค์ 100/ 200/ 500/ 1,000/ 2,000/ 5,000/ 10,000/ 20,000 ซึ่งแบงค์ 20,000 ของเขาก็คือ 200 บาทไทยเรานี่แหละ ดังนั้นเงิน 1 ล้าน Ariary คงไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะถือเงินเยอะแค่ไหน *0*

3. เมืองหลวงของที่นี่ชื่อ Antananarivo และมีชื่อย่อๆ ว่า Tana ซึ่งเราจะเรียกในรีวิวนี้ เพราะไม่อยากเขียนยาว ๆ -*-



4. ประเทศมาดากัสการ์ ถือว่าเป็นประเทศที่กันดารและยากจนมาก ถึงจะอยู่ไม่ไกลจาก Kenya (ค่อนข้างเจริญ พอๆ กับไทยเราเลย) ที่เราต่อเครื่องบินมา แต่สภาพบ้านเมืองคนละยุคเลย คุณจะพบคนจรจัดได้ทั่วๆ ไปในเมืองหลวงและตามที่ต่างๆ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งถ้าคุณคิดว่าชนบทในไทยที่ว่าแย่แล้ว บอกเลยที่นี่ต้องคูณไปอีก 10 เท่า!



5. Visa แบบ On Arrival มีแบบ 30, 60 และ 90 วัน ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าจะทำยากหรือทำไม่ผ่าน เพราะVisa ที่นี่ทำง่ายมาก ไม่กี่นาทีก็เสร็จ ไม่ทงไม่ถามอะไรซ้ากคำ ขนาดเรา Passport ขาวๆ ยังผ่านเลย พูดง่ายๆ ก็คือ แค่มีเงินก็เข้าได้แล้ว ซึ่งราคาตอนนี้(6.4.18)อยู่ที่ 35EUR/คน/30Day



6. Kenya Airway แบกน้ำหนักได้เยอะมาก สายขนทั้งหลายจัดไป โหลดใต้เครื่องได้ 2 ใบ ใบละ 23 โลแถมแบกขึ้นเครื่องได้อีกคนละ 12 กิโลด้วย ขาช็อปนี้มันส์สะใจแน่นวล หุหุหุ



7. สนามบิน Nairobi ที่ Kenya และที่ Madagascar มี Free Wifi 1 ชั่วโมง แต่ต้อง Activate ก่อนถึงใช้ได้



8. การฉีดวัคซีน Yellow Fever ไม่ได้ฉีดเพื่อป้องกันคนที่มาจากมาดากัสการ์ แต่ฉีดสำหรับคนที่มาจาก Kenya ซึ่งที่จริงที่มาดากัสการ์ ตม. ก็ไม่ได้ตรวจสมุดนะ แต่กลับมาที่ไทยโดนตรวจแน่นอน ถ้าลืมฉีดไปก็อาจจะต้องฉีดที่สนามบินไทยตอนขากลับทีเดียว



9. มาดากัสการ์มีเพียง 2 ฤดูเท่านั้น คือ ฤดูฝนและฤดูร้อน โดย ฤดูฝนเริ่มที่เดือน Nov – Apr ส่วนฤดูร้อนเริ่มที่ May – October ซึ่งเดือนเมษาที่เราไปอยู่ช่วงปลายฝน จึงไปป่าหิน Tsingy de bemaraha ไม่ได้เนื่องจากทางไปเน่ามากๆ และต้องข้ามแพยนต์ ดังนั้นช่วง High Season ที่คุณจะเที่ยวได้ครบทุกที่คือช่วงหน้าร้อนนี่ล่ะ ที่ควรระวังคือ ไม่ควรไปมาดากัสการ์หน้าพายุไซโคลน ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม เสี่ยงต่อการเจอแจ๊คพ็อต หรือไม่ก็อาจจะทางขาด ฝนตกตลอดเวย์ จะอดเที่ยวเอา



10. การเที่ยวประเทศนี้ไม่ได้โหดร้าย ผจญภัย ใช้ร่างกายเปลืองอะไรถือว่าสบายเลยล่ะ (ถ้าไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวสายประหยัด นั่งรถตู้ชาวบ้านเดินทาง หรือหาที่พักข้างทางนอน) คนอายุ 50-60 ก็มาได้สบายๆ แค่ทนกับอากาศร้อนให้ได้ก็พอ ซึ่งเราก็เห็นฝรั่งผู้หญิงน่ารักๆ มาเที่ยวคนเดียวกับไกด์เยอะแยะ



11. มาดากัสการ์ เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ดังนั้นเรื่องของภาษาและวัฒนธรรมต่างๆ จึงคล้ายกับฝรั่งเศส อย่างเช่นการปิดร้านค้าต่างๆ ในวันอาทิตย์เป็นต้น = =”



12. ที่นี่ใช้ภาษา Malagasy เป็นภาษาหลัก ภาษารองคือ France หรือภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษอันดับ 3 ซึ่งร้านอาหารบางแห่งไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ มีแต่ France ก็มีนะ ดังนั้น ถ้ามีเพื่อนพูดฝรั่งเศสได้รีบชวนเข้าตี้โดยด่วนเลย



13. คำว่าสวัสดีของที่นี่คือ “ซลามา” ขอบคุณคือ “แมสซี่”



14. ถ้าคุณเป็นคนหน้าเอเชีย และไปเดินตามเมืองต่างๆ คุณจะโดนเหมารวมว่าเป็นคนจีนทันที จะมีคนมาทักคุณว่า Ni Hao หรือหนักกว่านั้นคุณอาจจะโดนกวนทรีนโดยภาษาจีนแบบมั่วๆ ใส่กลับมา



15. เวลาของที่มาดากัสการ์ช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง อย่าลืมปรับนาฬิกาหรือใส่นาฬิกาที่เปรียบเทียบ 2 เวลาได้ด้วย



16. ซิมโทรศัพท์และเน็ตของที่นี่ค่อนข้างแพง ประมาณพันกว่าบาท ซึ่งเอาจริงๆ มันไม่จำเป็นเลย ถ้าเราเราเช่าคนขับรถเดินทาง เพราะยังไงแล้วโรงแรมทุกที่ที่เราพัก (ยกเว้นเกาะ Akanin'ny Nofy) มี Wifi ซึ่งเราไม่ได้ซื้อซิมก็อยู่กันได้นะ



17. Super Market และ Minimart หรือร้านค้าปลีกในแทบทุกที่ ไม่มีถุงใส่ของให้ บางที่ต้องซื้อเพิ่ม หรือไม่ก็ต้องแบกเอง ดังนั้นพกถุงส่วนตัวมาช็อปด้วยนะจ๊ะ



18. สิ่งที่เป็น Signature ของมาดากัสการ์เลยก็คือต้น Baobab กับตัว Lemur ซึ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปตัวเองกับวิวหรืออะไรซักอย่าง คงต้องเป็นสองอย่างนี้แหละที่จะเอาไว้อวดชาวบ้านชาวเมืองได้ เพราะที่นี่วิวสวยๆ จะอยู่ตามข้างทาง ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสได้หยุดถ่ายเท่าไหร่หรอก



19. Lemur นิสัยคล้ายๆ ลิงบ้านเรานี่แหละแค่เปลี่ยนหัวให้กับมันแค่นั้น ถ้าเป็นตัวที่อยู่ในป่า มันจะไม่ชินกับคน แต่ถ้าเป็นตัวที่เลี้ยงไว้ตามโรงแรม มันจะเชื่องมากไม่ต่างกับแมวเบย *-*



20. ของขึ้นชื่อของมาดากัสการ์อีกอย่างหนึ่งก็คือวนิลา (ได้ชื่อว่าเป็นวนิลาที่ดีที่สุดในโลก) หาซื้อได้ที่ในเมืองหลวง Tana หรือไม่ก็ตลาด la. Digue (ลาดีค) ทางระหว่างสนามบินกับเมือง Tana ซึ่งจะขายแพงมากๆ อย่างวนิลา 1 ชุดมี 4 ฝัก 800 บาท พวกเราต่อแบบดุเดือดมากจนเหลือ 200 บาท ดังนั้นคนที่ Fight ต่อราคาเก่ง ๆ จำเป็นมากสำหรับการมาตลาดนี้



21. หากแพลนเที่ยวของคุณมีเมือง Morondava อยู่ด้วยสิ่งที่อยากบอกเลยคือเมืองนี้ ความน่าสนใจไม่ได้มีแค่เพียง Avenue Baobab, Kirindy Forest หรือ Tsingy de bemaraha (ป่าหินที่ได้รับ Unesco) เพียงเท่านั้น เมืองนี้มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น เดินชมเมือง เล่นน้ำทะเล ขึ้นเรือไปดูการจับปลาของชาวประมง (ใช้เวลา 3ชม. ในตอนเช้า) ร้านอาหารทะเลที่แสนจะถูก ของขายพื้นเมือง เช่น ผลไม้บลาๆ ก็ถูก คนก็ดูเป็นมิตรต่างจากเมืองหลวง ซึ่งที่นี่ไม่มีคนมาเดินก่อกวนเราด้วย แถมทักทายแบบเป็นมิตรด้วยอีกต่างหาก และตกดึกยังมีวิถีชีวิตการช็อปปิ้งในตลาดกลางคืน ซึ่งคุณควรจะมีวัน Free day อยู่ในเมืองซักวันนึง แต่ถ้าเวลาจำกัดและไม่ไป Tsingy de bemaraha ให้ตัด Kirindy Forest ออก แล้วช่วงเช้าถึงบ่ายก็จัดกิจกรรมในเมืองเต็มที่จร้า



22. หากคุณไม่ต้องการเสียเวลาในการเดินทางไป Morondava ถึง 2 วันจาก Tana (ทั้งตอนไปและกลับ) และคุณไม่ได้บินในประเทศด้วย ให้คุณใช้บริการรถตู้สาธารณะแบบ VIP ซึ่งลืมภาพรถตู้แน่นๆ ตามชนบทที่ต้องอัดแย่งกันขึ้นไปได้เลย เพราะรถตู้ที่มีระดับหน่อยจะเป็นแบบนั่งใครนั่งมัน ซึ่งมันสามารถเดินทางต่อเนื่องได้ถึง 14 ชม. เลยทีเดียว (รายละเอียดตามเอาเนอะ)



23. ชาวต่างชาติสำหรับคนในชนบทถือว่าเป็นอะไรที่แปลกตามาก คุณจะโดนมุง มองยังกะตัวประหลาดแหนะ ซึ่งเด็กๆ จะเรียกคนต่างชาตินี้ว่า “ฟาซา” และก็ตามด้วย “มันนี่” นั่นก็คือขอเงินนั่นและ = =”



24. คุณจะโดนขอเงินเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่ลงมาสนามบิน รวมถึงตอนกลับด้วยจะมีเด็กขนกระเป๋า ถ้าคุณไม่อยากเสียตัง พยายามปฏิเสธความช่วยเหลือซะ และโดยเฉพาะเมืองเมืองใหญ่ๆ แถบสลัม หรือตามชนบทที่เป็นชุมชนใหญ่นี่หนักสุด ขอกันรัวๆ เป็นอะไรที่สร้างความรำคาญสุดๆ ไปเลย



25. การบริจาคของให้กับคนในชนบทของที่นี่ พยายามให้กับกลุ่มที่เล็กๆ เพราะถ้าคุณเห็นเด็กเยอะๆ แล้วเข้าไปให้ของล่ะก็ อารมณ์จะเหมือนโดนฝูงซอมบี้รุมแบบในหนังเลยล่ะ *0*



26. เวลาหลัง 6 โมงหรือเวลาพระอาทิตย์ตกของประเทศมาดากัสการ์นี้ เป็นเวลาที่ไม่ควรออกมาเดินเล่นนอกที่พัก โดยเฉพาะเมืองหลวง Tana และเมืองอื่นๆ เพราะมันอันตราย และในหลาย ๆ จุดก็ไม่มีไฟส่องสว่างเลย



27. ทางทิศเหนือของประเทศมาดากัสการ์ คนมักจะไปเที่ยวเกาะ ชายหาดทางภาคเหนือกัน แต่มันไกลจากเมืองหลวงมาก ดังนั้น ถ้าจะเที่ยวควรต้องบินภายในประเทศด้วย แต่เราไม่ได้ไปในทริปนี้



28. ทางทิศใต้ของประเทศมาดากัสการ์ คนก็มักจะไปเที่ยวดูต้น Baobab อีกเช่นกัน แต่ว่าค่อนข้างไกล แต่ถนนยังทิศใต้ถือว่าเป็นถนนที่ดีที่สุดของประเทศมาดากัสการ์แล้ว นั่นคือถนนหมายเลข 7 ซึ่งมีคนไทย และคนต่างชาติบางส่วนไปทำธุรกิจแถวๆ นี้ด้วย เพระมีธุรกิจเกี่ยวกับพลอยอยู่



29. สภาพอากาศทางด้านตะวันออกเป็นแบบร้อนชื้นคล้ายๆ ของไทยเรา ฝนตกแทบทั้งปีตั้งแต่ Mar- Sep แต่อากาศทางด้านตะวันตกก่อนถึงแถบเมือง Morondava จะเป็นแบบร้อนแห้ง แบบโคตรร้อน ถ้าใครคิดว่าไทยร้อนแล้ว ก็อย่ามาประเทศนี้เลย ขนาดวัดอุณหภูมิจากในรถยังถึง 35C ถ้านอกรถไม่ต้องพูดถึง!!!



30. ทะเลทางทิศตะวันออกน้ำใสน่าเล่นมาก ต่างจากทางตะวันตกที่คลื่นค่อนข้างแรง และไม่ค่อยจะใสเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหากต้องการเล่นน้ำทะเล ให้ไปทะเลทางด้านตะวันออกโลด

31. สภาพถนนทางทิศตะวันออกของมาดากัสการ์ จะเป็นทางโค้งเยอะมาก อารมณ์เหมือนขับรถไปเชียงราย บวกกับทางแคบมาก มุมอับก็เยอะ ใครที่เมารถเตรียมยาไปด้วย.. ต่างกับทิศตะวันตกที่ไม่ค่อยมีทางโค้งเท่าไหร่ แต่อากาศร้อนมากๆ



32. ถ้าคุณเป็นนักท่องเที่ยวสายหลับ จะตื่นเมื่อถึงปลายทาง และไม่มีบินในประเทศด้วย บอกเลยว่าคุณจะเที่ยวไม่คุ้มเลยนะ เพราะทริปนี้คุณจะหมดเวลาไปกับการเดินทางเยอะมาก ดังนั้นการเสพบรรยากาศ วิถีชีวิตของคน และธรรมชาติ 2 ข้างทางก็ถือเป็นการเที่ยวอย่างหนึ่งเช่นกัน



33. การเที่ยวเดินทางภาคพื้นดินในประเทศนี้มีอยู่ 2 ทางหลักๆ ก็คือ เช่ารถพร้อมคนขับ หรือนั่งรถตู้โดยสาร แต่ที่นี่จะไม่ค่อยเดินทางตอนกลางคืน เนื่องจากสภาพถนนที่ค่อนข้างแคบมาก ทางบางจุดก็พัง ไม่มีไฟส่องถนนเลยซักจุดสำหรับทางชนบท ดังนั้นสำหรับคนที่คิดจะเดินทางกลางคืนและหลับบนรถถึงเช้าแล้วเที่ยวต่อเลิกคิดเลย



34. การขับรถของที่นี่จะใช้แตรเป็นหลัก (แต่ไม่เท่าที่อินเดีย) ทั้งการกดเพื่อให้คนอื่นหลบทาง ใช้ในการทักทายกันระหว่างรถ หรือแม้กระทั่งใช้บอกลักษณะทางข้างหน้าเพื่อให้คันหลังแซงไปได้ ซึ่งกดกันชนิดที่ว่าถ้ามาทำที่ไทยคงสลบคาทรีนไปแล้วล่ะ -*-



35. ที่นี่มีตำรวจคอยตั้งด่านค่อนข้างเยอะ ชนิดที่ว่าขับจาก Tana ถึง Morondava โดนไปอย่างต่ำ 5 ด่าน สิ่งที่คุณต้องเตรียมคือ Passport ที่มี Visa ในเล่มให้คุณตำรวจตรวจดู แต่ไม่บ่อยหรอกที่จะตรวจนักท่องเที่ยว แต่คนขับจะโดนตลอด และถ้าโดนข้อหา ก็แค่พับแบงก์เล็กๆ แล้วก็ยื่นให้ก็จบ



36. เลิกคิดที่จะเช่ารถขับเองออกนอกเมืองเลย ถ้าคุณอ่านมาถึงข้อนี้น่าจะรู้ว่าทำไม



37. การเตรียมอาหารมากินเองก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาหารบางอย่างของที่นี่รสชาติก็ไม่ถูกปากคนไทยนัก และบางครั้งเราต้องเดินทางยาวๆ เพื่อทำเวลา หรือไม่ก็ประหยัดงบค่าอาหาร ซึ่งเราแนะนำเอาข้าวแบบสำเร็จรูปพร้อมกิน น้ำพริกต่างๆ หรือเนื้อปรุงสำเร็จรูป เพราะร้านอาหารข้างทาง (ไม่นับร้านที่มีระดับ) ของมาดากัสการ์ ให้ข้าวเยอะสะใจมว๊ากก



38. ถ้าคุณเป็นนักเดินทางสายประหยัดที่คิดว่า Hostel หรือโรงแรมจะมีครัวให้ใช้ เลิกคิดอีกเช่นกันที่จะเอาวัตถุดิบไปทำกิน เพราะที่พักประเภทนั้นหายากมากๆ หรือแทบจะไม่มีเลย



39. ราคาอาหารตามร้านอาหารของมาดากัสการ์นี้ ถ้าเป็นตามโรงแรมหรือร้านอาหารที่ค่อนข้างดูดีหน่อยจะอยู่ที่ประมาณ 9,000 – 14,000 Ar หรือประมาณ 90 – 140 บาทในเมนูที่มีเนื้อสัตว์ ซึ่งถือว่าแพงมากๆ ถ้าเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของที่นี่ตกคนละ 60บาท/วันเท่านั้น ส่วนร้านอาหารข้างทางที่พอรับได้ จะอยู่ที่ 3,500 – 7,000 ก็ยังถือว่าแพงอยู่ดี เทียบกับผัดกระเพราบ้านเราจานละ 40 บาท ยังอร่อยกว่าเลย



40. คนที่นี่ไม่ค่อยกินอาหารรสจัด ถ้าหากคุณเอาอะไรจากไทยที่เผ็ดๆ ให้พวกเขากินอย่าลืมเอาน้ำให้เขากินด้วยล่ะ



41. Palmarium Hotel หรือเกาะ Akanin'ny Nofy ค่อนข้างพิถีพิถันในเรื่องของการกินอาหาร ถ้าพักที่นี่ ควรมีความรู้เรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารในระดับหนึ่ง เพราะที่นี่ แขกส่วนใหญ่มาจากยุโรป ซึ่งถ้าคุณกินแบบแปลกๆ คุณจะโดนมองด้วยสายตาจากแขกคนอื่น //แต่สำหรับพวกเราไม่สนหรอกเฟ้ย!!! 555+



42. ที่นี่เป็นสวรรค์ของคนกินเนื้อวัว เพราะ Zebu หรือวัวที่นี่เยอะมาก เลี้ยงกันแทบทุกหมู่บ้าน และที่พลาดไม่ได้อีกอย่างสำหรับนักกินคือ Lobster ที่เมือง Morondava ได้ข่าวว่าถูกมว๊ากกก ตัวละ 300 บาทไทย (เราไปไม่ทันหมดก่อน T.T) และอีกที่คือใกล้ๆ โรงแรมที่เราพักที่ Tana (วันที่ไปก็ปิดอีก T^T)



43. ถ้าคุณพลาดโอกาสจาก Lobster อาหารทะเลขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ “Cameron” ซึ่งมันไม่ใช่กิ้งก่า คาเมเลียนนะ มันคือกุ้งที่ขนาดใหญ่กว่ากุ้งปกติ และมันอร่อยมาก อยู่ในเมือง Morondava นี่ล่ะ



44. สวรรค์ของที่นี่อีกอย่างคือ เบียร์และเหล้าของที่นี่ถูกมากๆ เบียร์ขวดใหญ่ราคาประมาณ 20-30 บาทไทยเอง ส่วนวอดก้าขวดนึงไม่เกินร้อยบาท เหล้าที่เห็นแพงที่สุดเท่าที่เห็นบนชั้นในห้าง ขวดแค่พันต้นๆ เท่านั้น



45. ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะเห็นเครื่องดื่มหรืออาหารกึ่งสำเร็จรูปบางชนิด Import มาจากไทย ดังนั้นเวลาจะซื้อของกิน ควรดูด้วยว่าผลิตมาจากไหน อย่างคนในตี้เราซื้อน้ำ Aloe-vela จาก Minimart พอมาดูฉลากป๊าดด Made in สมุทรสาครบ้านเรานี่แหละ 555+



