สวัสดีครับ พบกับรีวิวบันทึกการเดินทางของผม #เขียดคุง คนเดิม ที่เพิ่มเติมคือมีเรื่องราวดีๆมาให้อ่านอีกแล้วครับ 5555 อย่าพึ่งเบื่อนะครับ ช่วงนี้กำลังขยันมาก ฝากติดตามด้วยนะครับ


#ต้นกำเหนิดของทริปนี้?

หลายคนคงสงสัย หากอ่านจากหัวข้อ ว่าทำไมทริปเชียงใหม่ครั้งนี้ถึงมีแค่ 2 วัน 1 คืน ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นครับ ทริปนี้เป็นทริป 4 วัน 3 คืนของคุณยาย และสมาชิกในครอบครัวผมครับ แต่ด้วยความที่อยากจะไปแจมทริปด้วย แต่ไม่มีวันลาเหลือแล้ว จึงไปเที่ยวด้วยได้แค่ 2 วัน 1 คืนเท่านั้น คือวันที่ 1-2 ธันวาคม 2562

    #มีเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ไปไหนได้บ้าง?

    1. - หมู่บ้านญี่ปุ่น ฮิโนกิแลนด์
    2. - พักกระโจม ผิงไฟแคมป์ อินทนนท์
    3. - เที่ยวดอยอินทนนท์ จุดสูงสุดแดนสยาม
    4. - ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย โครงการหลวงขุนแปะ

      เริ่มออกเดินทาง


      วันแรกของการเดินทาง 

      เริ่มต้นทริปบินลัดฟ้า ข้ามประเทศจากกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไฟท์บินโดยสายการบิน Airasia AK ออกจาสนามบิน KLIA2 เวลา 06:55 น. ใช้เวลาบินประมาณ 2.45 ชม. ถึงสนามบินเชียงใหม่ เวลา 08:40 น. สำหรับรายละเอียดรีวิวการเดินทางไม่ขออธิบายในครั้งนี้ รอติดตามอ่านในรีวิวหน้านะครับ ..... ><


      จากนั้นสมาชิกในทริป ก็มารอรับที่ประตูทางออกสนามบิน บริเวณประตู 11 ของผู้โดยสารขาเข้า และเดินทางไปเที่ยวที่แรกของทริปในวันนี้กันเลยครับ ที่ อำเภอ ไชยปราการ เราใช้เวลาขับรถจากตัวเมืองเชียงใหม่ ขับตาม Gps ประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว...

      หมู่บ้านญี่ปุ่น ฮิโนกิแลนด์ : หรือบ้านไม้หอมฮิโนกิ เป็นอาณาจักรไม้สนฮิโนกิแห่งแรกและแห่งเดียวที่มีในประเทศไทย สร้างบนพื้นที่มากกว่าร้อยไร่ ตั้งอยู่ในเขต อำเภอ ไชยปราการ จังหวัด เชียงใหม่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวจำลองบรรยากาศรู้สึกเหมือนยกโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นมาไว้ที่นี่

      ส่วนที่เปิดให้เข้าชมด้านใน คือปราสาทฮิโนกิ , อุโมงเสาโทริอิ , Hinoki Studio , ร้านค้า , ร้านกาแฟ ซุ้มประตูโทริอิขนาดใหญ่ รสมถึงสถาปัตยกรรมจากยุคเอโดะ ที่มีปราสาทไม้สนสีทองโดดเด่นให้ต้องเข้าชม 

      #อัตราค่าบริการ

      • ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่คนละ 180 บาท และเด็กคนละ 50 บาท (สำหรับคนไทย)
      • ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่คนละ 230 บาท และเด็กคนละ 70 บาท (สำหรับต่างชาติ)
      • ชุดยูกาตะ : สำหรับเช่าไม่จำกัดเวลา ผู้ใหญ่คนละ 300 บาท และเด็กคนละ 100 บาท
      • เวลาเปิดปิด : เข้าชมฮิโนกิแลนด์ ตั้งแต่เวลา 08:00 - 17:00 น. ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
      • สามารถโทรสอบถามเส้นทาง และรายละเอียดเพิ่มได้ที่เบอร์ : 094 731 0731

      เดินถ่ายรูปเล่นกับครอบครัว ประมาณ 2 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเที่ยงพอดี อากาศรู้สึกร้อนอย่างเห็นได้ชัด ประมาณ 25 องศา แต่ละสายตาจากความงดงามของที่นี่ไม่ได้เลยจริงๆ

      จากนั้นก็เดินวนมาจนถึงบริเวณทางออกของที่นี่ จะพบกับร้านซื้อของฝาก หรือ Hinoki Shop รวมถึงร้านไอติมที่ขึ้นชื่อ มาแล้วพลาดไม่ได้ที่จะลองชิม แต่คงเป็นเพราะอากาศที่ร้อนด้วย เลยรู้สึกว่าไอติมที่กินเข้าไปนั้นละลายเร็วมาก 555 (ปล.ถ่ายรูปไอติมไม่ทัน เพราะละลายเร็วมาก) 

      โบกมือลาเมืองจำลองญี่ปุ่น คุ้มค่ากับการขับรถมาไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่จริงๆ จากนั้นเดินทางกันต่อ จับ Gps พิกัด ผิงไฟแคมป์ อินทนนท์ คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ ขับรถประมาณ 4 ชั่วโมง มาถึงบริเวณที่พักของเรา Ping fai camp inthanon

