"ครั้งหนึ่งในชีวิต คือผู้พิชิตภูกระดึง"

คำนี้คงทำให้หลายคนอยากไปสัมผัสสักครั้ง บางคนไปมากกว่า 1 แต่หลายคนคงยังลังเลว่าจะไหวมั้ย

รีวิวเหมาะกับคนที่กำลังหาข้อมูลและการเตรียมตัวจะขึ้นภูกระดึงครั้งแรกนะคะ โดยทริปนี้ไปมา 3 วัน 2 คืน ระหว่างวันหยุดยาว 12 - 14 ตุลา 62

ใครที่ชอบเที่ยว มาติดตามทริปอื่นๆได้ที่ :: https://www.facebook.com/krandurntrang น้าาา

ภูกระดึงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้พิชิตตั้งแต่ 1 ต.ค. - 31 พ.ค. ของทุกปี โดยแต่ละฤดูมีเสน่ห์แตกต่างกันไป

  • อยากล่าทะเลหมอก มอสสีเขียวๆและน้ำตก ให้ไป ตุลา-พฤศจิกา
  • อยากล่าใบเมเปิ้ลสีแดง พร้อมอากาศหนาว ให้ไป ธันวา-มกรา
  • อยากล่าทางช้างเผือก กับดาวเป็นล้านดวง ให้ไป กุมภา-เมษา
  • ส่วน พฤษภา ก็จะร้างๆหน่อย ร้านค้าเหลือน้อย เหมาะกับคนรักความสงบ

เอาละ!! มาถึงการเดินทาง ซึ่งถือว่าสะดวกมากทั้งรถยนต์ รถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน

สำหรับเราเลือกเดินทางโดยรถทัวร์ ต้นทางหมอชิต2 -ปลายทางวังสะพุง นี่คือการขึ้นรถทัวร์ไปภูกระดึงครั้งแรก จากการหาข้อมูลคร่าวๆ แบบคนไม่เคยใช้บริการ เลยตัดสินใจใช้ บขส.999 แล้วเลือก vip ม.4ก มา เป็นรอบ 21.30 น. รถ 2 ชั้นแบบในภาพ


ความเห็นส่วนตัว:: มารถทัวร์รอบค่ำจากกรุงเทพฯ ถึงผานกเค้าตอนเช้าดีที่สุด ได้นอนมาในรถ อย่าขับมาเองเลย เพราะเช้าก็ต้องเดินขึ้นภูต่อสงสารคนขับ


จากการใช้บริการ :: รถกว้างสบายดี นั่งเบาะคู่ปรากฎว่า ฝั่งติดหน้าต่างแอร์เย็นมาก ส่วนฝั่งติดทางเดินไม่โดนแอร์เลย ทั้งที่พยายามปรับแล้ว แถมไม่มีรูเสียบชาร์ตแบต แต่เห็นแอร์เมืองเลยชาร์ตจากที่นั่งได้

หลังจากมาถึงหมอชิต ทำให้ได้เห็นรถทัวร์หลายแบบ คิดว่าเลือก ม.1ก แบบรถชั้นเดียว และน่าจะสบายสุด ดูกว้าง ต่างจาก ม.4ก ที่เรานั่งแค่ชั้นเดียวกับสองชั้น เพราะฉะนั้นรถน่าจะส่ายน้อยกว่า
คำแนะนำ ::: การจองผ่านไทยรูท ง่ายดี สามารถปริ้น e-ticket เดินขึ้นรถทัวร์ได้เลย จะเปลี่ยนวันเดินทาง หรือคืนตั๋วออนไลน์ก็ได้ ไม่ยุ่งยาก แต่โดนหัก 10% เพราะมีเพื่อนร่วมทริปเราก็ไปไม่ได้ 1 คน

ประมาณ 6.30 รถก็มาจอดฝั่งตรงข้ามร้านเจ้กิมเลยค่ะ วันนี้รถติดเลยมาถึงช้า ปกติราวๆตีห้าครึ่งจะถึง ตอนซื้อตั๋ว ถ้าไม่มีให้ลงผานกเค้า ให้เลือกเป็นวังสะพุงค่ะ แล้วบัสโฮสจะถามอีกครั้งว่าลงไหน เราค่อยบอกว่าลงผานกเค้า และนี่คือผานกเค้า ร้านเจ๊กิม สถานที่กินข้าวเช้า ล้างหน้า แปรงฟัน ของเรานั่นเอง