46. ตามชนบทเราจะเห็นคนเดินไปเดินมาเยอะมาก พวกเขามีวัตถุประสงค์ในการเดินที่หลากหลาย บ้างก็ไปทำงานในอีกเมือง บ้างก็ไปเรียน บ้างก็ไปซื้อของในตลาดซึ่งไมได้เปิดกันทุกวัน และในตอนกลางวันอากาศร้อนนรกมากๆ แต่เขาก็ยังเดินกันได้ แถมไม่ใส่รองเท้ากันอีกตะหาก



47. คนในชนบทเสียเวลาไปกับการเดินเยอะมาก เข้าใจว่าคงต้องการประหยัด และรถโดยสารก็ไม่ได้มีมากนัก แถมน้ำมันที่นี่แพงกว่าที่ไทยอีก คือ 33 บาท/ลิตร ซึ่งเทียบค่าแรงขั้นต่ำแล้วโคตรแพงเลย ดังนั้น มอไซด์ส่วนใหญ่ของที่นี่จึงเป็น Scooter คันเล็กๆ 50cc – 70cc หรือพวกมอไซด์วิบาก และพบได้เฉพาะใกล้ๆ เมืองเท่านั้น ส่วน Big bike ก็มีนะ อย่าง Tmax530, BMW C650 หรือตัวพัน แต่พบได้น้อยมาก



48. ตลาด “ลาดีค” เป็นศูนย์รวมของของฝากทุกสิ่งทุกอย่างบนเกาะมาดากัสการ์นี้ ถ้าหากซื้อของที่เมืองต่างๆ หรือตามข้างทางที่นั่งรถผ่านไม่ทัน ให้มาซื้อที่นี้ได้ แต่ราคาจะแพงกว่าปกติ ซึ่งก็ต้องใช้ทักษะการต่อราคาขั้นสูงเลย ราคาของที่นี่ถ้าเป็นพวกของฝากหรือที่ไม่ใช่ของที่กินได้ทันทีมักจะ up กำไรไว้อย่างต่ำ 50% ดังนั้นการต่อราคาจำเป็นมากหากคุณไม่ใช่สายเปย์



49. ลูก Baobab และพืชทุกชนิดที่มีขายตามตลาดหรือที่ต่างๆ สามารถนำกลับมาได้ ไม่โดนจับเหมือนบางประเทศ แต่สำหรับ Baobab ควรใส่ในกระเป๋าที่เปิดได้ง่าย เพราะพวกเราโดนสแกนที่ ตม.มาดา ตอนขากลับ เขาคงคิดว่าเป็นระเบิด ประกาศตามหาใหญ่เลย 555+



50. Six Pack ของหนุ่มมาดากัสการ์แน่นมว๊าก มีกันแทบทุกคน ขนาดคนแก่ๆ ยังมีเลย เพราะที่นี่ผู้ชายส่วนใหญ่จะทำงานที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ดังนั้นสาวๆ ที่ชื่นชอบการเสพซิกแพคแน่นๆ จึงไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด (ข้อมูลนี้มีประโยชน์อันได้หรือ -*-)

แผนที่ และคำอธิบายสถานที่ๆ เราไปทั้งหมด

1. เมืองหลวงของมาดากัสการ์ Antananarivo หรือเรียกสั้นๆ ว่า Tana เราอยู่ที่นี่ 3 คืน คือวันแรกที่มา, วันที่กลับมาจากเกาะ Akanin'ny Nofy และวันสุดท้ายก่อนกลับไทย ซึ่งเรานอนโรงแรมที่เดียวชื่อโรงแรมว่า Tana-Jacaranda ที่เที่ยวของ Tana มี Ambohimanga Palace และตลาด ลาดีค ที่โด่งดัง เป็นต้น



2. ไม่มีจุดอยู่ในแผนที่ แต่มันคือ Reptiles farm อยู่ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 75 (ดูจากหลักกิโลข้างทางเนอะ) เป็นที่ๆ เราจะมาดูฟาร์ม Chameleon (กิ้งก่า) และสัตว์แปลกๆ ต่างๆ



3. ห่างจาก Tana ประมาณ 141 โล คือโรงแรม Feon'ny ala เมือง Andasibe เราพักที่นี่ใน Day 2 ที่นี่มีกิจกรรม Night Walk ส่องสัตว์ในตอนกลางคืนด้วย



4. อุทยานแห่งชาติ Andasibe เป็นกิจกรรมของ Day 3 ในตอนเช้า ซึ่งก็คือไปเดินป่าฝ่าดง ดูวิถีชีวิตของ Lemur พันธุ์ต่างๆ และนกแปลกๆ ซึ่งจะต้องฝ่าฟันสายฝน ดูโรแมนติกอะไรเช่นนี้ = =”



5. Manambato (เพื่อจะไป เกาะ Akanin'ny Nofy ที่อยู่ของโรงแรม Palmarium ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 230 จาก Tana) จากนั้นต่อเรืออีก 1 ชั่วโมง เป็นเกาะที่รายล้อมไปด้วยทะเลสาบอะไรก็ไม่รู้ และคุณจะได้สัมผัสกับตัว Lemur แบบ Exclusive เลยล่ะ ซึ่งราคาของที่นี่ค่อนข้างแรงนะ แต่ก็มีกิจกรรมหลายอย่าง คือเดินชมเกาะ เล่นกับเหล่า Lemur ดูวิถีชีวิตของชาวบ้าน ตกเย็นก็มีการแสดงของเด็กๆ บนเกาะนี้ ซึ่งน้ำของที่นี่ใสมาก ไม่เค็ม และสามารถลงไปเล่นได้ด้วยล่ะ



6. Antsirabe หลังจากกลับมาจากเกาะ Akanin'ny Nofy (หรือเราชอบเรียกเกาะ Lemur) แล้ว เราก็กลับมาพักที่ Tana อีกวัน ก่อนที่วันถัดมาจะมา Antsirabe ซึ่งใช้เวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ จาก Tana ในเมืองนี้เป็นเมืองที่เราจะพักก่อนไป Morondava ยาวๆ เราพักที่นี่ทั้ง 2 คืนทั้งไปและกลับจาก Morondava ซึ่งที่นี่มี Minimart ที่มีเบียร์ราคาถูกอยู่ด้วย และสามารถเดินชมเมืองได้ ซึ่งต้องมีไกด์พาเดินนะ เพราะไกด์จะรู้จุดร้านค้าต่างๆ ซึ่งมีของขายของฝากพอสมควรเลยล่ะ



7. Miandrovazo เป็นเมืองทางผ่านไปยัง Morondava ใช้เวลาจาก Antsirabe ประมาณ 7 ชม. เป็นที่ๆ เราจะมาพักกินข้าวกันที่นี่ทั้งตอนไปและกลับ ซึ่งเราสามารถพักที่นี่ได้ด้วยนะ แต่ไม่แนะนำ เพราะอากาศที่นี่ร้อนมว๊ากกกก... และความพิเศษของเมืองนี้อีกอย่างนึงคือ คุณสามารถล่องเรือจากเมืองนี้ไปยัง Morondava ได้ด้วย ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน นอน Camping กางเต็นท์ริมแม่น้ำ แต่ราคาเอาเรื่อง



8. Morondava เมืองแห่งชายทะเล ห่างจาก Antsirabe ประมาณ 480 โล ใช้เวลาเดินทางจาก Antsirabe ประมาณ 10 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งถือเป็นเมือง Highlight ของมาดากัสการ์เลย มีที่เที่ยวหลักๆ 3 จุดคือ Avenue of Baobabs หรือถนนสาย Baobab, Kirindy forest ป่าอนุรักษ์ที่มีไฮไลท์คือ สัตว์นักล่าอย่าง ฟอซ่า และ Tsingy de bemaraha หรือป่าหิน ซึ่งได้รับมรดกโลกด้วยนะ แต่วันที่เราไปเป็นช่วงหน้าฝน ทางเลยไปไม่ได้

ซึ่งเราพักที่นี่ 2 คืนเช่นกัน ไปดูAvenue of the Baobabs กับ Kirindy forest ซึ่ง 2 ที่นี้กินเวลาเที่ยวทั้งวันเลยตั้งแต่เช้ายันเย็น ซึ่งที่จริงเมืองนี้น่าสนใจมากๆ ไม่อยากให้มาแค่วันเดียวเลยล่ะ



แพลนการท่องเที่ยวอย่างย่อของพวกเรา

ส่วนนี้จะเป็นแพลนสรุปย่อๆ ว่าใน 10 วันนี้เราทำอะไรกันบ้างเผื่อคุณผู้อ่าน จะได้ปรับแพลนหรืออะไรเพื่อความเหมาะสมจร้า

Day 1 ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณตี 1 กว่า ๆ ตามเวลาในไทย ถึงสนามบินที่มาดากัสการ์เวลาประมาณ บ่าย 3 ครึ่ง ตามเวลามาดากัสการ์ (เวลาทั้งหมดจากนี้จะอ้างอิงเวลาท้องถิ่นนะ) จากนั้นนั่งแท็กซี่ไปโรงแรม Tana-Jacaranda ที่จองไว้ ซึ่งเราพักที่นี่ 1 คืน



Day 2 ออกเดินทางจาก Tana ในเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เพื่อไปยังโรงแรม Feon'ny ala ในเมือง Andasibe แต่ในระหว่างทางเราจะแวะ Reptiles farm ก่อน จากนั้นถึงจะมายังโรงแรม ซึ่งเราถึงที่โรงแรมนี้ประมาณ บ่าย 2 เห็นจะได้ และประมาณหนึ่งทุ่มจะมี Night Walk ส่องสัตว์ด้วยล่ะ



Day 3 เราออกจากที่พักประมาณ 8 โมงเช้าอีกเช่นเคย เพื่อไปยังอุทยานแห่งชาติเมือง Andasibe ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของมาดากัสการ์ และเข้าชมอุทยานกับไกด์ท้องถิ่น เราใช้เวลากับที่นี่ประมาณ 4 ชั่วโมง ก่อนที่จะเดินทางไปยังเกาะ Akanin'ny Nofy ซึ่งถึงประมาณ บ่าย 4 โมง ตกกลางคืนมีการแสดงจากเด็กๆ ในท้องถิ่นประมาณ 1 ชั่วโมง และเราก็นอนพักที่นี่ใน Day 3 นี้



Day 4 เราอยู่กันที่เกาะ Akanin'ny Nofy นี้ 2 คืน คือ Day 3 ที่มาถึง กับ Day 4 นี้ ซึ่งที่นี่มีกิจกรรม เดินชมเกาะในตอนเช้ากับไกด์ท้องถิ่น ใช้เวลาตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงประมาณ เกือบบ่าย จากนั้นก็พักผ่อนกินข้าว เล่นน้ำ และถ้าใครชื่นชอบการถ่ายช้างเผือก อย่าลืมเอาขาตั้งกล้องมาด้วยล่ะ เกาะนี้ปลอดภัยต่อการถ่ายมาก



Day 5 ออกเดินทางจากเกาะ Akanin'ny Nofy เพื่อกลับไปยัง Tana จากนั้นก็พักที่โรงแรม Tana-Jacaranda ที่เดิม



Day 6 ออกเดินทางจากโรงแรมในเมือง Tana ประมาณ 8 โมงเหมือนเดิม เพื่อไปยังเมือง Antsirabe เราพักที่โรงแรม Antsirabe hotel จากนั้นก็ให้คนขับรถพาชมรอบเมือง ไปซื้อของกิน และชมร้านชาวบ้านในเมือง



Day 7 ออกเดินทางจากโรงแรม Antsirabe Hotel เวลา 8 โมงเช้าอีกเช่นเคย เพื่อไปยังเมือง Morondava ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันเดินทางโดยแท้จริง เราใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงครึ่ง ถึงยังเมืองปลายทางประมาณเกือบทุ่มนึง จากนั้นมีดราม่านิดหน่อย แต่ก็ผ่านไปด้วยดี โดยวันนี้เราพักที่โรงแรม CoCo Beach



Day 8 ตื่นเช้ามาเพื่อ Survey ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ ใกล้ที่พัก จากนั้นเวลา 7.30 โมง เราจึงขึ้นรถ 4x4 ที่เช่าไว้เมื่อคืน Day 7 ออกเดินทางไปยัง Avenue of Baobab (ถนนเบาบับ) และ Kirindy Forest เราใช้เวลากับ 2 ที่นี้ทั้งวันเลย เพราะต้องมาถ่ายถนนเบาบับ ช่วงอาทิตย์ตกในตอนเย็น จากนั้นพักที่โรงแรม CoCo Beach อีกคืน



Day 9 เป็นวันแห่งการเดินทางอีกวันหนึ่งเช่นกันเหมือนกับ Day 7 เลย เราออกเดินทางจาก Morondava 8 โมงอีกเช่นเคย แล้วถึงโรงแรม Antsirabe hotel ในช่วงเย็น ๆ พลบค่ำ ซึ่งก่อนเข้าโรงแรม เราขอคนขับรถไปซื้อของที่ Minimart ในเมืองด้วยล่ะ



Day 10 เดินทางกลับจากเมือง Antsirabe มายัง Tana วันนี้เป็นวันแห่งการ Shopping อย่างแท้จริง และก็ชิลมากด้วย เพราะเวลาเหลือเยอะ เราออกจากโรงแรมที่ Antsirabe ประมาณ 9 โมง แวะซื้อของตามทางรัวๆ ก่อนที่จะถึงเมือง Tana ก็ยังไปต่อที่ตลาด “ลาดีค” ที่มีของฝากจากทั่วทุกแห่งในเกาะมาดากัสการ์ จากนั้นช่วงบ่ายแก่ๆ เราก็ไปเดินในเมืองรอบสระน้ำที่มี Anjely Mainty อยู่ตรงกลาง (ไม่รู้เรียกว่าอะไร ==”) พอถึงประมาณ 5 โมงกว่า ๆ ก็กลับโรงแรม Tana-Jacaranda ตามเดิม



Day 11 เป็นวันของการเดินทางกลับแล้ว ตอนเช้าเราเดินไปซื้อของที่ Super Market จากนั้นจึงเดินทางจากโรงแรม Tana-Jacaranda ไปยังสนามบินถึงประมาณบ่าย 1 และออกเดินทางประมาณบ่าย 4 ไปต่อเครื่องที่ Kenya เหมือนตอนมาและกลับถึง Bangkok ในเวลาประมาณบ่าย 2 โมงตามเวลาประเทศไทย เป็นอันจบทริป จร้า



My Better way to Travel

แพลนข้างบนคือที่ๆ เราไปทั้งหมดในทริปนี้ แต่ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้ หรือต้องแนะนำคนอื่นๆ ที่จะมาแล้วมีเวลาในการเที่ยวพอๆ กับเราหรือน้อยกว่านั้น เราจะแนะนำดังนี้ ซึ่งอาจไม่ใช่เป็นแพลนที่ดีที่สุด แต่ก็คิดว่าดีกว่าสำหรับพวกเรา



เรามาในช่วงที่เป็นช่วงหน้าฝนของมาดากัสการ์ เราจึงไม่ได้ไป Tsingy de bemaraha หรือป่าหิน ซึ่งที่นั่นได้รับมรดกโลกด้วย สภาพคล้ายๆ อุทยานป่าหินที่คุนหมิงของจีนแหละ ซึ่งที่นี่อยู่เมืองเดียวกับ Morondava นั่นแหละ เลย Kirindy Forest ไปอีก แต่ถนนที่เข้าไปที่นั่นขนาดปกติยังต้องใช้ 4x4 เลย ถ้าหน้าฝนคงไม่ต้องพูดถึง เราจึงไปยังเกาะลีเมอร์ (Akanin'ny Nofy) ที่อยู่ตะวันออกแทน ซึ่งอันที่จริงเรากะจะอยู่ที่เกาะลีเมอร์แค่คืนเดียว ส่วนอีกวันจะไปเมืองติดชายทะเลตะวันออกอีกที่ ซึ่งอาหารและห้องพักถูกกว่าเกาะลีเมอร์ และอาจจะได้กิน Lobster ถูกๆ ด้วย แต่มันดันถนนขาดซะเนี่ย = =”



***ในส่วนของการไปเมือง Morondava เราสามารถนั่งรถตู้ไปเองได้โดยไม่ใช้คนขับรถส่วนตัวที่เมือง Tana ได้เลยรายละเอียดตามลิงค์นี้เลย สามารถติดต่อรถตู้ไว้ก่อนได้ อันนี้ข้อมูลรถประจำทางแบบดีๆ ไม่มีนั่งเบียด มีเวลาออกที่แน่นอน



https://cotisse-transport.com/



http://www.madacamp.com/Cotisse_Transport



https://web.facebook.com/SonatraPlus/



รถตู้นี้สามารถขับได้ถึง 14 ชั่วโมง ทำให้เราเซฟเวลาเที่ยวไปได้ โดยไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินในประเทศ ทั้งวันไปและวันกลับจาก Morondava เลยล่ะ แถมไม่ต้องเสียค่าคนขับรถซ้ำซ้อนด้วย เพราะเราเช่าคนขับวันละ 50EUR หรือประมาณวันละ 2 พันบาท ไม่รวมค่าน้ำมันอีกแน่ะ และถ้าไป Kirindy Forest ยังต้องเช่า 4x4 อีก 60EUR เท่ากับเสีย 2 ต่อโดยที่ 50EUR แรกเหมือนกับเสียทิ้งเปล่าอะ แต่ข้อเสียของแพลนนี้คือเราจะไม่ได้ลงไปซื้อของตามทางระหว่างไปและกลับ Tana นะ



Kirindy Forest แห่งเมือง Morondava ค่าเข้าค่อนข้างแพงและต้องเช่ารถ 4x4 (60EUR) เข้าไปด้วย ซึ่งถ้าคุณไม่ได้เข้าไปพักในที่ข้างในนั้นเพื่อตื่นมาดูนกตอนเช้าให้ทัน มันก็แทบไม่มีอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะเราไปเที่ยวช่วงค่อนข้างร้อนด้วย ทำให้เจอสัตว์เพียงไม่กี่ชนิด เป็นอะไรที่ไม่คุ้มเลย (แต่มันมีตัวฟอซ่าไงยู) เพราะเราดูรีวิวคนอื่นในช่วงปลายๆ ปี ยังเห็นสัตว์เยอะมากกว่าเราอีก ยิ่งถ้าคุณมีเวลาน้อยด้วยให้เช่า Taxi จากในเมืองมายังถนน Baobab ในช่วงบ่ายๆ ถ่ายพระอาทิตย์ตกดินกับ Baobab ก็พอแล้ว ส่วนช่วงเช้าก็ชมเมือง Morondava ให้สะใจดีกว่า เพราะสำหรับ Kirindy Forest นั้นเราว่าเหมาะกับคนที่จะไปป่าหินด้วย เพราะจะเป็นทางผ่านพอดี แต่ถ้าคิดจะเช่า 4x4 เพื่อไปที่นี่เพียงที่เดียวบอกเลยไม่คุ้มอะ



การเดินทางแบบไม่เช่ารถ

สำหรับใครที่เดินทางคนเดียวหรือมีสมาชิกน้อย อยากประหยัด ไม่ต้องการเช่ารถ เราจะแปะทางเลือกสำหรับการเดินทางด้วยรถประจำทางดังนี้



1. Taxi-brousse หน้าตาเหมือนรถตู้ เป็นรถประจำทางที่คนท้องถิ่นใช้กัน ราคาถูกมาก มีในทุกๆ เมือง ไม่มีเวลาออกเดินทางที่แน่นอน โดยจะเริ่มกันตั้งแต่ประมาณ 6 โมงเช้า จอดทุกที่ที่มีคนขึ้นคนลง นั่งไม่สบาย เพราะนั่งเบียดกันมาก จากรีวิวที่เราอ่านมา ปกติรถตู้แถวหนึ่งนั่งกัน 3 ที่นั่ง แต่ที่นี่คือนั่งซ้อนๆ กันได้ถึง 7 คน จึงไม่เหมาะที่จะใช้เดินทางไกลๆ โดยที่นั่งตำแหน่งที่สบายที่สุดคือข้างคนขับ



ที่เมือง Tana ซึ่งมักเป็นจุดต่อรถหรือเปลี่ยนรถเพื่อเดินทางไปยังเมืองอื่นๆ ให้สอบถามกับทางรร.ว่าจุดขึ้นรถไปเมืองที่เราต้องการอยู่ที่ไหน เพราะมีสถานีรถอยู่หลายสถานีหลักๆ คือ Eastern taxi-brousse station (ที่ Ampasampito), Northern taxi-brousse station (ที่ Amodivona), Southern taxi-brousse station (ที่ Lalana Pastora Rahajason) and Western taxi-brousse station (อยู่ใกล้ๆ กับsouthern taxi-brousse station) บางเมืองก็ไม่มี Taxi-brousse ไปถึงตรงๆ ต้องไปต่อรถที่เมืองอื่นอีกที



แต่ละสถานีจะมีรถให้บริการอยู่หลายบริษัท เท่าที่เราอ่านข้อมูลมา แนะนำบริษัท Kofimanga และ Kofifi และให้ระวังทุกครั้งที่ซื้อตั๋วต้องได้ใบตั๋วที่ระบุวัน-เวลาด้วยทุกครั้ง



2. Cotisse Transport เป็นเหมือน Taxi-brousse เวอร์ชันอัพเกรด นั่งที่ใครที่มัน มีไวไฟบนรถ ออกเป็นเวลา แต่ไม่ได้มีทุกเมือง มีแค่ TANA - TOAMASINA, TANA - MAHAJANGA, TANA- FIANARANTSOA และ TANA- MORONDAVA สำหรับตารางเวลาเดินรถและราคาตั๋วสามารถดูได้ที่ cotisse-transport.com โดยต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าก่อน และต้องมาก่อนเวลารถออกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง โดยจะมีการชั่งนน.กระเป๋าด้วย ถ้านน.เกินกว่าที่กำหนด (15 kg) จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มซึ่งไม่แพง 300 Ar/kg เท่านั้น

เราจะยกตัวอย่างรูทเดินทางเดียวกับพวกเราว่าถ้าจะเดินทางด้วยรถประจำทาง จะทำได้อย่างไร

ป.ล. เคยเจอข้อมูลว่ามีบัสระหว่าง Tana – Antsirabe ใช้เวลา 4 ชั่วโมง ออกประมาณ 7 โมงเช้า แต่ไม่รู้ว่าขึ้นที่ไหน และปัจจุบันยังมีอยู่หรือไม่



*** ที่เมือง Morondava และเมืองอื่นๆ ที่มีสนามบิน ถ้าไม่อยากนั่งรถ Taxi-Brousse/ จอง Cotisse Transport ไม่ทัน ก็มีอีกวิธีหนึ่งคือ ลองฝากถามที่รร.ต่างๆ ดูว่ามีรถเช่าคันไหนกลับเมือง Tana แบบเปล่าๆบ้างหรือไม่ เพราะนักท่องเที่ยวบางส่วนใช้วิธีบินกลับ Tana ทำให้รถเหล่านี้ต้องตีรถเปล่ากลับ ดังนั้นเค้าจะยินดีมากถ้าได้เงินจากเราๆ เพิ่มขึ้นอีก โดยราคาที่ควรต่อรองคือพอๆ กับราคาของ Cotisse Transport หรือสูงกว่าซักเล็กน้อย ไม่ใช่ราคาเหมารถ



How to เตรียมตัว

เอาล่ะ มาถึงการเตรียมตัวกันบ้างละ ซึ่งก็ไม่มีไรมาก สำหรับคนที่ไปต่างประเทศจนชินแล้วก็น่าจะรู้ว่าเตรียมไรบ้าง



1. จองตั๋วเครื่องบิน เราได้ตั๋วโปรมาในราคา 12,775 บาท จองข้ามปีกันเลยทีเดียว (จองก่อนหาข้อมูลอีก) เป็น Full Service ด้วย ดีงามมากมาย สายการบิน Kenya Airway ซึ่งเราหาตั๋วโปรเอาตามเพจเฟสบุคต่างๆ นี่ล่ะ อิอิ



2. ฉีดวัคซีนไข้เหลือง (Yellow Fever) คืออันที่จริงแล้วมาดากัสการ์ไม่ได้อยู่ในลิสต์ของการระบาด แต่สายการบินที่เราเลือกหยุดแวะที่ประเทศ Kenya ทำให้เราต้องฉีดวัคซีนไข้เหลือง ซึ่งรายละเอียดของการรับวัคซีน ตามที่กระทู้นี้เลยฮะ อันนี้ฉีดแถวท่าเรือคลองเตย https://pantip.com/topic/35517823 ซึ่งเราก็ไปฉีดที่เดียวกับเขาแหละ



แต่ถ้าอยู่ตามต่างจังหวัดก็ตามที่อยู่ที่ติดต่อนี้ได้เลยจร้า

สำหรับเขตคลองเตยเปิดทำการประมาณ 8.30 น. สิ่งที่ต้องเตรียมไปคือ Passport และก็ไปกรอกรายละเอียดต่างๆ รอคิวฉีดวัคซีน รวมทุกขั้นตอนประมาณ 10 นาทีเอง ค่าใช้จ่าย 700 บาท



3. ติดต่อไกด์ ทำแพลนการเดินทาง (แพลนย่ออยู่ด้านบนเนอะ) ซึ่งบอกตรงนี้เลยว่าไกด์คนนี้รับงานซ้อน ไปรับงานคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ติดต่อผ่าน Agency แต่เราติดต่อเขาโดยตรงเลย ตอนแรกก็คิดว่าจะได้ไกด์คนนี้ แต่ที่ไหนได้ เอาคนขับรถมาให้เราซะงั้น แล้วบอกว่าเป็นไกด์ พูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งเขาก็พูดได้นิดเดียวเอง! ฮึ้ยยย!! อย่าให้บ่นตรงนี้เลย ในกระทู้มีอีกเยอะ ติดตามอ่านละกัน



ส่วนค่าคนขับรถ+รถใหญ่แบบ 7 ที่นั่ง เค้าคิด 50EUR/วัน เช่า 9 วันเท่ากับ 450EUR แต่มีบางวันอย่างวันที่เราไปเกาะ Lemur กับวันที่เราอยู่เมือง Morondava เราไม่ได้ใช้รถเลย (แต่คนขับรถก็ตามติดเราไปทุกที่ แม้แต่ตอนที่เราไปอยู่บนเกาะลีเมอร์ก็ตาม) เท่ากับเราเสียไป 100 EUR แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก ก็คิดซะว่าเช่าแค่คนขับกับรถก็จะได้สบายใจ ใครต้องการไกด์คนนี้ ติดต่อเราได้นะถ้าคิดว่ารับได้ ซึ่งเราจะขอเรียกชื่อไกด์คนนี้ว่า อีตา “เบื่อหน่าย” ละกัน 555+



วิธีการติดต่อกับไกด์คือ ให้คุณแจ้งไปที่เมล์ว่าคุณจะไปช่วงวันไหน ไปกี่วัน กี่คน มีแพลนเที่ยวอะไรบ้าง ซึ่งจะต้องบอกไกด์ไปว่าอยากไปไหนบ้างใน กี่วันนี้ ถ้าแพลนเราไม่เหมาะไกด์ก็จะปรับให้เรา อย่างพวกเราส่งไปว่า 10 วันจะไปไหนบ้าง จะไปป่าหินแต่ ป่าหินทางไปไม่ได้ และทางไปเมืองริมทะเลตะวันออกก็ทางขาดอีก เลยเอาวันไปลงที่เกาะ Lemur แทนเป็นต้น



4. ติดต่อที่พัก ซึ่งบางแห่ง Walk-in หรือจองวันต่อวันก็ได้ แต่วันแรกที่ถึงต้องจองก่อนน้าเดี๋ยวไม่มีที่พัก ซึ่งโรงแรมที่เราพักตลอดทริปนี้มีอยู่ 5 ที่ คือ

- Tana-Jacaranda (Tana) จองผ่าน Booking.com จ่ายเงินที่รร.



- Feon'ny ala (Andasibe) เรา Walk-in



- Palmarium(Akanin'ny Nofy) จองผ่านอีเมล



- Antsirabe hotel (Antsirabe) จองผ่าน Booking.com จ่ายเงินที่รร.



- CoCo Beach (Morondava) จองผ่าน Facebook ของโรงแรม



โรงแรมที่ไม่ได้จองผ่าน Booking.com ต้องบอกไกด์ให้ติดต่อเพื่อคอนเฟริ์มวัน-เวลาเข้าพักกับทางโรงแรมอีกที

**ข้อมูลโรงแรม Palmarium บนเกาะ Akanin'ny Nofy ทางตะวันออกของมาดากัสการ์หรือเราชอบเรียกว่าเกาะ Lemur ดูได้ที่เว็บนี้เลย เรทราคาค่อนข้างแรงพอสมควร https://www.palmarium.biz/index.php/prix (เลือกภาษาอังกฤษได้นะ)



5. App Google Map แบบ Offline เพราะว่าในระหว่างทางแบบพวกเราคือไม่ซื้อซิมไว้ใช้ ก็จะไม่มีเน็ตในระหว่างทาง แต่ก็สามารถใช้ App นี้ดูเส้นทางได้ว่าจะถึงยังว้า



6. แลกเงิน EURO หรือ Dollar ซึ่งเราแลกไปเป็นเงิน EURO ทั้งหมด 640EUR ทริปนี้มีทอนจร้า (ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสรุปไว้ตอนท้ายจร้า) ส่วนตัวเราว่า EURO ดีกว่า เพราะหลายที่รับเป็นยูโรตรงๆ เลย



7. ยากันยุง เอาไว้ใช้ตอนเดินป่าเพราะยุงค่อนข้างเยอะ หรือไว้ใช้ตอนกลางคืนก็ได้เช่นกัน



8. อุปกรณ์กันฝน อย่างเสื้อกันฝนหรือร่ม เพราะสภาพอากาศทางด้านตะวันออกฝนตกบ่อยมาก หรือจะเป็นร่มก็จะได้กันแดดในฝั่งตะวันตกอย่างเมือง Morondava ได้ด้วย



9. ไฟฉาย เอาไว้เดิน Night Walk หรือไปส่องเดินในเกาะ Lemur และตามสถานที่ต่าง ๆ เนื่องจากอย่างที่บอกว่าประเทศนี้ไม่ค่อยมีไฟส่องตามถนน



10. ปลั๊กแบบ Universal คือทุกที่จะเป็นเต้าเสียบแบบนี้ทั้งหมดนะ เป็นขากลม ๆ 2 ขา อย่าลืมเตรียมตัวแปลงมาด้วยล่ะ

12. ของกินแบบสำเร็จรูป เนื่องจากที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้นว่าของกินบางอย่างอาจไม่ถูกปาก และร้านอาหารก็ค่อนข้างแพงด้วย ก็จัดไปตามสะดวกเลยจ่ะ

13. กล้องถ่ายรูปเราใช้กล้องหลักๆ ทั้งหมด 3 ตัวนั่นคือ WX500 ไว้ส่องสัตว์ไกล ๆ RX100 ถ่ายทั่วไป RX1 ถ่ายแบบโปรๆ หรือในที่มืด ซึ่งทริปนี้แน่นอนว่าเป็นทริปส่องสัตว์ คุณควรมีเลนส์ที่ซูมได้เยอะๆ ด้วย หรือไม่ก็ใช้ Compact Zoom แบบเราก็ได้จร้า



14. ของบริจาค ถ้าคุณมีจิตใจรักเด็กและเพื่อนมนุษย์ ซึ่งพวกเราเอาเสื้อผ้าและขนมไปแจกเด็กๆ ด้วย ใจบุญมะล่า อิอิ



เมื่อเราพร้อมหมดแล้ว เราไปเริ่มเดินทางกันเล้ยยยยยยยยย

บันทึกการเดินทาง Day 1 วันแห่งการเดินทางที่แส๊นน ยาวนาน

เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบิน Kenya Airway ด้วยเครื่องบิน Boeing 787 Dreamliner เวลาประมาณ ตี 1 ครึ่ง เพื่อมาต่อเครื่องที่สนามบิน Nairobi ประเทศ Kenya ความ Surprise ตอนรอเครื่องที่สุวรรณภูมิ คือเราเจอคนไทยที่จะไปเที่ยวมาดากัสการ์เหมือนกัน ประมาณ 5-6 กลุ่มเลยทีเดียว จากที่ได้คุย บางกลุ่มไปกันเกือบ 20 คน บางส่วนก็เที่ยวมาดากัสการ์ไม่กี่วัน จากนั้นก็เที่ยวต่อที่ Kenya และ Tanzania เป็นต้น นั่นหมายความว่าประเทศนี้ก็ไม่ได้ Secret อะไรมากมายสำหรับคนไทย และสำหรับคนที่มีวันเที่ยวหลายๆ วัน งบไม่จำกัดและอยากหาความแปลกใหม่ จะไปเที่ยว Kenya หรือ Tanzania ด้วย ก็เป็นอะไรที่น่าสนุกดีนะ



เอาล่ะ กลับมาส่วนเครื่องบิน สำหรับคนที่ไม่เคยนั่งเครื่องบินนานๆ เช่นเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อ มีหนังให้ดู มีเพลงให้ฟัง มีเกมให้เล่น มีอาหารให้กิน 2 มื้อ ขอไวน์กี่ขวดก็ได้ ก็มัน Full Service นี่นา 555

** ทริคในส่วนของการสั่งอาหาร คุณสามารถ สั่งอาหาร Special Food ได้ด้วยนะ เช่น อาหารสำหรับคนกินมัง อิสลาม หรือลดความอ้วน เป็นต้น ได้ในหน้าการจัดการตั๋ว คุณก็จะได้อาหารก่อนชาวบ้านด้วยล่ะ *0*

เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 กว่าชั่วโมง ถึงสนามบิน Nairobi ประเทศ Kenya ประมาณ 6 โมงเช้า ตามเวลาท้องถิ่นใน Kenya และ Madagascar ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย ประมาณ 4 ชั่วโมง นั่นก็คือเวลาไทยจริงๆ ประมาณ 10 โมงกว่านั่นเอง

"เครื่อง Dream Liner ลำใหญ่และลงจอดนิ่มมว๊ากก ><”



จากนั้นเราก็มานั่งหง่าวรอ Transit ต่อเครื่องในสนามบิน Nairobi อีกประมาณ 4 ชั่วโมง เครื่องออกประมาณ 11 โมงตามเวลา Kenya ซึ่งที่นี่มีปลั๊กไฟกับ Wifi ให้เล่นนะ แต่แค่ชั่วโมงเดียว นับตั้งแต่ Activate เลย ดังนั้นใครที่อยากอัพอะไรยาวๆ ในเฟส ให้พิมพ์ระบายออกมาก่อนแล้วค่อยกด Activate Wifi นะจะได้คุ้มๆ อิอิ

ถึงเวลาเครื่องออกแล้วก็นั่ง Shutter bus ไปยังเครื่องบิน เพื่อต่อไปยังมาดากัสการ์อีกประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง โดยบนเครื่องนี้จะเสิร์ฟอาหารให้ 1 มื้อตอนเครื่องไต่ระดับที่เหมาะสมแล้ว และเมื่อใกล้จะถึงมาดากัสการ์ ทางแอร์ก็จะนำใบผ่าน ตม. มาให้ อย่าลืมกรอกกันด้วยล่ะ เพราะเห็นหลายคน (โดยเฉพาะคนไทย = =”) ลงมากรอกแถวหน้า ตม.กันเป็นแถวเลย อาจจะคิดว่ามันคือใบโปรโมชั่นอะไรซักอย่างมั้ง และเราซึ่งเคยออก ตปท. ครั้งแรกก็คิดเช่นนั้น 555+

**ทริคอีกอย่างนึง ในส่วนของการจองที่นั่งบนเครื่องบินจากสนามบิน Nairobi ไป Madagascar ในกรณีที่คุณอยากเห็นภูเขา Kilimanjaro ตอนไปมาดากัสการ์ให้จองที่นั่งฝั่งขวา และตอนกลับให้จองที่นั่งฝั่งซ้าย ภูเขาจะอยู่ห่างจากสนามบิน Nairobi ที่ Kenya อยู่ประมาณ 200 กว่าโล ใครที่ต้องการถ่าย เตรียมเลนส์ซูมโครต ๆ มาได้เลยจ่ะ เพราะมันอยู่ไกลมาก ถ้าเครื่องบินไม่โฉบเข้าไปหา

เมื่อเราลงมายังสนามบินมาดากัสการ์แล้ว ประมาณบ่าย 3 โมง (สิริเวลาการเดินทางทั้งสิ้นจาก BKK ประมาณเกือบ 18 ชม. *0*) ขั้นแรกเลยเราก็ยื่นใบ ตม. จากนั้นก็ไปทำ Visa ต่อ ซึ่งอย่างที่บอกในตอนต้น มาดากัสการ์ทำ Visa ง่ายมากๆ ซึ่งเรทราคาก็ตามนี้ ดูเหมือนจะขึ้นราคาแล้วด้วยเพราะตอนเราอ่านรีวิวต่างๆ มาแค่ 25EUR เอง วันที่เรามา (6 Apr 18) ขึ้นเป็น 35EUR แล้วจร้า

“ถ้าเทียบราคาแล้วจ่ายด้วย Dollar ได้ถูกกว่า EUR”



จากนั้นเมื่อเราผ่านขั้นตอน ตม. บลาๆๆ พร้อมเก็บกระเป๋าออกมาแล้ว ทีนี้ล่ะก็จะเจอกับมาดากัสการ์ของจริงละ คุณจะเจอเด็กขนกระเป๋ามาขอตังคุณเพียบเลย แบบขอกันตรงๆ เลย มันนี่ๆๆๆๆๆ โอ๊ยย อย่างรำคาญอะ อย่าให้ใครถือกระเป๋าเด็ดขาดนะ ถ้าคุณไม่อยากเสียตัง

หลังจากออกมาจากดงขอเงินมหาชนแล้ว ก็ให้มาแลกเงินที่ตรงนี้ (Counter ข้างหลังรูปข้างบน) ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ที่มีไกด์มารับที่หน้าสนามบินเลยจะแลกตังกับไกด์ ซึ่งจะได้เรทที่ต่ำกว่า แต่เรามาแลกตรงนี้คือที่ที่ธนาคารมารับแลกเองเลย เรา Survey มาอย่างดีละว่าตรงนี้ให้เรทกับเราดีที่สุด เราพกกันมาคนละ 600 กว่า EUR แต่เราแลกตรงจุดนี้เพียง คนละ 450EUR (ซึ่งเหลือมีทอนจ่ะ) ถ้าถามว่าข้างในเมืองมีที่แลกมั้ย ตอบว่าน่าจะมีเพราะก็เห็นแบงค์หลายที่อยู่ แต่เราก็ไม่มีเวลาไปแลกหรอก ซึ่งแนะนำให้แลกให้จบที่นี่เลยดีกว่า

ความอเมซิ่งสำหรับเราซึ่งเพิ่งเคยมาต่างประเทศครั้งแรก และมาเจอเงินเยอะๆ คืออึ้งมาก เพราะอย่างที่บอกที่นี่ 100Ar = 1 บาท เราแลกกันคนละ 450EUR หรือ 17,460 บาทไทย (อ้างอิงจากเรทที่แลกมา) แลกเป็นเงิน Ar เรท 3,870Ar/1EUR ได้มา 1,741,500 ล้าน Ar!!! เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้จับเงินล้าน รู้สึกโคตรรวยอย่างบอกไม่ถูก 555+ ซึ่งก็อย่าลืมนับกันด้วยนะ นับกันมันส์เลย เพราะส่วนใหญ่จะได้แบงค์ 5,000ar กับ 10,000ar

จากนั้นเราก็กระเตงสัมภาระกันมากันยังหน้าสนามบินเพื่อหารถ Taxi ไปยังโรงแรม Tana-Jacaranda ที่เราจองไว้ในคืนแรก อ้อ!! ลืมบอกไปวันแรกที่ถึงเราไม่ได้เช่ารถ เพราะมาถึงก็บ่ายแก่ๆ แล้ว และก็อย่างที่บอก เมืองนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเที่ยวตอนกลางคืนเลย ซึ่งจะเช่ามาก็ไม่คุ้ม เสีย 50 EUR/วัน หรือประมาณ 2 พัน ค่าแท๊กซี่จากสนามบินไปโรงแรมคือ 50,000 Ar หรือ 500 บาทเอง

เมื่อกำลังจะขนของขึ้น Taxi ก็ยังไม่วายมีเด็กมาเนียนขนกระเป๋า และก็มาขอเงินด้วย คือบับว่า #@*!*#*$*)#!