ที่ร้านเจ้กิม เหมือนเป็นจุดรวมพลคนขึ้นภูเลยค่ะ ทุกคนจะมาถึงที่นี่ตอนเช้าพร้อมๆกัน ด้านหลังร้านมีห้องน้ำให้ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน พักผ่อนตามอัธยาศรัย เราเลือกล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าว และซักแห้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นสองแถวแดงที่อยู่หน้าร้านเจ้กิม ไม่ต้องกลัวไม่มีคนหารค่ารถนะคะ อารมณ์สองแถวบ้านเรานี่ละ ขึ้นรถไปก็จะมีเพื่อนร่วมทางขึ้นตามๆกันมา พอครบ 10 คนรถก็ออก หรือพอเห็นได้สัก 7-8 คนรถก็จะบอกว่าตกคนละ เท่าไหร่ ถ้าทุกคนโอเคที่ 35-40 บาท รถก็ออก (ราคาเหมา 300/10คน) ใช้เวลา 15-20 นาที ก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูกระดึง

ก่อนจะถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราต้องเสียค่าเข้าอุทยานกันก่อนนะคะ ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท เด็ก 20 บาท เมื่อมาถึงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อย่ามัวแต่ถ่ายรูปด้านหน้าจนเพลิน เพราะเราต้องเข้าไปด้านในต่อแถวกับคนอีก 2 จุดนะคะ


จุดที่ 1 ::: ด้านขวามือ เป็นการซื้อประกันภัย คนละ 10 บาท ตรงนี้ได้ความรู้จากเพจคนรักภูกระดึงว่า หากเราเกิดอุบัติเหตุ ขาพลิก ขาแพลง เดินไม่ไหว เราสามารถเรียกลูกหาบระหว่างทางให้แบกเราได้ฟรี เพราะถือว่าเราซื้อประกันไว้แล้ว แต่ต้องเจ็บ ป่วย อุบัติเหตุจริงๆนะ
จุดที่ 2 ::: ด้านซ้ายมือ เป็นการติดต่อเช่าเต้นท์ เครื่องนอน หมอนต่างๆ รวมถึงคนที่จองผ่านอินเตอร์เน็ทมาแล้วก็ต้องมาแจ้งตรงจุดนี้ก่อน แสดงหลักฐานการจ่ายเงิน แล้ว จนท.จะเซ็นต์ชื่อกำกับในใบที่เราปริ้นมา นี่คือน่าตา บัตรเข้าอุทยาน และบัตรที่ซื้อประกันมาค่ะ

สำหรับใครที่มาครั้งแรก โดยเฉพาะผู้หญิง หรือคนที่ต้องการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง (แบบเรา) ว่ามาถึงจะมีที่นอนแน่ๆ แนะนำจอง ออนไลน์มาเลย โดยสมัครสมาชิกแล้วเลือกเต้นท์หรือบ้านพักที่
http://nps.dnp.go.th/reservation.php?id=62

สำหรับใครที่อยากจองบ้านพัก แนะนำนับวันให้ดีๆ แล้วรีบจองล่วงหน้าก่อนเดินทาง 60 วันให้แม่น ๆเพราะเต็มไวมากๆๆ
ส่วนเต้นท์ ของทางอุทยานตอนนี้ก็จองออนไลน์ได้แล้ว อย่างเราไปช่วงวันหยุด 3 วัน การจองออนไลน์ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพราะทำให้มีที่นอนแน่ๆ และที่สำคัญไม่ต้องเข้าคิวนานในการเอาเครื่องนอน หมอน ที่ด้านบน หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ไม่ต้องจองครับ/ค่ะ ไปติดต่ออุทยานได้เลย จริงๆทำได้ค่ะ แต่ใครที่มาครั้งแรกคงอยากเตรียมตัว การจองออนไลน์ ชำระเงินมาเลยก็สะดวกไม่น้อย