ถนนที่นี่มีเพียง 2 เลนส์สวนเท่านั้น อย่างหรูก็คือ 2 เลนส์แบบมีเส้นแบ่งไหล่ทาง และสภาพบ้านเมืองของที่นี่ค่อนข้างแออัดมา ๆ สภาพคือแบบสลัมชัด ๆ เราสัมผัสได้ถึงความยากจนแร้นแค้น และการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเลย มันหดหู่นิด ๆ อย่างบอกไม่ถูก บ้านบางหลังติดรั้วหนามไว้อย่างแน่นหนา ธนาคารที่นี่มีทหารถือปืนกลอยู่ทุกแห่ง แสดงให้เห็นว่าเมืองนี้มีเรื่องของการก่ออาชญากรรมสูง ตามที่เราได้อ่านมาเลย ซึ่งกระจกรถของที่นี่ไม่มีฟิล์มดำ และไม่มีม่านกันแดด (เข้าใจว่าเป็นกฎหมายของที่นี่) ในระหว่างทางที่อยู่ในเมือง แนะนำให้ปิดกระจกรถด้วยเพราะคุณจะเจอเด็ก หรือคนจรจัดมาขอเงินคุณรัว ๆ เลย ซึ่งในระหว่างทางในวันที่เราถึงมีฝนตกปรอย ๆ ด้วยก็ดูโรแมนติกดีนะ

“รถตู้จับเด็ก เอ้ย!! รถตู้ขนส่งในตำนานที่โคตรจะแออัด”



เราใช้เวลาในการเดินทางจากสนามบิน – โรงแรม ประมาณ 1 ชม. ก็มาถึงยังโรงแรม ในรูปถัดจากประตูสีเขียวใหญ่ๆ ซึ่งต้องกดกริ่งถึงจะมีคนลงมาเปิดประตูเพราะที่นี่อย่างที่บอก อาชญากรรมเยอะมาก หลายที่เลยต้องมีการ Security ที่สูง.. จากนั้นก็ขึ้นมาเช็คอิน และก็จ่ายค่าโรงแรม คืนละ 101,000 Ar/คืน (มี 2 ห้องห้องนึง 1 เตียง อีกห้อง 3 เตียง) และอย่าลืมขอ Wifi password มาด้วยล่ะ อิอิ

"กุญแจของที่นี่ทุกโรงแรมเลยจะเป็นสัญลักษณ์ทำจากไม้ล่ะ"



“นี่คือห้องเรา น่ารักใช่ม๊า อิอิ”



นี่คือแผนที่ของโรงแรมซึ่งอยู่ในเมือง Tana ทั้ง 3 วันซึ่งอยู่ใกล้ทะเลสาบ Anosy และจุดที่เราอยู่คือวงกลมเขียว ถัดขึ้นไปมีร้านอาหารด้วย ส่วนวงกลมเหลืองคือ Supermarket ที่เราไปช็อปส่งท้ายก่อนกลับไทย

จากนั้นประมาณ 6 โมงเย็น เราก็ไปเดินเล่น พร้อมกับหาอะไรกินกันแถว ๆ โรงแรม ซึ่งตอนแรกลงไปเดินแถวทะเลสาป เพราะเข้าใจว่าทางนั้นจะมีร้านอาหาร และด้วยความที่อ่านมาว่าในเมือง Tana โคตรไม่ปลอดภัย + กับเห็นสภาพของบ้านแถวนั้นแล้วแบบติดหนามป้องกันสุดริด เราเลยรีบไปหายามแถวนั้นเพื่อถามร้านอาหาร และได้ความว่า ร้านอาหารอยู่เลยที่พักของเราขึ้นไป ปั๊ดโถ่ววว = =”

เมื่อเราเดินมาถึงร้านอาหารแล้วตอนแรกก็งงๆ ว่าเห้ยมันจะเป็นร้านอาหารจิงเหรอว้า? นี่มันบ่อนไม่ใช่เรอะ แต่ที่ไหนได้ พอเข้าไปก็ อ่อ มันก็ร้านอาหารนี่หว่า

ราคาอาหารก็แพงใช้ได้เลยล่ะ จานที่มีเนื้อสัตว์ตกจานละประมาณ 14,000 Ar จานที่เป็นสลัดผักก็ประมาณ 7,000 Ar ใครบอกค่าครองชีพที่นี่ไม่สูง คุณคิดผิดนะฮะ!!!... และถ้าถามว่าอร่อยมั้ย ตอบว่าใช้ได้เลย ไม่ได้ว้าวไรมากมาย ซึ่งบอกก่อน อาหารที่นี่รสไม่จัดเหมือนไทยนะ ค่อนข้างจืดแบบกลมกล่อม

อ้อ!! ลืมบอกไป เรานัดกับไกด์ที่เราติดต่อกันทางเมล์ไว้ประมาณ 1 ทุ่ม (คุยผ่านทางอีเมล์ เพราะเราไม่ซื้อซิมกัน) ซึ่งความตลกก็คือ ไกด์กับคนขับรถมารอที่หน้าโรงแรม และทางกลับโรงแรมมืดมาก ชนิดที่ต้องใช้ไฟฉายในโทรศัพท์ส่องทางเลย ตอนพวกเราเจอไกด์กับคนขับ ซึ่งเราไม่เคยเห็นหน้าจริงๆ ของพวกเขาเลย คิดสภาพเอานะคับ คนผิวสียืนในที่มืดที่ไม่มีไฟส่อง แล้วทักมาพวกเรา ตอนนั้นคิดในใจ ตรูโดนแล้วไงมากันสองคนตัวก็ใหญ่ จะสู้ไงดีฟะ ทันใดนั้นคนเปิดประตู (ซึ่งน่าจะดูลาดเลาอยู่) เห็นเราเดินมาก็รีบลงมาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว และ 2 คนนั้นก็ตามขึ้นมา เรียกชื่อพวกเรา ตอนนั้นแหละเราถึงบางอ้อเลย เฮ้!! ยูเป็นไกด์เราใช่ม้ายย โอ้ววว จากนั้นบรรยากาศตึงเครียดก็คลายลง แล้วก็จับมือกัน 555+ ตลกดี

จากนั้นเราก็ขึ้นมาคุยกันเรื่องแพลนการเที่ยวนู่นนี่นั่น ว่าคนขับรถคนนี้ ซึ่ง “เบื่อหน่าย” (เราขอเรียกเขาแบบนี้ หมั่นไส้!!!) อ้างว่าคนขับรถคนนี้ก็เป็นไกด์เหมือนเขา จะเป็นคนพาเราไปเที่ยวช่วงแรกๆ และก็มาสะดุดตรงที่ให้เราจ่ายตังค่าคนขับทั้ง 9 วันนั่นก็คือ 450EUR กับค่าโรงแรมที่เกาะ Akanin'ny Nofy อีก 900,000 Ar เพราะทางโรงแรมนี้ให้โอนเงินตั้งแต่คุยเมลล์กันตอนที่อยู่เมืองไทยละ แต่ทางเราแจ้งว่าไม่สะดวกโอน แต่วันแรกที่มาถึงมาดากัสการ์จะฝากไกด์โอนให้เลย รวมๆ ประมาณ 26,000 บาท ให้กับคนที่เราก็พึ่งเจอเนี่ยนะ เราต่อรองกันว่าพรุ่งนี้มารับพวกเราแล้วค่อยจ่ายได้มั้ย อีตาไกด์เบื่อหน่าย ก็ชักแม่น้ำทั้ง 5 ว่าเขาจะโกงทำไม เขาเป็นไกด์ ถ้าทำอย่างนั้นก็ตัดช่องทำมาหากินเขาสิ บลาๆๆ ซึ่งตอนนั้นเราคิดกันหนักเลย ว่าจะจ่ายดีมั้ยเพราะเงินมันเยอะ แต่ทำไงได้ เราไม่มีทางเลือก ถ้าอยู่ในไทยไม่มีทางจ่ายหรอก ซึ่งสุดท้ายก็จ่ายเงินไปวัดใจกันไปเลย!!!



หลังจากคุยเสร็จพวกเราก็แยกย้าย อาบน้ำเข้านอนกันเตรียมตัวสำหรับทริปพรุ่งนี้ เวลานั้นประมาณ 4 ทุ่มเห็นจะได้ แต่ถ้าเป็นเวลาไทยก็ปาไปตี 2 แล้ว!!!



บันทึกการเดินทาง Day 2 ไปดูกิ่งก่า เคล้าความชุ่มฉ่ำของสายฝน

"เริ่มต้น Day มาด้วยบรรยากาศฝนที่โปรยปรายมาตลอดทั้งคืน"



ในที่สุดไกด์ (คนขับรถ) ของเราก็มาถึงในเวลาประมาณ 8 โมงเช้า แสดงว่าเขารักษาคำพูด ไว้ใจได้จร้า ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาฝนตกด้วย และก็ตกแบบนี้ทุกวันจนถึงเกาะทางตะวันออกเลย *0*.. อ้อ! ลืมแนะนำไปคนขับรถให้เราทั้ง 9 วันนี้ ชื่อ “เอเรียส” นะเดี๋ยวจะรู้จักเขามากขึ้นใน Day ต่อๆ ไปแหละ 555+

"เบลอหน้าผู้เสียหายไว้ จะได้ด่าถนัดหน่อย 555+"



จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง พาเรามาเติมน้ำมันเลยแจ้ รถคันนี้เติมเต็มถัง ก็เท่าที่เห็นแหละ 47 ลิตร 1,550 บาท ตกลิตรละเกือบ 33 บาท ซึ่งแพงกว่าน้ำมันที่ไทยอีกแน่ะ *0*

สภาพบ้านเมืองหลังจากที่เราผ่านสลัมที่เป็นทางระหว่างสนามบินกับโรงแรมที่เราพักเมื่อคืน ส่วนนี่ย่านคนรวยโดยแท้จริง ค่อนข้างสะอาด ผู้คนแต่งตัวดี นักเรียน High School แต่งกายชุดยูนิฟอร์ม

และแล้วเราก็มาถึง ที่เที่ยวที่แรกของเรา ที่นี่คือ รูวา แห่งอันตานานาริโว หรือชื่อมาลากาซี (Rovan’I Manjakmiadana) หรืออีกชื่อคือ Ambohimanga Palace (ชื่อเยอะจุง *-*) เป็นพระราชวังหลวงและศูนย์กลางของมาดากัสการ์ ในสมัยราชวงศ์เมรีนาช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 รวมทั้งเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักร มาดากัสการ์ทุกพระองค์ ตั้งอยู่ที่ใจกลางของกรุงอันตานาริโว (Tana) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ (มองเห็นได้ทั้งเมืองเลย) กษัตริย์แห่งเมรีนา พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอันเดรียนจากา แห่งเมรีนา ซึ่งปกครองอาณาจักรในช่วงปี พ.ศ. 2153 – 2173 ได้เข้ายึดครองอานาลามันกามาจากกษัตริย์แห่งวาซิมบาในช่วง พ.ศ. 2153 – 2168 และตัดสินพระทัยเลือกที่นี้เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงแห่งแรก และทรงประทับที่พระราชวังนี้ตลอดมาจนกระทั่งระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้างโดยจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2439

เมื่อรู้ประวัติคร่าว ๆ ของที่นี่แล้ว ก็มาดูเรทค่าเข้ากัน อันนี้ไม่รู้ว่ามันเป็นทางการที่เราต้องเสียค่าเข้า ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนเฝ้ามีสิทธิ์เก็บค่าเข้าเรามั้ย จะมีคนเหมือนจิ๊กโก๋ มาเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งราคาก็ตามในรูป เรามา 4 คนก็เสียค่าเข้าไป 400 บาท (40 000 Ar) แต่ความมึนอีกอย่างคือ เขาบอกให้เราต้องเสียอีก 200 บาทค่าไกด์ ซึ่งเราบอกว่าเราไม่ต้องการไกด์เฟ้ย!! เดินเองได้ ที่อ่านรีวิวมามันก็เดินขึ้นไปชมวิวเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ เราเข้าไปส่วนพระราชวังไม่ได้อยู่แล้ว ก็ fight เถียงกันอยู่ซักพัก ก่อนพวกจิ๊กโก๋พวกนั้นจะรำคาญและเดินจากไปเอง ซึ่งเอเรียสคนขับรถเรา ก็ไม่ช่วยเราคุยอะไรเท่าไหร่เล้ย มายืนมึนๆ ซะงั้นอะ = =”

ที่นี่ขึ้นมาก็ไม่มีอะไรมาก มาดูปราสาท ซึ่งเราเข้าไปไม่ได้เพราะมันบูรณะอยู่ ถึงทำเสร็จก็ไม่รู้ว่าเข้าไปได้มั้ยอยู่ดี -*- และก็ชมวิวต่อ เพราะที่จุดนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดของเมือง Tana มองเห็นได้รอบเมืองเลยล่ะ



"อ้อ!! มีเรื่องส่วนตัวนิดนึง แต่บอกไว้เป็นความรู้เผื่อคนอื่น ว่าเราลืมเสื้อกันหนาวที่โรงแรมที่พักเมื่อคืน เลยขอให้เอเรียสโทรไปบอกที่โรงแรมเพื่อเก็บเสื้อไว้ ในครั้งต่อไปที่กลับมาพักโรงแรม ซึ่งก็ได้คืน ของไม่หายจร้า"

จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปผ่านทางออกเมืองของ Tana ไปยังทิศตะวันออกของมาดากัสการ์ เพื่อไปยัง Reptiles farm และก็ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านในเมืองนี้

"ชั้นในก็มีขายนาจา น่าฉกจิม ๆ อุอุ"



ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจากปราสาทบน Tana ก็ถึงแล้วจร้า โดยที่นี่เราจะมาดูสัตว์ แมลง และพวกกิ้งก่าในมาดากัสการ์กัน ซึ่งสัตว์ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ กิ้งก่า camelion ซึ่งสีสันของมันสวยงามมากเลยล่ะ

กิ้งก่า Camelion ล่ะ จับตัวมันได้นะ แต่เล็บมันคมมาก จับระวังล่ะ

"มันจะกินแมลงแบ้ววววว แผลบๆๆๆ"



"เม่นน่าร๊ากกก"



"ตัวจิ๋ว ๆ ก็มีนะเออ"



และแล้วเราก็พบกับไกด์เบื่อหน่าย ที่พาลูกทัวร์คนไทยมา 2 คน เท่านั้นแหละจ่ะ ถึงบางอ้อเลย รับงานซ้อนนี่หว่า และยังมาบอกด้วยนะว่าคืนนี้เจอกัน แหมๆๆๆๆๆ ก็เลยมโนไปถึงเรื่องเมื่อคืน Day 1 ที่เจอกันว่าทำไมคะยั้นคะยออยากเจอเราจังเลย ทั้งๆ ที่เจอทีเดียวตอนเช้าก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาขับรถติดๆ มาหา และอีกข้อคือทำไมต้องเก็บเงินทั้งหมดก่อน เพราะว่ากลัวเราจะไม่พอใจไม่จ่ายล่ะซี๊ๆๆๆๆ มันน่านัก อ้อยเข้าปากช้างแล้วคงทำไรไม่ได้ ทำใจได้เลยว่าทริปนี้คงไม่มีไกด์ละ มีแต่คนขับรถมึนๆ ไปกับเรานี่แหละ ฮึ!!!



หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อเพื่อไปยัง โรงแรม Feon'ny ala ที่เมือง Andasibe ซึ่งในระหว่างทางฝนตกโปรยปรายตลอดทางเลย และเราก็พักกินข้าวร้านข้างทางเป็นครั้งแรก ซึ่งเทียบกับร้านที่เรากินในเมือง Tana ต้องบอกเลยว่าถูกกว่าเป็นเท่าตัวเลย

ดูราคาสิท่าผู้โช้มมมม พอๆ กับร้านข้างทางในไทยเราเลย 35-45 บาท

ร้านข้างทางจะให้ข้าวเยอะมาก บ่งบอกว่าคนส่วนมากที่มากินจะเป็นคนใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถามว่าอร่อยมั้ย ก็ตอบเลยว่ากินกันตายได้แค่นั้น แต่ที่อร่อยที่สุดคือ Zebu อย่างที่บอกไว้ช่วงแรกๆ แต่วัวเกรดต่ำราคาถูกคือวัวที่ถูกใช้แรงงานอย่างหนักแล้ว ทำให้เนื้อค่อนข้างเหนียว ไม่ฟินเหมือนกินในเมืองใหญ่ มื้อข้างทางแบบนี้สิ่งที่ช่วยชีวิตเราได้เลยคือ อาหารสำเร็จรูป และน้ำพริกที่เตรียมมา กินกับข้าวแซบหลายนักแล อิอิ

และแล้วเราก็มาถึงโรงแรมซักทีล่ะ ประมาณบ่าย 2 เห็นจะได้ ซึ่งก็พบกับนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มใหญ่ ที่มีเกือบ 20 คนตามที่เราเกริ่นช่วงแรกๆ น่ะ เขาบอกว่ามาพักที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ เมื่อเช้าก็ไปอุทยานแห่งชาติมาแล้ว และก็กำลังจะไป Lemur Park ที่อยู่ใกล้ๆ กับที่พัก แต่เราไม่ได้ไป Lemur Park นะเพราะเราต้องไปเกาะทางตะวันออกอยู่แล้ว ที่นั่นมีเยอะกว่า แต่ก็ถือว่าพวกเขาเก็บได้เร็วนะ เพราะเขามีเวลากันแค่ 5 วันในมาดากัสการ์แล้วต้องไปเที่ยว Kenya กันต่อเลยต้องรีบไปรีบเก็บ แต่เราอยู่นี่ตลอด 10 วัน ซึ่งพวกเขาก็ใช้วันเที่ยวเท่ากับเราแหละ เพราะ Flight ขากลับไทยก็เจอคนไทยเกือบครบทุกกลุ่มที่มาเลยรวมถึงพวกเขาด้วย 555+

อันนี้คือเรทราคาที่พักของที่นี่

อันนี้ห้องเราเอง เราจอง 2 ห้อง ห้องละ 2 คน และก็มีห้องน้ำ ซึ่งไม่มีประตูนะ เป็นแค่ม่านเปิด-ปิดเท่านั้นเอง

ที่พักแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนที่เหมือนบังกะโล จะราคาแพงหน่อย ซึ่งส่วนที่เราอยู่เป็นส่วนของเรทถูก เลยต้องเดินขึ้นไปข้างบนสุดล่ะ และ Wifi ของที่นี่มีแค่ในบริเวณของโซนรับรองหรือตรงร้านอาหารเท่านั้น บนที่พักเล่นไม่ได้จร้า

โต๊ะอันนี้แหละ เป็นที่นิยมของวัยรุ่นมาดากัสการ์เป็นอย่างมากเลย เล่นกันจริงจังมว๊ากก

อาหารสั่งได้เลย เขาจะถามเลขที่ห้องแล้วรวมเช็คบิลตอน Check out ทีเดียวจ่ะ

หลังจากที่เราพักผ่อน เรื่อยเปื่อย ทอดอารมณ์ท่ามกลางสายฝนอย่างชุ่มฉ่ำแล้ว ประมาณทุ่มนึงฝนก็ซาพอดี นึกว่าจะไม่ได้ออกซะละ ซึ่งก็ได้เวลาที่เราต้องออกไป Night Walk กันตามแพลนที่เบื่อหน่ายได้บอกกับเราไว้ และพวกเราพยายามถามเอเรียสว่าไกด์ท้องถิ่นที่จะพาเราไป Night Walk มาประมาณกี่โมง แต่เอเรียสน่าจะฟังไม่ออกแล้วเดินหนีไปเลย.. อะไรฟะ!!! ไม่รู้ก็ตอบไม่รู้สิเฟ้ย!! (ขอบ่นนิดนึงหน่อยเหอะ)

แต่ไม่นานเบื่อหน่ายก็มาถึงพร้อมกับไกด์ท้องถิ่น (นึกว่าจะโดนลอยแพซะละ) ชื่อว่า “ลุค” ซึ่งเป็นคนพาเราเดิน Night Walk ในค่ำคืนนี้ และเป็นคนเดียวกับที่พาเดินชมอุทยานแห่งชาติของ Andasibe ในเช้าของ Day 3 ด้วย ซึ่งค่าตัวของลุค ในค่ำคืนนี้คือ 800 บาท คือกว่าเราจะรู้เรตก็ตอนเช้าอีกวัน ซึ่งก็งงมากว่า เดินแค่ชั่วโมงเดียวทำไมแพงจัง แต่ตอนเดินที่อุทยานในตอนเช้าตั้ง 4 ชั่วโมงเดินยากกว่าด้วย คิดแค่ 600 บาทเอง… และก็เป็นไปตามคาด อีตาเบื่อหน่ายของเราก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งพวกเราอยู่กับคุณลุค และเอเรียสจอมมึน = =”



Night Walk ก็จะเป็นการเดินส่องสัตว์ในตอนกลางคืนจากโรงแรมที่พักไปทางอุทยาน ส่วนมากก็จะเป็น Lemur ล่ะ บ้างก็ Camelion ซึ่งก็อย่าคาดหวังว่าจะได้เจออะไรจังๆ เลยเพราะมองไรไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ สิ่งที่ต้องเตรียมไปเลยนั่นคือไฟฉายแรงๆ ซักอัน ไม่ต้องใหญ่ แต่ขอให้ส่องไกลได้เป็นพอ และก็ต้องปรับให้ส่องทางได้ ส่องสัตว์ไกลๆ ได้ด้วย วันที่เราเดิน ฝนตกปรอยๆ ก็เตรียมร่มไปนิดนุงเนอะ ซึ่งเราเดินกันได้ จนกลับมาก็เห็นแต่สัตว์วอบๆ แวมๆ ไม่เจอจังๆ ซักที และก็เจอแก๊งกลุ่มอื่นๆ ที่ไปส่องกัน ก็ไม่เหงาดีเนอะ *-* แต่แก๊งชาวไทยกลุ่มใหญ่นั้น นั่งรถไปส่องไกลกว่าเราอีก ไม่รู้ไปไหนกัน = =”

และ High Light ของคืนนี้เลยคือทางช้างเผือกของที่นี่ สวยมาก ชัดมาก เพราะรอบๆ มืดสนิท เราถามคนในกลุ่มที่เคยไปตามดอยต่างๆ บ่อย ๆ ยังบอกเลยว่าทางช้างเผือกของที่นี่สวยมากๆ ชัดและใหญ่โฮก ใครชอบล่าช้าง เอาขาตั้งมาด้วยล่ะ ไม่ผิดหวังแน่นอน และแจ๊คพอตของเราในค่ำคืนนี้คือ Mouse Lemur ซึ่งจะพบได้แค่ตอนมันออกหากินตอนกลางคืนเท่านั้น มันเห็นคนแล้วมันตกใจกระโดดเข้ามาหาพวกเราเฉยเลย ตัวมันเล็กเท่าหนูเลย แต่หน้าเหมือน Lemur น่ารักจุง แต่ถ่ายไม่เห็นหน้า = =”

หลังจากนั้นเราก็เดินกลับที่พัก ประมาณสองทุ่มกว่า ๆ เพื่อไปกินข้าวที่สั่งไว้ก่อนออกมา และก็ได้พบคนไทยกลุ่มใหญ่กลับมาเหมือนกัน คือดูแล้วเขามีความสุขกับไกด์เขามากอะ คุยเล่นกันสนุกสนาน 3 ทุ่มแล้วยังไม่กลับเลย ต่างจากกลุ่มเรา โคตรหงอยอะ ไกด์ก็หาย คนขับรถก็ได้แต่เดินมึนๆ แถมมานั่งกินข้าวแล้วสั่งข้าวรวมบิลกับเราด้วย ซึ่งมารู้ที่หลังว่าของที่ฮีสั่งนั้นแพงกว่าของพวกเราทุกคนอีก เรากินกันจานละ 70-120 อีตานี่กินไปเลยจานละ 140 บาทจร้า โอ้ววว ไอบร้าเอ้ยยยย (บ่นไปอีกดอก)

บันทึกการเดินทาง Day 3 ผจญภัยในป่ากลางสายฝน และเกาะ Lemur สุดอโลฮ่า

เริ่มต้น Day3 มาด้วยบรรยากาศของฝนตก ซึ่งเมื่อคืนตกหนักมาก มีพายุด้วย ตกตลอดคืนเลย วันนี้ตกทั้งวันเลยแหละ ต้องติดร่มกับเสื้อกันฝนมาด้วย

พายุแรงขนาดไหนดูเอาละกัน ขนาดเสาล้มใส่รถกระจกแตกเลย ยังดีนะที่ไม่ใช่รถเรา ไม่งั้นซวยโคตรเลย -*-



เราสั่งจานนี้มากิน ซึ่งทุกคนก็กินเหมือนกันหมด เพราะรู้ดีว่าการเดินป่าในเช้านี้ Adventure และใช้แรงพอสมควรเลย ก็ต้องกินอะไรที่รู้สึกว่ามันอิ่ม ซึ่งก็คงหนีไม่พ้น Fried Rice หรือข้าวผัดนี่แหละ จานนี้ 120 บาทจ่ะ อ้อ! ครัวที่นี่เปิด 6 โมงเช้านะ และปิด 2 ทุ่ม ถ้ารีบก็มารอได้เลย จะได้มีเวลาเที่ยวเยอะหน่อย และพอกินกันเสร็จเราก็ Check Out ทันที และก็มาลุ้นกันว่าเอเรียสได้สั่งข้าวมาแปะกับเราในเช้านี้มั้ย ซึ่งสรุปก็คือไม่มีนาจา มีแค่ของเมื่อคืน 140 บาท หึหึหึ



"เรากินแบบเดียวกับเมื่อคืน ใช้รูปเดียวกันเนอะ อุอุ"



เดินทางออกจากโรงแรมมาแปปเดียวก็พบกับอุทธยานแห่งชาติ Andasibe แล้วล่ะ อย่าลืมพกยากันยุงด้วยนะ เพราะที่นี่เป็นป่าดิบชื้น ยุงจะชุมมาก ๆ

รูปบนคือเรทราคาค่าเข้าของที่นี่ และรูปล่างคือค่าไกด์ เราเลือก Package 4 ชม. แบบ Adventure เลยไหน ๆ ก็มาแล้ว หุหุ และความตลกอีกอย่างคือ เอเรียสอยากเข้าด้วย ค่าเข้าของเอเรียสแค่ 20 บาทเอง แต่มาขอพวกเราด้วยภาษาอังกฤษที่โคตรจะฟังยาก พอคุยกับเราไม่รู้เรื่องก็ไปบอกลุคไกด์ท้องถิ่นว่า จ่ายค่าเข้าให้เขา 20 บาทด้วย คือไอเราก็งงว่า จะเข้ามาเพื่ออะไร และแค่ 20 บาท ต้องขออีกเหรอ แสดงว่าไม่เคยมาเลยรึเปล่าเนี่ย เหมือนมีคนมาแจมเที่ยวด้วยเลย พับผ่าสิ!!

"เมื่อจ่ายค่าเข้า+ไกด์เรียบร้อยก็ไปลุยกันโลดดดด"



"เมื่อเธอว์ปวดร้าวจงเดินเข้าป่า อุอุอุ"



นี่แหละเจ้าของเสียงสุดแสบด๊าก ดังไกลเป็นไมล์ ๆ เลย นั่นก็คือตัว Indri สัตว์ที่เราบอกข้างต้นว่าใหญ่ที่สุดแล้ว ถ้าไม่นับ Zebu โดดเหยง ๆ เป็นลิงเล้ย ซึ่ง Indri เป็นลีเมอร์สายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งลีเมอร์แต่ละพันธุ์จะมีถิ่นที่อยู่และการกระจายตัวที่ไม่เหมือนกัน สำหรับ Indri พบได้ตามพื้นที่แถบตะวันออกของเกาะมาดากัสการ์เท่านั้น ซึ่งที่อุทยานแห่งชาติ Andasibe เป็นที่ที่สามารถพบเห็น Indri ที่อยู่ตามธรรมชาติได้ง่ายที่สุดแล้ว

อันนี้ Sifaka ขนปุกปุยน่าจับเป็นที่ซู๊ดดดด ขนปุกปุยน่าจับเป็นที่ซู๊ดดดด

เราก็เดินไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางฝนตก ทางก็เละ รองเท้าเราเน่าตั้งแต่เช้า Day 3 เลยล่ะ = =”

เรามาถึงทาง Adventure แล้ว ทางจากตรงนี้โคตรผจญภัย เพราะต้องแหวกป่าฝ่าดงเข้าไป คือมันไม่มีทางเดินเลยต้องแหวกป่า ผจญภัยโคตร

ดูเอาละกัน มันไม่มีทางเดิน เลยต้องแหวกเอาแล้วฝนก็ตกแบบมาแบบไม่ยั้ง ยุงก็โคตรเยอะน่ารำคาญ ไกด์ก็เดินนำเร็วมาก ทุลักทุเลพอดูเลย

ความตลกอีกอย่างนึง (นี่จะมารีวิวหรือเล่นตลก = =”) คือเอเรียสช่วงแรก ๆ ก็เดินคุมหลังให้สาว ๆ นะ แต่ช่วงตรงป่า Adventure ไหงเดินนำหน้ากับไกด์ซะงั้น กลัวหลงทางหรือไงจ๊ะ!!! โหวววว โคตรแมนอะ!!!

เรามาถึงปลายสุดของทาง Adventure ส่วนนี้ไม่พบ Lemur หรือ Indri ซักตัว แต่จะมีพวกนกต่าง ๆ มีทั้งนกไต่ไม้ นกสวยงามต่าง ๆ จ่ะ

“ถ่ายนกไปโฟกัสทำบ้าไรที่ต้นไม้ฟะ!!”



ทางเดินกลับจากส่วน Adventure มีทางลัดลงอีกทางไม่ต้องเดินไกลเหมือนตอนไป ซึ่งก็ดีละ ถ้าให้เดินตรงนั้นอีกรอบนี่เหงื่อตกแน่นอน ซึ่งในระหว่างทางก็เจอ Lemur อีกพันธุ์นึงอยู่กันเป็นฝูง กำลังหาอาหารเบย

เอาล่ะ เมื่อเดินครบประมาณ 4 ชั่วโมง หรือตอนนั้นก็เที่ยงๆ แล้วล่ะ ก็ได้เวลาเดินทางต่อแล้ว และเราก็เจอกับอีตาเบื่อหน่ายอีกครั้ง ซึ่งพวกเราก็ฟ้องเลยจร้าว่าเกิดอะไรขึ้น อีตาเอเรียสไม่น่าพอใจ พูดอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ แล้วจะบอกมาเป็นไกด์เรอะ%^(#%@%^#@%% แต่ก็ไม่ได้ฟ้องเรื่องที่เอาข้าวมาแปะบิลเรามื้อนึง ซึ่งถ้าตอนเช้าเอามาแปะล่ะก็ฟ้องแน่นวล!! และสิ่งที่เราพึ่งรู้คือเบื่อหน่ายบอกเราว่า เงินที่ได้มาตอน Day แรก 900k Ar ยังไม่ได้โอนให้โรงแรมนะ แต่ติดต่อแล้วว่าจะฝากให้คนขับรถไปให้ด้วยตัวเองที่เกาะ.. ฟ๊....กกกกกก นี่โคตรงง ไหนบอกว่าต้องโอนให้ก่อน แล้ววันนั้นจะให้เราจ่ายก่อนเพื่อ!!?

เราเดินทางกันต่อจาก Andasibe ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงทางเข้าไปยังท่าเรือ Manambato เพื่อจะไปเกาะ Akanin'ny Nofy ที่อยู่ของโรงแรม Palmarium ที่เราจองไว้นั่นเอง ซึ่งจุดพีคของทริปนี้อยู่ตรงนี้แหละ เพราะทางที่เข้าไปยัง Manambato ระยะ 7 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นทางที่เขาเรียกว่า Pumping Road หรือถ้าคิดสภาพไม่ออกให้นึกถึงทางขึ้นห้วยคอกหมูราชบุรี แบบนั้นเลย แต่ไม่ชันเท่า แถมวันที่ไปก็ฝนตกด้วย บันเทิงเลยทีนี้ เห็นก่อนหน้านี้เอเรียส ลงไปถามทางมาด้วย ไม่แน่ใจว่าจำไม่ได้หรือไม่เคยมากันแน่ แต่เป็นอะไรที่โคตรลุ้นสุดๆ อะ แต่เอเรียสยอมรับเลยขับรถได้เก่งมากๆ ทั้งทางดำและทาง Off Road แต่เราไม่ได้ถ่ายทางมาเพราะตอนนั้นลุ้นและเครียดมาก ชนิดที่ว่าอยากหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาถึงเลยอะ เพราะมันเป็นทาง Off Road แท้ๆ แต่เราใช้รถแวนขับมาเนี่ยนะ *0*

"นี่แหละป้ายทางเข้า และต้องขับต่ออีก 7 กิโลที่ท่ายังกะเขากระโจมไทยแลนด์"



และเมื่อเราถึงแล้วจะมีชาวบ้านซึ่งน่าจะเป็นคนงานของโรงแรมนี้มาช่วยเราขน และ Service เรา ซึ่งให้เขาขนได้ฮะ เพราะคนพวกนี้ไม่ขอเงินจร้า... ก็แหงล่ะ!!!! จะบอกตรงนี้เลยว่าค่าเรือเหมาสำหรับ 4 คน รอบละ 225,000 Ar หรือตกคนละประมาณเกือบ 600 บาท/ขา ไป-กลับ ก็ 1,200 บาท นั่งแค่ชั่วโมงเดียวคิดโคตรแพง แต่ค่าห้องสำหรับ 4 คนก็คืนละ 225,000 Ar เท่ากัน ก็เลยไม่รู้ว่าใช้หลักการอะไรคิดราคา อารมณ์เหมือน เดิน Night Walk คิด 800 เงี้ย คืองงใจจิม ๆ

ดูเอเรียสสิคุณผู้โช้มมม!!! ที่แรกคุยกับเบื่อหน่ายว่าคนขับจะอยู่ที่หาดแล้วรอพวกเรากลับมา แต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยน Story มาให้เอเรียสไปยื่นเงินให้โรงแรมซะงั้น คุณเธอก็แพ็คของตามมาด้วยยังกะเป็นเพื่อนร่วมทริปเราแน่ะ แถมยังถ่ายรูปอย่างเมามันส์ ชนิดที่ตรูว่ามันไม่เคยมาชัวร์!!!

บรรยากาศตอนนั่งเรือ ก็ชมนกชมไม้ ชมเกาะ วิถีชีวิตของคนบนเกาะจร้า

"สภาพรองเท้าเน่า ๆ หลังจากผ่านสมอภูมิรบที่ Antsirabe -*-"



"เนื่องจากที่เราไปเป็นเกาะ ของที่ส่งมาก็จะมาผ่านเรือมายังเกาะ อาหารที่นี่มันก็เลยจะแพง ๆ หน่อย"



และแล้วเราก็ถึงชายฝั่งของโรงแรม Palmarium ที่รายล้อมไปด้วยทะเลสาบอามพิตาบี แบ้ววว... อะ เอาลิงค์โรงแรมไปอีกทีนึง https://www.palmarium.biz/index.php/prix

พอมาถึงอีตาเอเรียสก็ไปจ่ายเงิน จากนั้นคนดูแลก็จะมาคุยกับเราเกี่ยวกับข้อมูลของที่นี่ ซึ่งเราจะสรุปการใช้ชีวิตบนเกาะนี้ดังนี้

1. เกาะนี้จะตัดไฟตอน 5 ทุ่ม และเปิดตอน 6 โมงเช้าของอีกวัน และดับอีกทีตอนเที่ยง และเปิดอีกทีก็ 6 โมงเย็นถึง 5 ทุ่ม วนๆ กันแบบนี้ทุกวัน



2. ที่นี่มีบริการดู Aye Aye ด้วยตอนกลางคืนซึ่งราคาแพงมาก นั่นคือ 500 บาท/คนเลยนะ ซึ่งเราก็ไม่ได้ Crazy ไอ้ตัวนี้หรอก ตัวจริงค่อนข้างน่าเกลียดนะ



3. ไกด์และคนอื่นๆ บนเกาะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ภาษาที่เขียนบนเมนูและที่อื่นๆ เป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด



4. อาหารที่นี่เลือกได้ว่าจะเป็น Course คือจะต้องสั่งเป็นสเต็ป ไล่ตั้งแต่ จานเรียกน้ำย่อย จานหลัก และของหวาน ซึ่งค่อนข้างแพงเลยนะ หรือจะสั่ง A la carte (จานเดี่ยว) เช่นพวกสปาเก็ตตี้ ไข่เจียว บลาๆ ก็ได้ แต่เค้าจะไม่ได้บอกเราว่ามี เราต้องถามเอาเอง



5. ที่นี่จะไม่เสิร์ฟอาหารจนกว่าคนในกลุ่มจะนั่งครบทุกคน ดังนั้น ถ้าในตี้มีคนที่ชอบหนีไปถ่ายรูป ลากมันมานั่งให้เขาเสิร์ฟอาหารก่อนล่ะ ==”



6. ที่นี่ไม่ทำอาหารนอกเมนูที่เขาจะทำในแต่ละช่วง เช่นตอนเช้าจะสั่งข้าวผัด คุณก็ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะมันไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เขาจะทำ



7. ที่นี่ห้ามให้อาหารสัตว์เพราะถ้าให้มันจะติดการขออาหาร และมันจะมาป่วนโต๊ะกินข้าวบ่อย ๆ = =”



8. ไกด์ที่นี่ไม่ต้องเสียตังเพิ่ม (ในเว็บของรร. บอกว่าตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ฟรีไกด์ ดังนั้นตอนแรกเราเลยพยามหากลุ่มอื่นแจม แต่ในที่สุดก็ไม่ได้แจม และส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวใช้ภาษาฝรั่งเศส ถ้าเราไปกับเขาเราก็ฟังไกด์ไม่ออกอยู่ดี)



ที่จริงเราได้บังกะโลหลังริมสุด แต่เราถามรีเซปชันเรื่องเล่นน้ำ เขาก็เลยเปลี่ยนให้เราอยู่หลังที่ติดทางลงทะเลด้วยล่ะ (บ้านพักหมายเลข 19) ทำให้เราลงเล่นน้ำได้ง่ายมาก น่ารักจุง *-*



"ห้องพักของเราจ่ะ เป็นห้องใหญ่ นอนได้ 4 คน ดูดีและโรกะติกมาเลยล่ะ *-*"



จากนั้นก็ไปเล่นน้ำทะเลยามเย็น ทะเลของที่นี่ไม่มีคลื่นนะเพราะเป็นทะเลสาบ น้ำก็ใสเห็นตัวปลาเลยล่ะ ><”

แและช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่มก็จะมีการแสดงของเด็กๆ บนเกาะแห่งนี้ ซึ่งไม่ได้แสดงกันทุกวันนะ เรามาได้ช่วงวันที่นักท่องเที่ยวเยอะพอดีเลย การแสดงที่นี่กินเวลา 1 ชั่วโมงเป๊ะ จะมีคนแนะนำการแสดง พูดทั้งฝรั่งเศสและแปลอังกฤษแบบฟังย๊ากยากให้ด้วย ในระหว่างการแสดงทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการแสดงด้วย อย่างเราโดนออกไป 2-3 รอบแน่ะ สนุกดี 555+

หลังจากการแสดงเสร็จประมาณ 3 ทุ่มกว่า ก็ได้เวลากินข้าวซักที เราสั่ง Course Seafood มา รสชาติใช้ได้เลยล่ะ อุอุ

"พุดดิ้งอันนี้ใส่วนิลาอันขึ้นชื่อด้วยนะ หอมมากๆ เบยยยย"



หหลังจากกินเสร็จ เราก็เห็นแล้วล่ะว่าบนเกาะนี้มีทางช้างเผือก และอีกอย่างที่นี่ก็ปลอดภัยด้วย เพราะมันเป็นเกาะส่วนตัว พวกเราก็กลับมาเอาขาตั้งกล้องกลับไปจัดกันรัวๆ เลย แต่เนื่องจากเวลาจำกัดเพราะจะห้าทุ่มละ ไฟใกล้ดับละ เดี๋ยววันถัดไปเจ้าช้างแกเสร็จชั้นแน่!!!

บันทึกการเดินทาง Day 4 เกาะสวาท หาดสวรรค์ Lemur Land แสนโรมแมนติก



เปิดขึ้นมายามเช้าในบรรยากาศรอบ ๆ ชายหาดของเกาะแห่งนี้ *-*

"หน้าห้องพักพวกเราล่ะ"



"ที่พวกเรากินข้าวกันเมื่อคืน"



“สะพานนี้แหละที่เรามาถ่ายทางช้างเผือกกันเมื่อคืน”



เราบังเอิญเจอ Black Lemur ด้วยล่ะ มันมาโด้ของที่กินเหลือตรงที่นั่งกินอาหาร ซึ่งตอนหลังเราพึ่งรู้ว่าเจ้า Black Lemur มีเพียงตัวเดียวในเกาะเท่านั้น *0*

และนี่ก็คืออาหารเช้าของพวกเรา เป็นสไตล์ฝรั่งเศส กินขนมปังที่โคตรจะแข็งแทนข้าว ทาแยมแกล้มผลไม้ที่โคตรจะเปรี้ยว -*-

กินกันไปซักพักเราก็เจอจ้าวป่าของเรา นั่นคือเจ้า Indri นั่นเอง ตัวเบ้อเร้อเลย มาขอของกินจากนักท่องเที่ยว ขนมันนุ่มปุกปุยมว๊ากก ตัวนี้เชื่องสุดๆ เลยล่ะ >.<”

"และนี่คือนักท่องเที่ยวของเรา คุณเอเรียสนั่นเอง =*="



เจ้าพวก Black & White Lemur จอมป่วนก็มาด้วยนะ ซนยังกะลิงแน่ะ ฮึ้ย!!