เดี๋ยวจะเล่ารายละเอียดเรื่องราคาให้ฟังอีกทีน้าา
กลับมาที่ศูนย์บริการลูกค้า หลังจากติดต่อเรื่องเต้นท์ และชำระค่าประกันอุบัติเหตุเรียบร้อย ด้านในซ้ายมือ ก่อนขึ้นภูคือจุดบริการลูกหาบ โดยเราจะต้องซื้อบัตรเพื่อติดสัมภาระใบละ 5 บาท ตามจำนวนกระเป๋าที่เราจะให้ลูกหาบแบก


จากนั้นเขียนชื่อ เบอร์โทรใส่บัตรแล้วนำไปผูกกับสัมภาระ จนท.จะชั่งสัมภาระทีละใบ เศษปัดเป็น 1 กิโล
เช่น 1.2 kg ปัดเป็น 2 กิโล ย้ำนะคะ ชั่งทีละชิ้น เพราะฉะนั้นคำนวณน้ำหนักและของที่จะให้หาบดีๆ กิโลละ 30 บาท โดยไปชำระเงินให้ลูกหาบที่ด้านบนหลังของเราไปถึง




หลังส่งสัมภาระให้ลูกหาบ เราจะเก็บหางบัตรไว้ เพื่อไว้รับของด้านบน ถึงเวลาเดินขึ้นภูแล้ว เพลงชาติขึ้นพอดี เริ่มสตาร์ทที่ 8.00 น. ไหว้ศาลที่ทางขึ้นด้านขวามือเสร็จก็ลงชื่อขึ้นภูเอากฤษ์เอาชัย แล้วเดินไปกันเลย



อุทยานจะไม่อนุญาตให้ขึ้นหลังบ่ายสอง ดังนั้นช่วง 7-8 โมงเช้าคือเวลาขึ้นภูดีที่สุดเพราะไม่ร้อน นี่คือป้ายที่บอกระยะทางทั้งหมด เห็นแล้วอย่าเพิ่งท้อใจกันน้าาา ลุย!!


จะบอกว่าซำแรกเหนื่อยสุด เป็น 1 โลที่ยาวนานมาก เพราะไต่ระดับความสูง เดินเหยียบหินดันตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ เตรียมน้ำดื่ม โดยเฉพาะแป๊ปซี่ใส่น้ำแข็ง ไปเลย ... ดูพยากรณ์ว่าฝนจะตก แต่พอไปจริงแดดแรง ร้อน และกระหายน้ำซ่าๆมากก พักทุกๆ 2 นาทีก็ว่าได้ นี่ล่ะ ผลจากการไม่ออกกำลังกายมา

หันไปเห็นเด็กน้อย ยังเดินไหว ใจเราก็ต้องสู้!!


ลำพังตัวเองยังแทบแย่ ยอมใจลูกหาบที่แบกของจริงๆ

ยิ่งเดินยิ่งดูเหมือนไกล หมดแรงตั้งแต่ซำแรกจริงๆ


ถ้าผ่านซำแรกไปได้ ถือว่าคุณเก่งมากแล้วค่ะ ระยะทาง 1 กิโล เราใช้เวลาไป 40 นาที เพราะต้องปีนก้อนหิน ดันตัวเองไต่ความสูง ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายมา ระวังข้อเข่าและขาด้วยนะคะ



ซำแรกถือว่าวัดใจมากๆ จะทะเลาะกันมั้ย จะไปต่อหรือกลับก็วัดกันที่ซำแฮกนี่ละ แต่อยากให้ทุกคนเดินไปเรื่อยๆ แข่งกับใจตัวเองก็พอ ส่วนเราไม่รีบร้อนอะไรเลยแวะจัดทั้งข้าวและแตงโม พักยาวๆไปอีก 1 ชม.