และนี่ก็คือโฉมหน้าไกด์ของเราในวันนี้ ชื่อ “วิลเลี่ยม” และเป็นคนรับ Order อาหารของเราด้วย เขาจะเป็นคนมาดูแลเราทั้งวันล่ะ

อันนี้เปลือกและใบของ Cinnamon ต้นของมันจะใหญ่ๆ ต้นเดียวกับรูปข้างหลังไกด์วิลเลี่ยมนั่นแหละ ใบของมั้นห้อมหอม และเปลือกก็ยังเอามาทำกาแฟได้ด้วยล่ะ

อันนี้เปลือกและใบของ Cinnamon ต้นของมันจะใหญ่ ๆ ต้นเดียวกับรูปข้างหลังไกด์วิลเลี่ยมนั่นแหละ ใบของมั้นห้อมหอม และเปลือกก็ยังเอามาทำกาแฟได้ด้วยล่ะ

เดินมาได้ซักพักก็เจอน้อง Brown Lemur มาทักทายเราด้วยล่ะ น้องเชื่องมาก ขึ้นมาเกาะไหล่พวกเราด้วย.. ทำไมถึงเกาะน่ะรึ ก็จะมาขออาหารพวกเราไง 555+

อันนี้แหละคือโฉมหน้า Rare Item แห่งมาดากัสการ์ ต้นวนิลาล่ะ ที่นี่ปลูก และเอามันไปใส่ในอาหารที่เรากินด้วย อาหารที่นี่และของหวานจึงจะมีรสชาติของวนิลาแท้ๆ ติดที่ลิ้น ซึ่มมันฟินมากเลยล่ะ *-*

ที่ป่าตรงส่วนนี้ ใกล้ๆ ที่พัก จะมี Lemur เยอะแยะมากมายเลยล่ะ เจ้า Indri พี่ใหญ่ก็มาด้วยนะ แลดูเป็นครอบครัว Lemur อบอุ๊นอบอุ่น และพวกนี้เชื่องหมดเลย สามารถจับตัวได้ เล็บมันก็ไม่คม เรียกได้ว่าไม่มีเลยดีกว่า แต่อย่าเอาหารติดตัวไปล่ะ เพราะมันจะเข้ามาแย่งอย่างไม่ปรานีเลยล่ะ หึหึหึ

จากนั้นวิลเลี่ยมก็พาเราเดินมาเรื่อยๆ จนถึงอีกฝั่งนึงของเกาะ เพื่อชมทะเลอีกฝั่งหนึ่ง ที่นี่มีกบตัวน้อยๆ กระจายอยู่เต็มเลย

และก็พาเดินมาจนสุดเกาะ เพื่อพามาดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ซึ่งข้างในมีแมลงอยู่ด้วยนะ *0*

จากนั้นวิลเลี่ยมก็พามาดูหมู่บ้านคนงานบนเกาะนี้ ซึ่งตอนที่เราไปถึงคนงานก็ไปทำงานก่อสร้างอยู่ที่ส่วนของโรงแรมหมดแล้ว รายได้ของพวกเขาก็มาจากการจ้างงานของโรงแรม ซึ่งก็มาจากเงินที่พวกเราเอามาเที่ยวกันนั่นแหละ

นี่คือลานชนไก่ ซึ่งเหมือนวิถีชีวิตคนชนบทในไทยเราเลยล่ะ อ้อ! อีกเรื่อง เราถามเขาว่า รู้จักประเทศไทยมั้ย เขาบอกว่ารู้จัก เพราะเขาดูจาพนมด้วยล่ะ

ที่ประเทศนี้ตามชนบทใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซล่าเซล บางที่ก็ใช้ไฟปั่น ซึ่งคิดว่าในโรงแรมก็คงเป็นเช่นนี้ด้วย เพราะที่นี่เป็นเกาะที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึงได้

"และนี้คือลูกของวิลเลี่ยมล่ะ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นจุง น้องน่ารักมาก"



ที่นี่มีเต่าด้วยนะ เจอครั้งแรกและครั้งเดียวในมาดากัสการ์เลย เจ้าเต่าตัวนี้ชื่อว่าเต่า “อาราเดรีส” กินผักเป็นอาหาร และในตอนที่เราเจอมันนั้น ก็ดันเจอกับ B&W Lemur 2 ตัวผู้ซุกซนกำลังแย่งอาหารพวกมันด้วย นิสัยไม่ดีเล้ยย

หลังจากที่พามาดูจนทั่วเกาะแล้ววิลเลี่ยมก็พากลับมายังจุดต้อนรับแขกในเวลาประมาณเที่ยง ซึ่งเท่ากับว่าเราใช้เวลาในการทัวร์เกาะประมาณ 3 ชั่วโมง เพราะออกเดินประมาณ 9 โมงเช้าจ่ะ ซึ่งตอนนั้นจุดรับแขกเขากำลังมุงหลังคาใหม่กันอยู่เลย ซึ่งคาดว่าน่าจะเปลี่ยนหลังคากันบ่อย เพราะทำมาจากใบอะไรซักอย่างนี่แหละ

"เจ้า Indri เชื่องอ่อนโยนและน่ารักมาก"



จากนั้นก็เรื่อยเปื่อย เล่นน้ำ บลา ๆ ๆ ไปเรื่อย และนี่คืออาหารค่ำของเรา *0* แต่ครั้งนี้เราไม่ได้สั่ง Main Course อย่างที่ผ่านๆ มาละ ทั้งหมดนี้เป็น A la carte หรือสั่งแบบแยกจานกัน แล้วก็มากินรวมๆ กันนี่แหละ จะได้กินอะไรที่หลากหลาย

เอาล่ะ หลังจากกินหารหารจนอิ่มหนำสำราญแล้ว เราก็มาจุดเดิมที่เคยถ่ายช้างไว้เมื่อวาน แต่วันนี้มาเร็วหน่อยเพื่อจะได้ถ่ายได้นานๆ ซึ่งก็ได้ภาพที่สวยสดงดงามอย่างที่เห็นไง เพราะมีบางจังหวะที่ไฟดับทั้งเกาะ ทำให้เห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจนยิ่งนักเลยล่ะ *0*

พอกลับมาที่ห้องพักเราก็พบความประหลาดใจบางอย่าง เพราะเห็นแหม่ม 2 คนที่มาด้วยกัน มามุงหา Lemur หน้าที่พักเรา เพราะชีดันไปเจอพวกมันหน้าที่พัก ซึ่งอันที่จริงแล้ว พวกเราเอากล้วยวางไว้หน้าที่พักนั่นเอง มันเลยเรียกพวกมันมา 555+ และจากการสอบถามก็พบว่าพวกชีพึ่งมาถึง และก็พึ่งเคยเห็น Lemur ตามธรรมชาติแบบใกล้ชิด โดยที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้เห็นยิ่งกว่านี้อีก โด่วว อย่าพึ่งตื่นเต้นกันซี่ 555+

บันทึกการเดินทาง Day 5 เจอกันอีกแล้วนะคุณเมืองหลวง

เอาล่ะ บอกลาเกาะนี้กันด้วยบิลค่าอาหารทั้งหมดสำหรับ 4 คน นั่นคือประมาณ 4,750 บาทไทย รวมกับค่าเรือไปกลับ 4,500 บาท และค่าห้องพัก 2 คืน ก็ 4,500 บาท รวม ๆ แล้วก็ 13,750 บาท หรือคนละ 3,438 บาทนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นที่ ๆ แพงสุดในทริปละ อุอุ



“วันนี้ก็ไม่ได้มี Story อะไรมากมาย เนื่องจากเป็นวันเดินทางกลับจากเกาะ Lemur ยิงยาวไปยังเมืองหลวง Tana ซึ่งจริงๆ ทางก็ไม่ได้ไกลอะไร ถ้าเทียบกับทางที่ตรงไปยังตะวันตก แต่ทางตะวันออกค่อนข้างมีโค้งที่เยอะมากๆ และเราเสียเวลาไปกับรถติดหล่มประมาณเกือบชั่วโมง เลยต้องขับทำเวลากลับ ซึ่งกว่าจะถึงก็ฟ้ามืดแบ้วว”



พวกเราออกจากเกาะ Lemur นี้ในเวลา 8 โมงเช้า เพราะอีตาเอเรียสบอกว่าทางไม่ดี ก็เลยต้องออกเร็วหน่อย... ก็นะวันนี้เอเรียสเริ่มสุภาพขึ้น เนื่องจากพวกเรา Complaint กับอีตาเบื่อหน่าย ตอนเจอที่เมือง Andasibe ว่าคนขับรถยู #*%*(%^) ♫ ขี้เกียจบ่น เอาเป็นว่าฟ้องไปหลายเรื่อง วันนี้เอเรียสเลยดูมึนน้อยกว่าเดิมละ แต่อีตาเบื่อหน่ายก็บอกเราว่าให้ไปซื้อซิมด้วย เพื่อจะได้ติดต่อกับพวกเรา... ซึ่งอะไรฟะ ตรูไม่ซื้อเฟ้ย การที่แกไม่มากะพวกเรา แล้วเราต้องซื้อซิมเพื่อติดต่อกับแกเนี่ยนะ ฝันไปเหอะ!!!

"ไปก่อนน้าาา เจ้าเกาะ Lemur"



และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนที่พวกเรากลับในทางตอนแรกที่เราบอกเน่าๆ รถก็ขับติดคานถนนซะงั้น ยังดีที่มีชาวบ้านผ่านมาพอดี ก็ช่วยๆ กันงัดรถขึ้นมา ซึ่งหลังจากนั้นเราก็ให้เสื้อที่จะเอามาบริจาค และเงินอีกเล็กน้อยให้พวกเขาไป ซึ่งคนพวกนี้น่ารักมากเลยล่ะ ซิคแพคเป็นมัดๆ เลย แอร๊ยยยย><”

"ระหว่างทางจะมีชาวบ้านหอบผลไม้ เราสามารถแวะซื้อได้ และมันถูกมาก ๆ เลย"



พักกินข้าวเที่ยงข้างทาง ถามว่ารสชาติอร่อยมั้ย ตอบเลยว่าไม่!! อร่อยที่สุดก็เนื้อ Zebu นี่ล่ะ แต่ยังโชคดีที่เราเอาน้ำพริกมาด้วย ก็เลยรอดตัวไป ก็อย่างที่บอก ร้านอาหารข้างทางให้ข้าวเยอะมว๊ากก

สักพักตาเอเรียสก็จอดซื้อถ่านเป็นกระสอบๆ ข้างทางซะงั้น ซึ่งก็เข้าทางพวกเราเลย ได้เวลาปล่อยของที่เอามาบริจาคแว้วววว ซึ่งพวกเขาตอนแรกๆ ก็กลัวๆ นะให้ไปแล้วทำหน้ามึนๆ แต่ซักพักก็ดีใจ ยิ้มมีความสุขาที่พวกเราเอาของไปให้ล่ะ *-*

บรรยากาศทางระหว่างกลับล่ะ

"เด็กเดินข้างถนนเพื่อไปโรงเรียน*-*"


"ปลาไหลอามาลูน่า"



เราถึงโรงแรมเดิมที่อยู่เมื่อวันแรก นั่นก็คือโรงแรม Tana-Jacaranda เราพักที่นี่อีกคืน แต่คืนนี้พวกเราไม่ได้ไปกินอาหารข้างนอกเหมือนวันแรกที่มาถึง และก็พึ่งรู้ด้วยว่าโรงแรมที่นี่สั่งข้าวได้ด้วย พวกเราก็เลยจัด.. ซึ่งราคาอาหารที่นี่ก็แพงพอประมาณ อย่างจานที่เห็นนี้คือ Zebu-Vanila เป็นเนื้อที่ใส่วนิลาเข้าไปด้วย จึงมีความกลมกล่อมติดเนื้อของวนิลาและเนื้อ Zebu เข้ากันเป็นพิเศษเบยยย *-*

นี่คือห้องเราเอง เนื่องจากห้องเดี่ยวเต็ม เราจึงได้นอนห้องเดี่ยวพิเศษในราคาเดิมด้วย แต่ในวันนั้นมีความพิเศษตรง ไฟโรงแรมดับ ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เราจึงไม่มี WIFI เล่น ก็เลยนอนหลับเร็วเป็นพิเศษ = =”

บันทึกการเดินทาง Day 6 Antsirabe เมื่อแห่งความคลาสสิคที่คุณคู่ควร

เราตื่นเช้ามา อาบน้ำ แปรงฟันกินข้าวเสร็จ ก็ออกเดินทางไปยังเมือง Antsirabe ต่อเลย ซึ่งเมืองนี้อยู่ไม่ไกลจาก Tana มากนัก บรรยากาศทางไปก็สวยมาก เรียกได้ว่าเป็นส่วน High Land ของประเทศนี้เลยกว่าว่าได้



พวกเราแวะปั้มเพื่อเติมน้ำมัน และเข้าไปหาเสบียงใน Minimart ของปั้ม และก็บังเอิญเห็นแลตาซอย 5 บาท ฮาฮ้า 125 มิลลิลิตร----♪♫ เอิ่ม...อย่างที่บอกในตอนต้น ที่ประเทศนี้ก็มีของกินบางอย่าง Import มาจากไทยด้วยล่ะ 555+

ข้อควรระวังอีกอย่างนึงคือ การดูตัวเลขในใบเสร็จ อย่างใบนี้ค่าน้ำมันเต็มถังคือ 130,000Ar แต่พวกเราจ่ายเงินผิดเป็น 180,000Ar ซึ่งยังดีที่เด็กปั้มเขาไม่โกงเรา เอาเงินมาคืนพวกเราด้วย แต่เราก็ต้องสังเกตนิดนึงนะ เพราะวันแรกเติมเต็มถัง 150,000Ar ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมากกว่านี้

เพื่อนร่วมทริปของเราเจอสินค้าจากไทยไปเต็ม ๆ Made in ปทุมธานี บ้านเราเองล่ะจร้า 555+

ในระหว่างทาง เราจะเห็นคนต้อนวัวเป็นฝูงๆ เลย ซึ่งพวกเขาต้นไปขายยังในเมือง และที่นี่ยังมีตลาดค้าวัวโดยเฉพาะด้วยล่ะ

อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็น Hight Land ของเขา ความสูง 1,600m จากระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว

บรรยากาศ 2 ข้างทาง ระหว่างทางไปยังตะวันตกของมาดากัสการ์นั้น ค่อนข้างโปร่ง และไม่ค่อยมีทางโค้ง มุมอับเยอะมากนัก จึงทำให้รู้สึกได้บรรยากาศชิลกว่าทางไปทิศตะวันออกพอสมควรเลย

"วัฒนธรรมการตากผ้าที่พื้น พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศนี้"



และแล้วเราก็ถึงโรงแรม Antsirabe hotel ที่เราจองไว้ในเวลาประมาณ บ่าย 1 โมงได้ ซึ่งก็คือใช้เวลาจาก Tana ประมาณ 4 ชั่วโมง ชิลๆ อะเนอะ บรรยากาศก็ชิล ไม่ต้องรีบเร่งมาก

"สาว ๆ จัดการคิดตังกันโลด"



"ห้องเราเองล่ะ*-*"



"บรรยากาศหน้าต่างในห้อง"



หลังจากที่จัดเก็บข้าวของเสร็จ ก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เราบอกให้เอเรียสพาพวกเราไปชมเมืองกันโหน่ยยย

"การขายของก็คล้าย ๆ บ้านเรานี่ล่ะ"



ที่แรกเลย เอเรียสพาพวกเรามาดูวิธีการทำช้อนจากเขา Zebu ซึ่งมันแข็งมาก แต่เขาก็เอามาต้มจนอ่อน แล้วก็เอาไปดัดทำสิ่งของต่างๆ ได้เยอะแยะเลยนะ

หลังจากสาธิตให้เราดูแล้วว่าทำยังไง ก็ได้เวลาขายของละ พาพวกเรามาเปิดร้านให้เลือกชมกันเลย 555+

โซนต่อไปก็วิถีการปักผ้าของที่นี่ และมีของขายด้วยนะ กระเป๋าเล็กๆ ก็อันละ 150 บาท ผ้าผืนใหญ่ก็ 2-3 ร้อยบาทเป็นต้นจ่ะ

โมเดลจักรยานทำมือก็มีนะ แต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจพวกเราเลย 555+

"พยายาม Present สุดริด"



ผ้าบาติคก็มีด้วยนะ ปักเป็นรูป Baobab และก็เหล่าพวก Lemur *-*

"Magnet เอาไว้เป็นที่ระลึกก็มี อันละ 20 -60 บาทจ่ะ"



และหลังจากที่เราชมงานภูมิปัญญาชาวบ้านของที่นี่เสร็จ เราก็บอกให้เอเรียสไปจอดรถที่หน้าสถานีรถไฟของเมือง Antsirabe ให้หน่อย เพื่อเดินชมเมืองในยามเย็น ซึ่งคนในเมืองบางคนเห็นพวกเราก็คิดว่าเป็นคนจีนอีกเช่นเคย = =”

"ขี่ม้าชมเมืองก็มีนะ ใครมีเด็กก็มีรถนั่งให้เล่น แต่ทั้งหมดก็เสียตังหมดแหละ"



"กระบองเพรชยักษ์ อู้ววว"



เมืองนี้มี Super Market ด้วยนะ สามารถเข้ามาช็อปของกินได้รัวๆ เลยล่ะ อาหารก็ไม่แพง แถมเบียร์ที่นี่ถูกมว๊ากกก ขวดละ 20-30 บาทเอง สาย Drink ทั้งหลายต้องห้ามพลาดเลย อ้อ!! อีกอย่าง ถ้าจะมาช็อป เขาจะไม่มีถุงใส่ให้เรานะไม่ต้องแปลกใจ ต้องซื้อเพิ่ม ซึ่งถุงนึงก็ใบละ 3 บาทจ่ะ

จากนั้นก็มาเดินชมโบสถ์ต่อ ก่อนจะกลับที่พักกัน ซึ่งตอนเราเข้าไปนั้นมีชาวบ้านมาสวดร้องเพลง ฮาเลลูย่าด้วยล่ะ

บนที่พักของเรามีด่านฟ้าด้วยนะ สามารถเห็นวิวได้รอบเมืองเลยล่ะ

พอเรากลับมา ก็วางแผนไปเดินรอบๆ ที่พัก ซึ่งตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว พระอาทิตย์ก็ตกดิน คือเอาตรงๆ มันไม่เหมาะที่จะมาเดินเล่นเลย เพราะเราเป็นคนต่างชาติ บางคนก็มองพวกเราแปลกๆ รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเลยล่ะ

กลับมาก็โซ้ยกินกันเลย ของที่ซื้อมาจาก Super Market ซึ่งเราไม่ได้กินข้าวที่โรงแรมนี้ เพราะมันค่อนข้างแพงมากเลยล่ะ ซึ่งในรูปจะเห็นขวดเบียร์ ซึ่งอันนี้คือเบียร์ Gold Amigo ราคาขวดละ 24 บาท เป็นเบียร์ที่เรารู้สึกว่าอร่อยที่สุดแล้ว ในบรรดาที่กินมาทั้งหมดบนเกาะมาดากัสการ์นี้แหละ

บันทึกการเดินทาง Day 7 การเดินทางสู่ความระอุพันองศา... Morondava รอชั้นนะ!!

จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางกันต่อ แต่วันนี้เราค่อนข้างรีบหน่อย เพราะเป็นการเดินทางที่ไกลที่สุดของทริปแล้ว นั่นคือจาก Antsirabe ไปยัง Morondava ใช้ระยะเวลาประมาณ 10 ชั่วโมงกว่า วันนี้จึงเป็นวันแห่งการเดินทางอย่างแท้จริงเลยล่ะ *0*

ในระหว่างทาง เราเจอโรงเรียนของที่นี่ด้วย แต่เด็กเยอะมากๆ ขนมและเสื้อที่เราเอามาบริจาคนั้น คงไม่พออย่างแน่แท้ เราจึงฝากให้คุณครูนี่แหละ ไปแจกเด็กๆ อิอิ

บรรยากาศของที่นี่อย่างที่บอก เป็นทางโปร่งๆ ไม่ค่อยมีบ้านเรือนมาตั้งข้างทาง บ้านส่วนใหญ่จะไปตั้งใกล้ๆ แม่น้ำ (ซึ่งเราจะผ่านแม่น้ำหลายสายมาก) เพราะถ้ามาตั้งตรงข้างถนน มีหวังคนตายha คาบ้านแน่ เพราะอากาศช่วงหลังจากเมือง Antsirabe นั้นร้อนแบบโคตรๆ จนแบบแทบจะละลายติดเบาะเลยที่เดียว -*-

“ปิดเทอมแล้ว ต้องช่วงแม่กรอกน้ำ อิอิ”



และแล้วเราก็ถึงเมือง Miandrovazo ซักที ตอนเราเห็นเมืองนี้จากที่ไกลๆ แบบนึกว่าโอเอซิส คือแบบตรูรอดแล้วเฟ้ยยยยยย อ๊ากกกกก… ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นแค่เมืองทางผ่านที่เราต้องแวะมากินข้าวที่นี่อีกครั้ง และเป็นสัญญาณบอกว่าเรามาได้เกินครึ่งทางแล้ว TT

อาหารของที่นี่เป็นแบบเหมาๆ ราคาเดียว คือแบบสเต็กเนื้อ Zebu ก็ 100 บาท ข้าวกับปลากากๆ ก็ 100 บาท ทำให้เรารู้สึกว่า การคิดราคาหลายๆ อย่างมันไม่ค่อยจะสมดุลอะไรกันเล้ยยย

เดินทางสู่ความฮีทสโตรคกันต่อเด้อ

"เห็นต้น Baobab แล้ว นั่นคือสัญญาณว่าเราจะถึงแว้ววว"



หหลังจากผ่านสมรภูมิเดือดพันกว่าองศา ในระหว่างทางมาเมือง Morondava แล้วถ้าเราก็ถึงที่นี่ในเวลาประมาณ 6 โมงกว่า ซึ่งตอนที่ถึงก็มืดแล้ว เลยไม่ได้ถ่ายมา แต่จะบรรยายเป็นคำพูดละกัน เมืองนี้ค่อนข้างน่ารักนะ ตอนกลางคืนถึงจะมืดไปหมด แต่ก็มีตลาดมืดแบบคลองถมบ้านเราสมัยก่อนที่ต้องถือไฟฉายเดินซื้อของ แต่ที่นี่ยังใช้เทียนอยู่เลย



และแล้วเราก็เจอกับอีตาเบื่อหน่ายอีกครั้ง แต่อารมณ์ที่พวกเราเจอเขาในวันนี้คือแบบ ไม่อยากเห็นหน้าแล้วโว้ยย ทำกับพวกเราไว้เยอะ และเหตุการณ์ดราม่าก็ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเราถึงโรงแรม CoCo Beach ที่เมือง Morondava เรามานั่งล้อมวงคุยกับอีตาเบื่อหน่าย เกี่ยวกับทริปของวันพรุ่งนี้ ซึ่งคุยไปคุยมาพบว่า เราต้องจ่ายค่ารถ Off Road เพิ่มอีก 60EUR โดยที่ไม่ได้แจ้งเราก่อนหน้านี้ เพราะเบื่อหน่ายบอกว่าก่อนหน้านี้ฝนตกหนักมากๆ ทางที่ไปยัง Kirindy Forest เน่ามาก... คือไม่ใช่อะไรหรอก พวกเราอ่านไว้แล้วว่าทางไปมันเน่า ยังไงก็ต้อง ใช้ Off Road แต่งงที่ทำไมเราต้องเสีย 50EUR ไปฟรีๆ ด้วย ทั้งๆ ที่คนขับรถก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรกับเราเลย



พวกเรายืนยันว่ายังไงก็จะจ่ายเพิ่มอีก 10EUR เป็นค่าส่วนต่างของรถ แต่ไกด์ก็ไม่ยอม ยังไงก็ต้องอีก 60EUR ซึ่งเหตุการณ์มันค่อนข้างยาว ชนิดที่ว่า ประชุมเครียด ดราม่าน้ำตาแตกกันเลยทีเดียว แต่เราสรุปเลยละกันว่า เบื่อหน่ายลดค่ารถ Off Road ให้เราเหลือ 50EUR แบบรวมน้ำมันแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ยอมรับหรอกนะ แต่ยื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ ยอมไปตามนี้ดีกว่า ไม่อยากให้ทริปมันไม่สนุก ไหนๆ ก็มาไกลขนาดนี้ละ ก็เป็นอันจบ Day ดราม่านี้ลงไปได้...