เติมพลังเสร็จ ก็เดินต่อไป ซำบอน - ซำกกกอก 2 ซำนี้ไม่มีร้านค้านะคะ เตรียมน้ำมาให้พร้อมจากซำแฮกเลย


เดินมาอีกหอบใหญ่ๆก็ถึงซำกอซาง เราแวะนั่งกินน้ำ พักขาอยู่ซำนี้อีกเกือบ 20 นาที เพราะมันทั้งร้อน ทั้งเมื่อยจริงๆ


หลังจากนั้นเราก็เดินๆ หยุดๆมาเรื่อยๆ เพราะมันเหนื่อยและร้อนมากก บางช่วงไม่มีต้นไม้เลย แนะนำให้มองข้างหน้าระยะใกล้ๆพอ อย่ามองไปไกลเพราะเวลาเห็นแล้วมันท้อมากกกก




จุดนี้ยอมใจลูกหาบมากๆ ลำพังเดินตัวปลิวยังเหนื่อย แต่พี่เค้าแบกของเป็นร้อยโลมาให้ ยอมจ่ายจริงๆค่ะ โลละ 30 บาท หลังจากเดินๆหยุดๆมาสักพัก จากซำแคร์ จะไปหลังแปถือเป็นช่วงที่ต้องปีนบันไดค่อนข้างสูงและบางช่วงชันมาก ใครพาผู้สูงวัย และเด็กๆมา ต้องระมัดระวังดีๆนะคะ



และแล้วในที่สุดช่วงบ่ายสองครึ่งเราก็มาถึงหลังแป จุดนี้มีคนต่อคิวถ่ายรูปกับป้ายเยอะมากๆ



ส่วนเราก็กลายเป็นคนง่ายๆไปเรียบร้อย นั่งไหนก็ได้ นอนไหน กินอะไรก็ได้ ถ่ายรูปมุมไหนก็ได้ เพราะมันเมื่อยมากแล้วค่ะ 55


เราใช้เวลาพักตรงนี้เกือบ 40 นาที เพราะอากาศดี และลมเยนสบาย ก็ต้องเดินต่อทางเรียบเพื่อไปยังศูนย์บริการนัก ทท.วังกวางกัน



เจอกับต้นสนในตำนานที่ใครก็ต้องแวะถ่ายรูป


และแล้วเราก็มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ใครที่จองเต้นท์และเครื่องนอนด้านล่าง ก็ให้มาติดต่อที่ด้านใน รวมถึงใครต้องการชาร์ทแบตทุกชนิดก็มาติดต่อได้ โทรศัพท์/กล้อง 20, powerbank 40 บาท


ส่วนเราเลืองจองออนไลน์มาแล้ว เลยไม่ต้องต่อคิว เดินเลยไปอาคารด้านหลัง ยื่นใบจองให้ จนท.ก็รอรับเครื่องนอน หมอน ได้เลย และ จนท.จะบอกหมายเลขเต้นท์ให้อีกที และนี่ก็คือหน้าตาเต้นท์ของอุทยาน


สำหรับเต้นท์ของอุทยาน นอนได้ 3 คน ราคา 225/คืน

- ถุงนอน ราคา 30/คืน

-แผ่นรองนอน 20/คืน
-หมอน 10/คืน


จริงๆมีผ้าห่มด้วยนะคะ ราคา 30/คืน แต่เราไม่ได้เช่า ดูจากภายนอกก็หนาพอสมควร แต่หมอนขอบอกว่าเล็กมาก แนะนำให้หาผ้ารองให้สูงขึ้นน่าจะนอนสบายกว่า ขออนุญาตนำรูปประกอบจากเพจคนรักภูกระดึงค่ะ


ตอนแรกตั้งใจว่าเก็บของเสร็จจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก แต่ปรากฎว่าลูกหาบมาถึงช่วงห้าโมงกว่า เราเลยเปลี่ยนใจ ไปอาบน้ำ แล้วหาข้าวกินแทน
ความคิดเห็นส่วนตัว :: การจองและนอนเต้นท์อุทยาน เหมาะกับคนขี้กลัวและชอบสบายๆหน่อย เพราะจะนอนติดๆกัน และกางไว้ให้แล้ว ข้อเสียคืออาจจะได้เสียงกรนจากเต้นท์อื่น
ส่วนเต้นท์ร้านค้า ข้อดีคือ เลือกทำเลเองได้ เหมาะกับคนรักสงบ ข้อเสีย อันนี้แล้วแต่คนมอง แต่เรารู้สึกว่าเล็กกว่าของอุทยาน ดูเก่ากว่าด้วย ถ้ากางไม่เป็นร้านค้าช่วยได้เหมือนกัน
และเนื่องจาไปหน้าฝน แน่นอนว่าทาก/ทากุจัง เยอะมาก เราจึงใช้วิธีโรยปูนขาวรอบเต้นท์ ในเต้นท์ก็ทาน้ำมันมวย เพราะขี้กลัว มีคนนอนแล้วโดนกัดแขน กัดหู เลยยอมมึนน้ำมันมวยดีกว่า สรุปได้ผลไม่มีทากในเต้นท์
ส่วนมื้อค่ำของคืนแรก แน่นอนค่ะว่าต้องประเดิมด้วยหมูกะทะ เซตนี้ 400 บาทกิน 2 คนอิ่มมากๆ


ถ้านอนเต้นท์ จะเป็นห้องอาบน้ำรวมนะคะ ไม่มีน้ำอุ่นต่อคิวกันยาวไปๆ ที่อาบน้ำนานเพราะ 1.น้ำเย็นมากๆ 2.ห้องน้ำไม่เพียงพอต่อนักท่องเที่ยว และ 3.ข้อนี้เด็ดสุด ล้างสบู่ไม่ออกค่ะ ล้างนานมากตัวลื่น มีนักท่องเที่ยวที่มีโอกาสคุยกันแนะนำว่า ให้ใช้สารส้มถูตัว พร้อมกับตอนที่จะล้างสบู่ จะทำให้ไม่ลื่นมลองนำไปใช้ดูนะคะ

อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 2 :: 13 ตุลา 62

วันนี้เราตื่น 04.30 น.ไปล้างหน้า แปรงฟัน เพื่อเตรียมไปรวมตัวกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่ ศูนย์บริการ เพราะจะมี จนท.อุทยานพาเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นตอนตี5 เช้าวันที่ 2 บอกเลยว่าขนาดกินยาคลายกล้ามเนื้อ ทาครีมก่อนนอนมาแล้ว ขายังตึงมากกกก จากศูนย์บริการไปผานกแอ่นระยะทาง 2 กิโล แต่เดินไม่นานก็ถึง รอเวลาพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะ



โผล่ขึ้นมาแล้วว



แปปเดียวก็ขึ้นมาเต็มดวง


ตรงจุดนี้ได้ภาพยามเช้ามาเยอะมากค่ะ บรรยากาศมันพาไป ~~




สักประมาณ 7 โมงเราก็เดินกลับเต้นท์ เตรียมกินข้าว เพื่อเดินเที่ยวรอบภูกระดึง เช้านี้ก่อนออกเที่ยวรอบภู อย่าลืมไปลงชื่อเพื่อใช้บริการลูกหาบนะคะ
ถ้าขาลงภูใครจะใช้บริการลูกหาบให้ไปลงชื่อก่อนสิบโมงเช้าก่อนเดินทางหนึ่งวัน
ทีแรกลังเลว่า จะเช่าจักยานปั่นดีมั้ย เพราะเมื่อยขามาก หรือครั้งแรกเราควรจะเดินดี (แต่ก็เมื่อยมาก) 555
สรุปเลยเดินไปร้านจักรยาน กะว่าเช่าก็เช่า แต่ปรากฎว่าเต็มจ้าาาาาาา เค้ามาเช่ากันตั้งแต่เมื่อวานนน
ใครมาเที่ยวแล้วอยากปั่นจักรยาน เช่าล่วงหน้าสักวันนะ ไม่งั้นเต็มแน่นอน สรุปเราก็เดิน 555 ใต้เลขห้า มีความเมื่อยล้าซ่อนอยู่
สำหรับราคาเช่าจักรยานแบบมีเกียร์ ราคา 350 บาท มีค่าธรรมเนียมอุทยาน 10 บาทรวมเป็น 360
ส่วนจักรยานล้อโต FAT BIKE ราคา 400 บาท ค่าธรรมเนียมอุทยาน 10 บาท รวมเป็น 410
ส่วนตัวคิดว่าแบบล้อโตน่าจะสะดวกกว่า หลังเช่าเสร็จทางร้านจะแนะนำเส้นทางสำหรับจักรยานและทดสอบพื้นฐานการปั่นก่อนออกจากร้าน