บันทึกการเดินทาง Day 8 Baobabs สุดอลังการกับเมืองท่าโคตร Slow Life

วันนี้เราออกเช้าหน่อยคือ 7.30 น. เพื่อไปยัง Avenue of Baobabs และ Kirindy Forest ซึ่งถนน Baobab นั้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากที่พักก็ถึงแล้ว แต่ส่วนของ Kirindy Forest นั้นระยะห่างจากถนน Baobab 64 กิโล ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจ่ะ

นี่คือโฉมหน้าคนขับของเรา ชื่อซูดดดดดด ส่วนอีตาเอเรียสน่ะเหรอ สบายเลยไม่ต้องขับรถ นอนอยู่หลังรถสบายใจเฉิบ ไม่ต้องทำไรวันนี้แต่ได้เงิน 50EUR เช๊อะ!!!

ในเมืองนั้นเราสามารถ เรียกให้คนขับจอดรถซื้อเสบียงได้เช่นน้ำดื่ม ขนม หรือของใช้อื่นๆ ได้

และสำหรับสุภาพสตรีที่ประจำเดือนมาพอดี ก็มีผ้าอนามัยแบบโคตรใหญ่ขายด้วยล่ะ 555+

ในระหว่างทาง ถ้าเราลงจากรถตามหมู่บ้าน จะมีเด็กๆ มารุมขอเงินเป็นปกติ ซึ่งอยู่มาหลายวันเราก็เริ่มจะชินซะละ

แและแล้วเราก็ถึงจุดไฮไลท์ที่สุดของเมืองนี้ นั่นคือ ถนนแห่งเบาบับ หรือ Avenue of Baobabs นั่นเอง ถึงประมาณ 9 โมงกว่า แดดกำลังแรงเลยล่ะ แต่เราก็อยู่ได้ไม่นานนะ เพราะ ความงดงามจริงๆ อยู่ช่วงเย็นๆ เราจะมาดูพระอาทิตย์ตกดินกับ Baobab กัน

นี่แหละคือทางที่ไปยัง Kirindy Forest ทางเน่ามากๆ มีหลุมแอ่งน้ำ บางช่วงเป็นเหมือนแอ่งน้ำยาวๆ ค่อนข้างลึกด้วย ถึงฝนจะไม่ตกก็เข้ายากอยู่ดี แต่จะบอกว่าต้อง Off Road เท่านั้นก็พูดไม่เต็มปาก เพราะเราเห็นรถบัสคันเล็กๆ ก็มีขับผ่านเหมือนกันนะ ซึ่งเราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกับถนนแบบนี้ แต่บอกเลยสนุกกว่าตอนไปเกาะ Lemur เยอะ เพราะใช้ Off Road ไม่ต้องลุ้นว่ารถจะเป็นอะไรระหว่างทางมั้ย 555+

และแล้วเราก็ถึง Kinridy Forest ละ

อันนี้เป็นราคาค่าธรรมเนียมทั้งหมด และมีที่พักด้วยนะ ซึ่งเอาจริง ๆ ค่อนข้างแพงนะสำหรับที่นี่

สัตว์ที่มีทั้งหมดของป่านี้ แต่ที่เราเจอทั้งหมดตอนวันที่มามี Fosa, Sifaka, brown lumer และก็ paradise bird นอกนั้นไม่เจออะไรเลยจร้า.. ซึ่งแนะนำจริงๆ ถ้าจะมาป่านี้ควรมาเช้ามากๆ ซึ่งนั่นก็คือต้องหาที่พักข้างในเลยล่ะ ไม่งั้นก็แทบไม่เห็นอะไร หรือไม่ต้องมาก็ได้ จะได้ไม่เสียค่าเข้าและก็ค่าเช่า Off Road ประหยัดไปหลายเลยล่ะ อุอุอุ (มีเสียงเพื่อนรวมทริปลอยมาว่า แต่ที่นี่มีฟอซ่านะ!!!)

ตอนเราไปถึงนั้น ไกด์ที่พูดภาษาอังกฤษได้นั้นมีคิวต้องไปกับเจ้าอื่นก่อน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวรอบเช้าที่น่าจะพักใกล้ๆ อุทยานแห่งนี้ เพราะตอนเช้าๆ นั้น อากาศยังไม่ร้อนมาก เราจะเห็นสัตว์ได้หลากหลายกว่าโดยเฉพาะนกนี่ล่ะ ซึ่งระหว่างรอนั้นเราก็สั่งอาหารมากินกัน ซึ่งอาหารของที่นี่ค่อนข้างแพงเลยแหละ อาหารจานหลักขั้นต่ำจานละ 150 บาท และที่เห็นรูปข้างบนก็จานละ 200 บาทแน่ะ ซึ่งเราแนะนำเอาอะไรมากินเองดีกว่า ประหยัดกว่าเยอะ

เรากินอาหารเที่ยงได้สักพัก เอเรียสคนขับรถของเราก็มาเรียกเราไปดูเจ้า Fosa หรือนักล่า Lemur นั่งหลบร้อนอยู่ เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปใกล้มาก อาจมีอันตรายได้ แต่ดูๆ แล้ว ดูมันร้อนๆ เหนื่อยๆ ยังไงไม่รู้

"ไม่กลัวตรูกันเลย ไปดีฝ่าเช๊อะ!!"



ตัวนี้คือตัว Sifaka ลิงหน้าขาว กำลังหาอาหารกินอยู่เลย ส่วนรูปที่เห็นมันพาดอยู่กิ่งไม้นั่นคือมันกำลังนอนหลับอยู่ เอิ่ม.... = =”

ซุกซนน่าดูเลยสำหรับเจ้าพวกตัวนี้คือตัว Gidro

"นกอลูมิไลท์ นกอะไรไม่รู้ แบร "



อันนี้เป็น Male Baobab หรือเรียกแบบบ้าน ๆ ก็คือ ห....ม Baobab นั่นเอง อุอุ

เราใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงเดียวเอง ซึ่งน้อยมากๆ ขนาดที่อุทยาน Andasibe เรายังเดิน 4 ชั่วโมงเลย หรือที่เกาะ Lemur เราก็เดินประมาณนี้เหมือนกัน แต่ที่นี่แค่ชั่วโมงเดียว แต่ต้องเสียค่า Off Road อีก ค่าเข้าก็แพง ดังนั้นใครคิดจะมาที่นี่ก็คิดดีๆ เน่อ แต่ถ้าจะไปป่าหิน ซึ่งเลยจากอุทยานตรงนี้ไปอีก และแวะเป็นทางผ่าน เราว่าก็โอเคอยู่ แต่ถ้าต้องเสียอะไรหลายๆ อย่างเพื่อมาที่นี่อย่างเดียวบอกเลยไม่คุ้มอะ



เมื่อชมกันอย่างอิ่มหนำสำราญกับสัตว์นาๆ ชนิดจนคุ้มค่าแล้ว (เหรอ? = =”) เราก็เดินทางกลับทางเก่ากัน แต่ระหว่างนั้นก็มีแวะประปรายบ้าง อย่างจุดนี้ก็เป็นที่พักโรงแรมเหมือนกัน มีสระว่ายน้ำด้วยนะ

Baobab Scare เป็นจุดที่เค้าจะเอาวัว Zebu สำหรับทำพิธีมาเชือดบริเวณ Baobab ต้นนี้ ซึ่งเรามองเข้าไปอารมณ์คล้ายๆ ต้นไทรผูกผ้า 3 สีบ้านเรานั่นแหละ -*- เราสามารถเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ได้ แต่ต้องถอดรองเท้าเข้าไป

คนขับรถพาเรามาดู Baobab Lover ด้วยล่ะ เป็นทางระหว่างกลับไปยัง Avenue of Baobab ซึ่งเป็นจุดที่ทำเป็นที่พักด้วย เราสามารถสั่งอะไรมากินได้ แถมยังมีของที่ระลึกขายด้วยนะ

อันนี้แหละคือ Baobab Lover ซึ่งมันเป็นต้นเดียวกันนะ แต่ขึ้นมา 2 กิ่งพันกันเหมือนเป็นคู่รักกันเลยไง อิอิ

เราถามหา Female Baobab จากคนขับของเรา เค้าหัวเราะใหญ่เลยอ่ะ ก่อนจะบอกว่ามันไม่มี จบข่าว

ในระหว่างทางก่อนถึง Avenue of Baobab ประมาณ 1 กิโลเมตรนั้น พวกเราได้ขอลงเดินและให้รถ ล่วงหน้าไปจอดที่จุดจอดรถก่อน เพื่อจะได้ชม Baobab ในมุมมองที่ต่างจากคนอื่นๆ และเห็นวิถีชีวิตชาวบ้านที่เดินไปเดินมาด้วยล่ะ แต่จะบอกว่าอากาศเวลานั้นประมาณบ่าย 4 ก็ยังร้อนระอุเดือดอยู่ดี 555+

ในที่สุดก็เดินถึงซะที ถนนแห่ง Baobab เป็น 1 กิโลเมตร ที่ไกลจิมๆ เพราะแดดที่ร้อนมากๆ 555+

"มีเด็ก ๆ และนักเรียนมาทัศนศึกษากันอยู่เรื่อย ๆ"



ที่นี่มีลูก Baobab ขายด้วยนะ ข้างในมีเมล็ดของมันด้วย ซึ่งสามารถเอามากะเทาะและปลูกได้ด้วย ขึ้นเร็วมากๆ เลย เพราะพวกเราเอาไปปลูกกันมาแล้ว ถ้ามันขึ้นก็จะเป็นต้นอ่อนแบบที่เห็นในรูปล่ะ แต่จริงๆ แนะนำให้ไปซื้อที่ตลาดในเมือง Morondava นะจะได้ถูกกว่า หรือที่จริงจะต่อก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องถ่อไปเดินตลาดอีก 555+

อันนี้เป็นไม้เอามาแกะเป็นต้น Baobab แต่อันนี้ไม่ใช่ทำจากต้น Baobab นะ เพราะ Baobab เป็นไม้เนื้ออ่อน เอามาทำแบบนี้ไม่ได้ แต่เราก็จำไม่ได้ละว่าเขาเอาไม้อะไรมาทำ

เราได้มา 2 อัน อันขวา 25 บาท อันซ้าย 30 บาท ถ้าใหญ่ขึ้นก็แพงเรื่อยๆ แต่ราคาพวกนี้ต่อได้หมดแหละ คนในทริปเราต่อต้นใหญ่เหลือ 30 บาทยังได้เลย แต่เรารู้สึกว่าพวกเขาก็ยากจนอยู่แล้ว ก็เลยไม่อยากต่อ (สายโลกสวย อิอิ)

จิตกรรมฝาผนังมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ไม่ได้มีเพียงแค่ไทย 555+

ร้านขายอาหาร ขายน้ำ ขายเบียร์ ก็มีอยู่ทั่ว ๆ ไปที่นี่

มาดูในบรรยากาศเย็น ๆ กันรัว ๆ บ้าง ประมาณ 6 โมงเย็น สวยงามไม่แพ้กันเลย

เเราออกจากถนน Baobab ประมาณ 6 โมงกว่า เพื่อกลับมายังที่พัก ถึงประมาณทุ่มกว่าๆ แต่จะให้นอนเลยก็กระไรอยู่ เราได้ยินอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ และตอนเช้าของวันนี้เอง ก็มีสมาชิกของพวกเราไป Survey ร้านอาหารแถวนี้มาเรียบร้อย พอตกดึกแล้วเราก็ออกหากินสิ หึๆๆ แต่ไม่ต้องห่วง สำหรับเมือง Morondava นี้เราว่ามันดูปลอดภัยสำหรับตอนกลางคืนมากเลยนะ ก็เลยพากันเดินออกจ่ะ

และแล้วเราก็เจอร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีอาหารทะเลแน่นอน และสิ่งที่เราต้องการก็คือกุ้ง Lobster อันแสนอร่อย ซึ่งเราอ่านรีวิวแล้วพบกว่าตัวละ 300 บาทเอง ซึ่งมันถูกมว๊ากกก... แต่ทว่าวันที่เราไปมันหมดแล้ว และเราก็ไม่รู้จะสั่งอะไร เพราะตั้งใจมากินแค่อย่างเดียวเท่านั้น

แต่โชคชะตาก็ไม่ใจร้ายกับเราขนาดนั้น ตอนที่เราเข้าไปนั่ง มีฝรั่งคนหนึ่งซึ่งเขาเคยมาเที่ยวไทย (ตอนแรกเขานึกว่าเราเป็นคนจีน = =”) เขาเห็นพวกเรางงๆ กับการสั่งอาหาร ก็เลยเข้ามาช่วยพวกเรา เราบอกว่า Lobster มันหมดแล้ว ไม่รู้จะกินอะไร เขาก็แนะนำว่าสั่ง “Camaron” สิ ซึ่งเราได้ยินทีแรกนึกว่ากิ้งก่า Chameleon และแล้วเราก็ได้อาหารจานนี้มา ซึ่งเป็นกุ้ง Camaron ที่หอมหวานมว๊ากก ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร มันฟินมาก รสชาติเทียบกับอาหาร ในร้านอาหาร 5 ดาวได้เลย แถมถูกด้วย จานละ 180 บาทเอง *0*

ซึ่งเรากินกันเสร็จก็ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ตอนนั้นก็มืดมากแล้วล่ะ จะให้เดินกลับทางเก่า ซึ่งตอนมาหัวค่ำยังมืดเลย ก็เลยเดินกลับเลียบชายทะเล ซึ่งมันเป็นทางตรงไปยังที่พักได้เลย

บันทึกการเดินทาง Day 9 อีกวันหนึ่งของการเดินทางสุดทรหด

วันนี้เป็นวันที่เราต้องเดินทางกลับแล้ว ไปยังเมือง Antsirabe แล้ว ซึ่งการเดินทางจะเป็นรูทเดียวกับวันที่เราเดินทางจาก Tana เลยนั่นคือ ไปพักที่โรงแรม Antsirabe Hotel พออีกวันก็กลับ Tana เช้านี้เราจึงรีบตื่นเช้าหน่อย เพื่อซึมซับบรรยากาศของเมืองนี้ให้มากที่สุด เนื่องจากทางไปยัง Antsirabe อย่างที่เหมือนกับตอนมา นั่นคือค่อนข้างไกล ก็เลยต้องออกเช้านิดนุงในเวลาประมาณ 8 โมง จ่ะ



บรรยากาศชายหาดของโรงแรม CoCo Beach ในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มวิถีชีวิตของชาวประมงที่นี่ เราจะเห็นเรือออกหาปลา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรือพายไม่มีเครื่องยนต์ ซึ่งคลื่นแรงมากๆ ดังนั้นคนที่จะออกหาปลาได้ จะต้องมีทักษะการออกเรือที่สูงเลยล่ะ และที่นี่เราสามารถออกเรือไปหาปลากับชาวประมงได้ด้วยนะ เพราะตอนที่พวกเราเดินไป มีคนมาชวนขึ้นเรือด้วย เขาบอกประมาณ 3 ชั่วโมง แต่จำไม่ได้ละว่าราคาเท่าไหร่ ดังนั้นใครที่ชื่นชอบกิจกรรมแนวนี้ ก็จัดไปเลย สำหรับเราถ้าไม่ติดว่าต้องออกเช้าก็คงไปกับเขาด้วยละ เพราะใจง่าย 555+

"ห้องพักเราเองล่ะ อุอิ"



"ออกเรือกันแล้วน๊ะ ฮึบๆๆ"



สักพักนึงเราก็พากันเดินออกมาที่ตลาดใน Morondava มาดูวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ ซึ่งบอกเลยว่าชาวบ้านที่นี่ Friendly มากๆ และไม่ถูกคุกคามเหมือนเดินที่เมืองหลวงเลย

"เจ๊คนนี้มาทักทายเราก่อนด้วย อิอิ"



ที่ตลาดนี้เราสามารถซื้อผลไม้แปลกๆ ได้ รวมทั้งลูก Baobab ซึ่งถูกกว่าซื้อที่ถนน Avenue of Baobab ซะอีกนะ

"เบอร์ติดต่อรถ Off Road สำหรับคนมาเที่ยวเองนะ"


และหลังจากนั้น เวลา 8 โมง พวกเราก็กลับมาเตรียมตัวเดินทางต่อ ซึ่งก็อย่างที่บอกตอนต้น ว่าวันนี้คือวันแห่งการเดินทางเหมือนกับ Day 7 ซึ่งก็จะเป็นรูทที่ซ้ำกันเลย ซึ่งวันนี้เราต้องเดินทางไกลประมาณ 10 ชั่วโมง ระหว่างทางก็มีไปกินข้าวที่ Miandrovazo อันแสนร้อนระอุ และก็พักที่โรงแรม Antsirabe hotel อีกตามเคย ซึ่งเราไปถึงก็ประมาณ 6 โมงเย็นละ ก็เลยไปแวะ Super Market ของที่นี่เพื่อซื้อเสบียงไปกินกันตอนกลางคืนอีกเช่นเคย (ไม่ยอมเสียตังค่าอาหารให้โรงแรมนี้หรอก อิอิ)

บันทึกการเดินทาง Day 10 วันแห่งการ Shopping แห่งชาติ

วันนี้ถือเป็นวันที่ Slow Life อีกวันหนึ่ง สาวๆ ในกลุ่มเราเริ่มวางแผนช็อปปิ้งละ เพราะเป็นวันที่เราใกล้จะเดินทางกลับแล้วล่ะ พวกเราตื่นเช้ามาในวันอาทิตย์ของที่นี่ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้นับถือศาสนาคริสต์ ทำให้วันนี้ชาวบ้านหลายๆ คนจะแต่งตัวสวยๆ เพื่อไปยังโบสถ์กัน เราก็เดินเนียนไปกับฝูงชน เพื่อไปดูวิถีชีวิตของคนในเมือง Antsirabe กันว่าวันนี้เขาทำอะไรกันบ้างน้า อิอิ

"ชาวบ้านเติมน้ำกันแบบนี้แหละ"



"ขนมอันนี้ไม่อร่อยเลยแฮะ อันละ 2 บาท-*-"



"อาหารเช้าใน Day สุดท้ายในวันที่ตังเริ่มหมด -*-"



เราออกเดินทางจากโรงแรมสายหน่อยนั่นคือเวลา 9 โมงเช้า ในระหว่างทางเราจำร้านอะไรที่เล็งๆ ไว้ก่อนมาก็แวะซะทุกร้านเลย

"ตระกร้ามาเต็ม!!!"