กลับมาที่ความจริง การเดินของเรา จนท.แนะนำให้เดินไปทางเส้นน้ำตกก่อน แล้วค่อยกลับทางเส้นหน้าผา เพราะหลังบ่ายสอง หรือบ่ายสามนี่ละ อุทยานไม่อนุญาตให้เดินผ่าน เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ป่าที่อาจออกมาหาน้ำกิน


การเดินวันนี้เลยเริ่มต้นจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วเดินเลี้ยวขวา เพื่อไปน้ำตกถ้ำใหญ่


ระหว่างทางก็จะเจอกับลานพระพุทธเมตตา ไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลกัน



นนี้เราเจอน้องๆผู้พิการทางสายตาขึ้นมาที่บนภูด้วย ทึ้งมาก ทั้งตัวน้องๆเอง และพี่เลี้ยงที่พาน้องขึ้นมาได้ จากนั้นเราก็เดินกันต่อเพื่อไปน้ำตกถ้ำใหญ่ จริงๆมีทางไปน้ำตกเพ็ญพบใหม่ด้วยแต่บอกเลยเราไปไม่ไหว 55


ทางเดินบนภูแม้จะเป็นทางเรียบ แต่บางช่วงก็ลื่น แนะนำใส่รองเท้าที่ดอกยางลึกๆ เกาะพื้นนะคะ ทริปนี้เราลองซื้อรองเท้าเดินป่าจีนแดงจากแถวๆ BTS พญาไท ราคา 290 บาท ปรากฎว่าใส่โอเคมาก


เดินมาสักพักก็ถึงน้ำตกถ้ำใหญ่ค่ะ


ที่น้ำตกถ้ำใหญ่ ถ้าเป็นช่วงใบเมเปิ้ลแดง ถือว่าที่นี่สวยมาก เพราะใบเมเปิ้ลจะหล่นเต็มทางเดิน แน่นอนว่า เราจะกลับมาชมความงามนั้นอีกสักครั้ง ❤️



เดินกันต่อ ไม่รอแล้วนะ จุดหมายต่อไปสระอโนดาตค่ะ

ส่วนตัวคือเหมือนบ่อน้ำกว้างๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อ่างเก็บน้ำวังกวางน่าจะสวยกว่า เสียดายไม่ได้เดินไปดู

ตรงสระอโนดาตถ้าเป็นจักรยานจะบังคับให้เลี้ยวซ้าย ไปทางเส้นหน้าผาเหยียบเมฆ ส่วนคนที่เลือกเดินแบบเราสามารถใช้เส้นด้านในไปน้ำตกต่อได้ เราเลยเลือกเดินไปน้ำตกอีกหนึ่งที่ คือ น้ำตกสอเหนือ


จริงๆน้ำตกนี้เหมือนเป็นน้ำตกทางผ่าน ขนาดเล็กๆ เราเลยแวะเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆคลายปวดเมื่อยซะเลย


จากน้ำตกสอเหนือไปผาหล่มสัก บางช่วงไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา ร้อนมากก ท้อมาก แต่ในที่สุดก็มาถึงช่วงบ่ายสองพอดี เลยได้แวะกินข้าวเที่ยงที่นี่ค่ะ

าคาอาหาร ไม่ได้แพงมากจนรับไม่ได้ อีกอย่างเราเข้าใจเลยว่าถ้าน้ำแข็งจะแก้วละ 5 บาท แป๊ปซี่จะขวดละ 30 เพราะอะไร มันเดินทางมาไกลจริงๆ


มีร้านกาแฟชื่อ ชมพู่มะเหมี่ยว เป็นกาแฟสด ใช้เมล็ดกาแฟจากสตาร์บัค อร่อยมากกก คอกาแฟไม่ควรพลาด


คนส่วนใหญ่จะเลือกมารอดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ ที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ผ่านยอดสนที่ยื่นออกไปมุมนี้