ร้านข้างทางบางแห่ง เพียงแค่คุณเปิดประตูรถ ก็เจอกับมวลมหาประชาชนเข้ามารุมขายของละ แถมบางคนทำขนมตกยังหยิบเอามาขายต่อได้อีกแน่ะ 555+

รถของเล่นก็มีนะ อันนี้ทำมาจากไม้ทั้งอันเลย ต่อเหลืออันละ 120 บาทล่ะ อุอุ

"ต่อราคากันอย่างเมามันส์กันเลยทีเดียว"



"นางคิดว่าเป็นนางคว้าหรือไงตัวเธอว์"



"อันนี้ข้าวโพดบด มันไม่อร่อยเอาซะเล้ย!!"



ร้านขายพวกกลอง Ukulele ก็มีแหละ อย่าง Ukulele ที่เราได้มาอันละ 150 บาท แต่เพื่อนร่วมทริปเรา ต่อเหลือ 120 บาท (เธอเล่นต่อตลอดทางเลย = =”)

อันนี้เป็นร้านขายตระกร้า ซึ่งพวกสาวๆ Crazy มว๊ากกก ซื้อมาแบบจะถมบ้านกันเลยทีเดียว (ตรูจะโดนตบมะ -*-) ซึ่งต่อกันรุนแรงมากเหลืออันละ 20-50 บาท

"ช็อปมันเข้าไป ให้มันเต็มรถเล้ย วะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ"



ร้านขายของที่ระลึกก็มี ปกติขายอันละเฉลี่ย 250 – 600 บาท พี่ท่านต่อกันแบบได้อันละ 100 -250 บาท ต่อกันแบบกระหน่ำอีกเช่นเคย ดังนั้นเรื่องช็อปปิ้ง ไว้ใจพวกนางได้ อุอุ

"ไม่มีที่จะนั่งแล้วจร้า"



ระหว่างทางก่อนจะถึง Tana นั้นเราจอดพักเติมน้ำมัน ในหมู่บ้าน ก็ถือโอกาศบริจาคของเด็ก ๆ แถวนั้นเลย ตอนแรกก็มีแค่ 3-4 คน แต่พอให้ปุ้บ มาเต็มเลยจร้า

ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองหลวง Final Destination ของพวกเราละ เนื่องจากวันนั้น ตรงกับวันอาทิตย์ พอดี๊ พอดี ทำให้ร้านค้าหลายๆ ร้านปิดร้านไม่ขายแล้วโฟ้ยยยย= =” เราเลยมีทางเลือกในการกินไม่ได้มาก ก็เลยมากินร้านพิซซ่าของที่นี่

"อาหารของที่นี่อร่อยเหมือนกันแฮะ ราคาก็ตกประมาณ จานละ 150-250 บาท"



ซึ่งหลังจากเรากินเสร็จ เราก็ตรงไปยังตลาด la. Digue (ลาดีค) คือถ้าออกเสียงแบบนี้คนขับไม่รู้แน่นอน มันเป็นภาษาฝรั่งเศส แนะนำให้พิมพ์ให้คนขับดูเน่อ ถ้าเกิดอยากไปที่นี่จริง ๆ

"มีสนามรักบี้อยู่ด้วยนะ"



และนี่คือตลาดลาดีค สมรภูมิเดือดของสาวๆ อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าที่นี่คือจุดศูนย์รวมของสินค้าทุกอย่างบนเกาะแห่งนี้ ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางไปสนามบิน การที่จะมาที่นี่ไม่ใช่เพียงแค่มีตังหรือรู้ทางเพียงอย่างเดียว ทักษะการต่อราคาต้องสูงมากๆ ด้วย เพราะที่นี่ของทุกอย่าง Up ราคาจากท้องถิ่นไว้แล้วอย่างต่ำๆ 50% การต่อราคาถึงขั้นดุเดือดมากชนิดที่เดินมาเจรจาต่อรองกันข้ามร้านเลย Hard Sale สุด ซึ่งสิ่งที่เป็น Item ยอดนิยมเลยเห็นจะเป็นฝักวนิลานี่แหละ พี่ท่าน Offer ราคามาก่อนเลย 4 ฝัก 800 บาท สาวๆ ของเราต่อจนเหลือ 200 บาท ได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัวจิม ๆ *0*

โฉมหน้า Rare Item ของเรา ฝักวนิลา (ซึ่งเราไม่ได้ถ่ายตอนซื้อ) เพราะเป็นไอเทมที่ฮอตมากๆ ถ่ายไม่ทันเลย เจ้าที่แรงมาก 555+ ซึ่งตอนซื้อมันจะซิลไว้ในถุง แต่อันนี้แกะมาแล้ว เอาไว้ทำอาหาร ทำขนมได้ หรือจะใส่ดองเหล้าก็ดีนะ อิอิ

เมื่อเรากลับมายังที่พัก หรือโรงแรม Tana-Jacaranda อีกตามเคย (นี่เป็นคืนที่ 3 ละ) เราก็ออกมาเดินเล่นรอบๆ ทะเลสาบแถวที่พักเรา ซึ่งบอกตามตรง ผู้คนแออัดมาก สมกับที่เป็นเมืองหลวงเลย และตรงกลางของทะเลสาบนั้นเรา สามารถเดินเข้าไปได้นะ ซึ่งจะมีเวลาเปิดปิดนั่นคือ 9AM – 4PM หรือบ่าย 4 นั่นเอง แต่ตอนพวกเราเดินก็เลยละถือว่าเย็นเลยทีเดียว

"บรรยากาศแออัดมากมาย"



"มีของขายวางกันแบบโต้ง ๆ เลย คล้าย ๆ สนามหลวงเมื่อก่อนเลยล่ะ"



"ถึงจะเป็นย่านเมืองหลวง แต่ความยากจนและถิ่นสลัมอยู่กลมกลืนกันอย่างชัดเจนเลย"



เราออกมาเดินหาร้านอาหารกินกัน แต่ทว่าอย่างที่บอกวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ร้านแทบทุกร้านของที่นี่ปิดหมดเลย มีแต่บางร้าน แต่อาหารก็แพงมากเช่นกัน

และนี่ก็คือร้านที่เราถามจาก Reception ในโรงแรมเรา ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่พักเลย เขาบอกว่ามี Lobster ขายที่นี่ด้วย ซึ่งเราพลาดจากเมือง Morondava แล้วก็กะจะกลับมารักษาแผลใจที่นี่ แต่ทว่ามันก็ปิดวันอาทิตย์ ฮืออออ T^T

แต่ก็ไม่เป็นไร กลับมาโซ้ยเสบียงที่เหลือ ทุบหม้อข้าวก่อนกลับบ้านซะ หึๆๆ

กระเป๋าที่เราเตรียมมาเพื่อเอาไว้ใส่ของบริจาค หมดแล้วก็เอาไว้ใส่ของฝากได้เลย ประโยชน์ 2 ต่อจิม ๆ อุอุ

บันทึกการเดินทาง Day 11 กลับสู่มาตุภูมิที่ห่างหาย

และการเดินทางก็มาถึง Day สุดท้ายละ จะเป็น Day ที่เราต้องบอกลาเมืองแห่งนี้แล้วล่ะ Flight ที่เราบิน บินตอน บ่าย 4 โมง แต่ Check In ประมาณบ่าย 1 ที่จริงวันนี้เราจะนั่ง Taxi ไปเองที่สนาบบิน เพราะไม่อยากเสียเงินค่าตัวเอเรียสวันละ 50EUR แต่เอเรียสเสนอเองว่าเดียวเขาจะไปส่งเอง คิด 800 บาท แต่ตอนหลังเขาก็ลดให้เหลือ 500 บาทเท่ากับ Taxi ที่มาจากสนามบิน ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน สงสัยจะรู้ตัวรึเปล่าว่าทำกับพวกเราไว้เยอะ 555+



ดังนั้นเราจึงมีเวลาเหลือในตอนเช้า ซึ่งจะให้นอนอุตุยันเที่ยง ก็กระไรอยู่ มาเที่ยวไกลขนาดนี้ มันต้องช็อปปิ้งเซ่!!!!

"ของฝากเรา มีแค่นี้เองน๊ะ *-*"



"อาหารเช้าของเค้าเอง กลับไทยคงเลิกกี่เนื้อวัวไปหลายเดือน 555+"



เราเดินกันไปเองที่ Super Market ในตอนเช้า เพราะมันอยู่ไม่ไกลจากที่พักไม่มากนัก ซึ่งการที่เรามา Super Market ของที่นี่ ทำให้เราเห็นอะไรที่สะท้อนของสังคมที่นี่เลย แฟ้บของที่นี่แพงมาก ถุงละเกือบ 200 กว่าบาท ถ้าเป็นที่ไทยแค่ 60-70 บาทเอง เลยไม่แปลกที่คนที่นี่ใส่เสื้อผ้าไม่ค่อยสะอาด และของใช้หลายๆ อย่างก็แพงถ้าเทียบกับที่ไทย และถ้าเทียบค่าครองชีพด้วยนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย

ของที่ถูก และน่าสนใจของที่นี่มีเพียงอย่างเดียวนั่นคือโซน Alcohol อย่างที่บอกไว้ตอนต้น เหล้าเบียร์ไวน์ที่นี่ถูกมากๆ เหมาะแก่การหิ้วกลับมายิ่งนัก หึๆๆ ซึ่งสรุปเราก็ได้แต่พวกเบียร์และไวน์นั่นแหละ เป็นของฝาก ทำไมขี้เหล้ากันอย่างนี้นะเรา 555+

หลังจากที่ช็อปกันอย่างเมามันส์แล้ว ก็กลับมาแพ็คของกันอีกที ก่อนขึ้นรถไปกับเอเรียส พอถึงสนามบินก็จ่ายค่ารถ 500 บาท + กับทิปอีก 500 บาท เพื่อเป็นกำลังใจในการเป็นไกด์ที่ดีต่อไป 555+



มาถึงสนามบิน ก็เจอกับอารมณ์เดิมๆ มีเด็กขนของมาพยายามช่วยขนของให้เรา พอไปถึงจุด Check In มาขอตังเราด้วย ให้ไปไม่กี่ร้อย Ar ก็บอกน้อยไปอีก ต้องควัก EUR ให้ โหยยย แสบจริงๆ จากนั้นก็ไปแลกเงินกลับ ซึ่งตอนนั้นเราได้เรท 4,000Ar/EUR พอดีเลย ได้มารวมกับเศษ EUR ที่มีอยู่รวมเป็น 115EUR พอดี



แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เมื่อเพื่อนร่วมทริปของเราเอาลูก Baobab กลับมาด้วย ซึ่งนางดันไปล็อกกระเป๋าซะดิบดี ทีนี้ ตม. ตรวจเจอลูก Baobab เขาก็คงนึกว่าเป็นระเบิดมั้ง ประกาศเรียกในสนามบินด้วย พวกเราก็ตกใจหมด เหยยย จะโดนไรปะวะเนี่ย แต่สุดท้ายก็เคลียร์กันได้ ซึ่งที่จริงเขาก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันเป็นลูก Baobab แต่ตรวจเพื่อความชัวร์ ซึ่งเราบอกเลย ถ้าจะเอาลูกนี้กลับบ้านต้องใส่กระเป๋าที่เปิดได้ด้วยนะ จะได้ไม่โดนเข้าใจผิด 555+



และมันก็ยังไม่จบนะ (ยังมีอีก= =”) เรื่องของเราเอง ด้วยความที่เราเพิ่งเคยมาต่างประเทศครั้งแรก สกิลการเอาตัวรอดเราเลยน้อยมาก สรุปสั้นๆ คือโดนเจ้าหน้าที่ไถตังนั่นแหละ คือมันจะมีจุดที่ตรวจเช็คของที่ถือขึ้นเครื่อง พอคนนึงตรวจเสร็จแล้ว อีกคนก็มาเนียนตรวจต่อ มาขอเช็คกล้องเราด้วยแน่ะ แถมเอากระเป๋าตังเราไปเปิดอีก โคตรไร้มารยาทอะ แล้วก็ดู Passport คงเห็นว่าเรา Rookie มั้งขาวโพลนเลย เลยเรียกเราเข้าห้องเย็น ตอนแรกก็คิดว่าคงจะเรียกไปถามว่ามาทำไม อะไรยังไง แต่ที่ไหนได้ นางบอกเลยจร้า “Money for me” ถึงบางอ้อเลย ขอเงินนั่นเอง เราอึนไปสักพัก บวกกับกลัวด้วยนิดนึงว่านี่ตรูมา ตปท. ครั้งแรกก็เจอไรแบบนี้เลยรึ จะโดนกักตัวไม่ให้กลับมั้ยวะ เงิน Ar ก็แลกไปหมดแล้ว เหลือส่วนที่จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก จะให้แบงค์ EUR ก็เยอะเกิน ก็เลยควักแบงค์ 20 บาทไทยให้ แล้วก็บอกว่า มันมูลค่าเท่ากับ 10EUR นั่นแหละ ตอนแรกก็บอกน้อยโคตร แต่พออธิบายนางก็เชื่อเนอะ 555+



เรา Check In กันตอนบ่าย 1 เครื่องออกตอนบ่าย 4 แต่เอาเข้าจริงมีเลท ออกเกือบ 5 โมงเย็นแน่ะ สิ่งที่อยากจะบอกเลยคือสนามบินที่นี่เล็กมากๆ ขนาดเป็นสนามบินที่ดีที่สุดของที่นี่แล้ว แต่อารมณ์ไม่ต่างจากสนามบิน ตจว. บางแห่งในไทยเลยนะ



นี่คือวิวที่มองจากเครื่องบิน Kenya Airway ซึ่งไม่รู้ว่าคนในประเทศนี้จะมีซักกี่คนที่ได้เห็นมุมมองของเมืองที่พวกเขาอยู่ ในจุดๆ นี้.....

เราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงถึงสนามบิน Nairobi รอ Transit จนถึงเที่ยงคืน ก็บินกลับไทยอีก 10 ชั่วโมงเห็นจะได้ มาถึงสุวรรณภูมิตอนบ่าย 2 แต่พิเศษหน่อยสำหรับคนที่เดินทางมาจาก Kenya ต้องเข้าคิวตรวจสมุดไข้เหลืองก่อนเข้าไทยด้วยนะ ซึ่งไม่มีอะไรหรอก คนในทริปเราเป็นหวัดก็ผ่านได้ ไม่ต้องกังวลจร้า จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านเป็นอันจบทริปเน่ออออออ ^ - ^

สิ่งที่จะพูดถึงตอนท้ายนี้ถึงคนขับรถ ไกด์ของเรา และก็ประเทศนี้

เอเรียสหรือคนขับรถของเราไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่ด้วยความที่เขาอาจจะใหม่สำหรับวงการนี้ บางครั้งเขาก็อาจจะไม่รู้ว่าควรวางตัวยังไง ซึ่งหลายครั้งเขาก็พยายามที่จะช่วยพวกเราเหมือนกัน แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องภาษา ทำให้เขาไม่กล้าที่จะคุยกับพวกเรา ซึ่งมันก็ไม่ได้ถึงกับไม่ได้เลย แต่ก็ไม่มากพอกับการที่ต้อง Service พวกเราให้ดีได้ เราเลยเรียกเขาว่าไกด์ไม่ได้ เขายังอยู่ใน Status คนขับรถอยู่ ซึ่งเขาก็ถามพวกเราบ่อยๆ เหมือนกันนะว่ารู้สึกยังไงกับการเที่ยวครั้งนี้... แต่ก็หวังว่าอนาคต ถ้าเขาฝึกภาษาได้มากกว่านี้ เขาจะเป็นไกด์ที่ดีได้คนหนึ่งเลย



อีตาเบื่อหน่าย ไกด์จริงๆ ของเราที่คุยเมล์ด้วยกันมานมนาน เขาเป็นไกด์ที่เก่งนะ ภาษาอังกฤษดีเลย ฟังง่ายด้วย Entertain เก่ง ข้อมูลเยอะ แต่ที่บ่นๆ มาทั้งทริปไม่ได้จะมาดิสเครดิตเขา แต่โกรธที่เขาพูดไม่เป็นคำพูด ถ้าบอกว่าเขาไม่ได้ไปด้วยแต่แรกก็คงไม่โกรธมาก พวกเราทำใจได้แต่แรกแล้วล่ะกับการที่ไม่มีไกด์ในทัวร์ แต่กระทู้เราต้องเขียนแบบนั้นเพราะอยากให้มัน Real ที่สุด ให้รู้ถึงอารมณ์ ณ จุดๆ นั้นว่ามันเป็นยังไง เราได้ไกด์คนนี้มาจากกระทู้รีวิวมาดากัสการ์ในทู้ก่อน ซึ่งพวกเขาติดต่อ Agency โดยตรง ทำให้เขาไม่สามารถรับงานซ้อนกับคนอื่นได้ แต่เราติดต่อทางเมล์กับเขาโดยตรง ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งถามจุดๆ นี้ ถ้ามีคนมาให้เราแนะนำไกด์ เราก็แนะนำอีตานี่แหละ แต่ก็บอก Fact ไปว่าเขาเป็นอย่างนี้นะ รับได้ไหม 50EUR/วัน ได้แค่คนขับรถ ถ้ารับได้ก็จัดไป หรือไม่ก็ถามดีๆ ว่าช่วงที่ไปเขาจะมาเป็นไกด์ให้เราได้มั้ย จะได้ไม่เฟลเหมือนกับพวกเราเนอะ



ประเทศนี้เป็นเหมือนประเทศที่ด้อยพัฒนาประเทศหนึ่ง ซึ่งข้อมูลทั่วไปในมุมมองเราก็บอกไปหมดแล้วเนอะในตอนต้นๆ และก็อย่างที่บอก ที่นี่เป็นประเทศแรกในชีวิตที่เรามา ถามว่าทำไมถึงเลือกที่นี่ ตอบตรงๆ เลย เพราะว่าตั๋วโปรนี่แหละ และอีกอย่าง เราพึ่งเริ่มเที่ยวแบบจริงๆ จังๆ ประมาณ 2 ปีที่แล้วเอง ก็เลยอยากจะผจญภัยสู่โลกกว้าง จะไปไหนก็ได้ ขอให้ได้ไปเหอะ ซึ่งสิ่งที่เราได้จากประเทศนี้คือ ได้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งของโลกนี้ เราเคยเห็นความกันดารของประเทศโลกที่ 3 ผ่านหน้าจอทีวี แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่เห็นจะอินเลย พอมาถึงที่นี่บอกเลยว่าเข้าถึงจิตวิญญาณเลย ถ้าคิดว่าตามชนบทหรือสลัมในไทยมันแย่ บอกเลย ที่นี่แย่ไปอีก 10 เท่าแหละ เพราะไม่มีใครมาเหลียวแล ตั้งชมรมจิตอาสาแบบในไทย พวกเขาต้องต่อสู้ชีวิต และอยู่รอดด้วยตัวเขาเอง



ทีนี้ลองมองย้อนลงมาที่ตัวคุณสิ ในวันนี้พวกคุณยังมีชีวิตที่ดี ยังมีข้าวให้กิน ยังมีคนในสังคมไทยบางคนที่ยังเหลี่ยวแลคุณ จะไปท้อทำไม ทั้งๆ ที่บนโลกนี้ยังมีคนที่แย่กว่าคุณอีกเป็นล้านๆ คน...

สรุปค่าใช้จ่ายของทริปนี้ทั้งหมด

ค่าใช้จ่ายจะแบ่งเป็น 4 หมวด หลักๆ เลย นั่นคือ ค่าเดินทาง ที่พัก อาหาร และค่าเข้าชม ซึ่งนี่เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ 4 คนเนอะ คือส่วนที่ใช้เงินจากการลงกองกลาง ถ้าอยากรู้/คน ก็หาร 4 จบจ่ะ เรามีการสรุปค่าใช้จ่ายกันทุกวัน ซึ่งเราจะลงกองกลางทีละ 100k - 200k จะมีครั้งแรกทีเดียวที่ลง 500k เพราะต้องกระจายความเสี่ยงกันไม่ให้เงินอยู่ที่ใครมากเกินไป เพราะเงินของที่นี่เราต้องถือจำนวนเยอะมาก



ซึ่งค่าตั๋วที่เราได้ทุกคนคือ 12,775 บาท และก็ค่ากินค่าเที่ยว เอาเฉพาะของเรา คนอื่นอาจสูงกว่าเราหน่อย เพราะของฝากเยอะกว่า ซึ่งเราแลกมาทั้งหมด 640EUR เรท 38.80 บาท เท่ากับว่าทริปนี้เราใช้จ่ายทั้งหมดไม่รวมตั๋วคือ (640-115)*38.8=20,370 บาท ถ้ารวมตั๋วก็ 12,775 + 20,370 = 33,145 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้จร้า

**หมายเหตุ ในส่วนของตารางที่เป็นสีๆ ให้หาร 4 จะเป็นค่าใช้จ่ายต่อคน

ส่วนอันเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเราเอง หรืออะไรที่กินแล้วราคาไม่เท่าชาวบ้านก็ต้องจ่ายเองดังนี้ (หน่วย Ar.)

BB-Knight TV

 วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 13.38 น.

ความคิดเห็น