ความคิดเห็นส่วนตัว พระอาทิตย์ตกผาไหนก็สวยทั้งหมด แต่ถ้าพระอาทิตย์ตกแล้วป่าก็จะมืด จากผาหล่มสักเดินกลับเต้นท์คือ 9 กิโล ย้ำ! 9 กิโล ไฟทางจะมีแบบห่างๆกัน อาศัยพกไฟฉาย หรือกล้องมือถือช่วยส่อง แล้วเดินเกาะกลุ่มกับคนอื่นๆกลับ ถ้าคิดว่าไหว สักครั้งจะดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ก็ได้ หรือใครปั่นจักรยานมา ขากลับก็อาจจะไวกว่าเดิน แต่สำหรับเรา เลือกมาถ่ายรูปแล้วเดินย้อนกลับไปเรื่อยๆ เพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกแทน เพราะห่างจากศูนย์บริการเพียง 2 กิโล จากผาหล่มสัก เดินมา 2.4 โลก็จะถึงผาแดง


ผานี้เราแค่เดินผ่าน เพราะถือว่าจุดนั่งพักยังไม่สวยมาก เดินไปอีก 1.9 กิโลจากผาแดงก็จะเจอผาเหยียบเมฆ


เหมือนเหยียบบนเมฆจริงๆเลย



เส้นทางจักรยานถ้ามาจากสระอโนดาตก็จะมาทะลุผานี้เช่นกัน จากที่นี้เดินต่ออีกกิโลครึ่งเพื่อผ่านผานาน้อย


ตลอดระยะทางเลียบผา จะมีลมพัดตลอด อากาศจึงไม่ร้อนเหมือนเดินฝั่งน้ำตก แต่ถ้าตอนกลางคืนก็น่าจะ หนาว และไม่ได้เห็นธรรมชาติแบบนี้แน่นอน







จากผานาน้อยเดินมาอีก 550 เมตรก็จะเจอกับผาจำศีล




เราเดิน สลับนั่งกินลมชมวิวมาเรื่อยๆแบบไม่รีบ กะว่ามาถึงผาหมากดูกสักห้าโมงเย็นรอพระอาทิตย์ตกดิน




ส่วนใครที่ดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ขากลับอาจไม่ได้เดินชิลๆ เพราะส่วนใหญ่จะเดินถึงที่พักราวๆ 22.00-22.30 น. และ เราก็มาถึงผาหมากดูกช่วงห้าโมงเย็น มีคนมาจับจองที่นั่งกันเยอะพอสมควรค่ะ



พระอาทิตย์เริ่มตกแล้ว



น่าเสียดาย ที่วันนี้ขี้อายไปหน่อย เลยแอบเข้าก้อนเมฆไปสะก่อน


จากนั้นเราจึงเดินกลับเต้นท์ เตรียมตัวอาบน้ำ ไปหาข้าวเย็นกินกัน จะบอกว่าช่วงหนึ่งทุ่มโชคดีมากก ห้องน้ำว่างแบบไม่ต้องต่อคิว อาจเป็นเพราะคนยังเดินกลับจากผาหล่มสักไม่ถึงที่พัก แถมตอนไปร้านอาหารคนก็ไม่เยอะมาก เมื่อคืนเราลองไปกินหมูกระทะฝั่งซ้ายมือ (หันหน้าหาร้านค้า หันหลังให้เต้นท์) ร้านค้ามีน้อย คืนนี้เลยลองไปฝั่งขวามือ คือคึกคักต่างกันมาก แค่ร้านแรกก็ได้ของกินมาแล้ว 20 บาท


เจอเจ้าถิ่นด้วย ชื่อ สีทอง ดูคุ้นเคยกับมนุษย์


ตั้งใจอยากกินอะไร ร้อนๆแซ่บๆ เลยได้มาม่าต้มยำมา ชามละ 60 บาท แต่ชามเบ้อเร่อเลย


นึกว่าชามเล็กๆเลยสั่งลาภหมูไปอีกจาน 100.- ปรากฎว่ากินได้ 3-4 คนเลย ปริมาณกับรสชาติไม่แพงเลย


กินข้าวเสร็จ ช่วงสามทุ่มกว่าก็กลับเต้นท์มาเก็บของ เตรียมให้ลูกหาบขนลงพรุ่งนี้เช้า ตอนออกไปแปรงฟันช่วงสี่ทุ่ม เห็นนัก ทท.เพิ่งเดินมาถึงกันจากผาหล่มสัก รู้สึกดีมากที่คิดถูกว่ามาดูที่ผาหมากดูก เพราะประเมินร่างกายตัวเองแล้วว่าคงเดิน 9 กิโลยาวๆไม่ไหว อีกอย่าง แค่สี่ทุ่มเราก็ง่วงแล้ว เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ดีที่กินข้าว อาบน้ำ เก็บของเรียบร้อย เรานี่นับถือใจคนที่เพิ่งเดินมาถึงจริงๆ ส่วนเรากลับเต้นท์ กินยาคลายกล้ามเนื้อ นวดขา แล้วก็เตรียมเฝ้าพระอินทร์ เก็บแรงไว้เดินลง วันพรุ่งนี้เลยคร่าา

เช้าวันที่ 14 ตุลาคม 62

วันนี้ตื่นสายค่ะ กะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นอีกครั้งก่อนกลับแต่ขาตึงมาก จริงๆ เพื่อนๆสามารถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อ่างเก็บน้ำวังกวางแทนก็ได้นะคะ ส่วนเราเลือกเก็บของในเต้นท์ เอาไปให้ลูกหาบ แล้วไปหาโจ๊กกับกาแฟกินเติมพลังแทน 555 โจ๊ก 60 บาท แต่เยอะมากๆๆ


ได้แผ่นแปะแก้ปวดมาช่วย ก่อนเดินลงวันนี้


เริ่มเดินลงประมาณ 9 โมงเช้า เจอใบเมเปิ้ลด้วยค่ะ


ถ่ายรูปเสร็จ ก็วางไว้ที่เดินกันน้าาา ไม่เก็บอะไรติดมือมานะคะ ถ่ายกับแนวต้นสนสักหน่อย



ส่วนตัวรู้สึกว่า ขาลงใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้น แต่อย่าวิ่งเด็ดขาด โอกาสข้อเท้าพลิกง่ายมาก พยายามเดินลงช้าๆ เซฟหัวเข่ากับนิ้วเท้าดีๆ ตัดเล็บให้เรียบร้อยก่อนเดินลง และพกน้ำไว้จิบระหว่างทาง
ใช้เวลานั่งพักกินผลไม้บ้าง กินข้าวบ้าง กินลม ชมวิว บ้าง ประมาณบ่ายสามก็ถึงด้านล่างภู เราเลือกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปขึ้นรถแดงกลับร้านเจ้กิม

**** อยากบอกว่าให้เดินออกมาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก๊อน******

ห้องน้ำด้านนอก ติดกับลานจอดรถใหม่และสะอาดกว่ามาก แถมไม่มีคนเลยจ้า เพราะส่วนใหญ่คนลงจากภูก็จะใช้ห้องน้ำด้านในกันเลย ต่อคิวยาวเหยียด #เราก็เช่นกัน มาเห็นห้องน้ำตอนเดินมาขึ้นสองแถวแล้ว เจ็บใจ
ขากลับเราขึ้นรถรอบ 22.30 น. กะว่ามาถึงกรุงเทพฯ ตี 5.30 พอดี แต่ช่วงเวลานั่งรอที่ร้านเจ้กิมนานมากก ตั่งแต่ช่วงห้าโมงเย็น เหมือนนั่งรอส่งคนอื่นกบับบ้านก่อน รอจนร้านเจ้กิมปิดเลยค่ะ 555 น่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้ขึ้นรถ
สำหรับใครที่ไม่อยากนั่งรถรอบดึกแบบเรา ลองเช็ครอบรถกับร้านค้า โทรหรือแอดไลน์มาสอบถามข้อมูลที่ร้านข้างๆเจ้กิมได้เลยนะคะ


ส่วนเรารถบัส บขส.999 ก็มาถึงหมอชิตตามกำหนดที่ราวๆ 05.30 น.กลับบ้านอาบน้ำเตรียมทำงานต่อ

ถือเป็นทริปที่ประทับใจมากๆๆ และได้ของแถมเป็นอาการปวดน่องเวลาลงบันไดไปอีก 3 วัน 5555

แล้วเจอกันใหม่ จะไปล่าใบเมเปิ้ล 🍁🍁🍁

กานต์เดินทาง

 วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 10.34 น.

ความคิดเห็น