      ผิงไฟแคมป์ อินทนนท์ : ตั้งอยู่บ้านขุนกลาง ดอยอินทนนท์ จากทางเลี้ยวขึ้นดอยอินทนนท์ขับรถเข้ามาประมาณ 15 กิโลเมตร เท่านั้น และที่ตั้งก็อยู่ห่างจาก ยอดดอยอินทนนท์ เพียงแค่ 14 กิโลเท่านั้นเอง ทำให้สามารถตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างสบายครับ

      ลักษณะที่พักเป็นเต้นท์หลากหลายแบบ ใครเบื่อบรรยากาศแบบโรงแรมละก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศมาพักที่นี่ได้ครับ มีพื้นที่สำหรับสังสรรค์กิจกรรมในครอบครัว สามารสั่งปิ้งย่างมากินได้ถึงหน้าห้องพัก

      #รูปแบบเต้นท์ที่พัก จะแบ่งออกเป็น 3 แบบ

      1. Bell Tent : สามารถพักได้ประมาณ 4 คน หลังละ 2,400 บาท ( แล้วแต่ช่วงวันเข้าพัก )
      2. Tower Tent : สามารถพักได้ประมาณ 2 คน หลังละ 1,200 บาท ( แล้วแต่ช่วงวันเข้าพัก )
      3. Dome Tent : สามารถพักได้ประมาณ 2 คน หลังละ 600 บาท ( แล้วแต่ช่วงวันเข้าพัก )

      สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราเลือกที่พักแบบ Bell Tent จำนวน 2 หลัง และแบบ Tower Tent 1 หลัง เต้นท์กระโจมแบบใหญ่ที่สุด สามารถเข้าพักได้ 4 คน / หลัง พื้นที่กว้างขวาง หมอน ผ้าห่ม และน้ำดื่มให้ครบครับ

      ตกเย็นสามารถสั่งปิ้งย่างจากเจ้าของที่พักมารับประทานกันได้ แต่วันนี้เรานำอุปกรณ์ปิ้งย่าง และหม้อสุกี้ รวมถึงวัตถุดิบทั้งหมด มาด้วยตัวเอง มีพื้นที่บริเวณประกอบอาหาร ลานกิจกรรมสำหรับสังสรรค์ครอบครัว บวกกับบรรยากาศแบบ Cool Cool บอกได้เลยอย่างฟินครับ

      ในส่วนห้องน้ำ เป็นห้องน้ำรวมทั้งหมด แยกชาย-หญิง เดินไม่ไกลจากเต้นท์ที่พัก ประมาณ 20 ก้าว 5555 และเพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวแน่นอนครับ 

      ที่ประทับใจมากเลยคือมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วยจ้า ใครกลัวความหนาวและไม่อยากอาบน้ำนี่ตัดไปได้เลยครับ ในส่วนของวิวด้านล่างจะเป็นแปลงผักที่ปลูกไว้ ในส่วนนี้ยังไม่ลองไปเดินดูครับ หนาววววว

      ตกดึกอากาศเริ่มเย็นลง อุณหภูมิประมาณ 12 องศา หนาวมากจริงๆครับ แต่ในเต้นท์ก็เป็นกระโจมแบบสามารถกันลมได้ ข้างในเลยไม่หนาวเท่าไหร่ มีผ้าห่มหนาๆ 2 ผืน สะใจไปเลยจ้า

      คงต้องขอตัวไปนอนก่อนแล้วครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นประมาณ ตี 5 เพื่อขึ้นไปยังยอดดอยอินทนนท์แต่เช้า สำหรับคืนนี้ฝันดีนะครับ ..... Have a good night ....


      วันที่สองของการเดินทาง 

      ตื่นเช้ามาด้วยความหนาว และเสียงเรียกที่ดังมากๆจากคุณยายเต้นท์ข้างๆ เช้าแล้วลูกเอ้ย ตื่นๆๆๆ 5555 เป็นอันว่าทุกคนตื่นกันหมด ดูเหมือนว่าคุณยายจะตื่นเต้นมากกว่าหลานๆที่มาด้วยซะอีก

      ผมเชื่อเลยว่าคงมีหลายคนที่ไม่อาบน้ำ หรือที่เขาเรียกว่าซักแห้งนั่นเอง 555 แต่สำหรับผมตื่นแล้วขออาบน้ำให้สดชื่นดีกว่าครับ ไม่เห็นต้องกลัวเลย ที่พักก้มีเครื่องทำน้ำอุ่นนี่ แต่งตัวเสร็จก็รวมพลขึ้นไปยอดดอยอินทนนท์ เดี่ยวของที่เต้นท์ค่อยกลับมาเก็บทีหลัง

      จากที่พัก ผิงไฟแคมป์ ขับออกจากที่พักมาเจอถนนใหญ่ ให้เลี้ยวขวาเพื่อขับขึ้นตามทางไปยังยอดดอยอินทนนท์ ประมาณ 14 กิโลเมตร ขับขึ้นมาสักพักจะเจอกับ ซุ้มประตูทางเข้าจาก เจ้าหน้าที่อุทยาน จุดนี้ให้นับจำนวนคนในรถและลงไปจ่ายค่าบริการเข้าอุทยานกันก่อนครับ 

      จากนั้นขับขึ้นมาตามทางเรื่อยๆ จุดแรกที่เราแวะกันตามแพลนก็คือ จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ กิ่วแม่ปาน ทางขึ้นยอดดอยอินทนนท์ สำหรับผมคือดีมาก ความสูงไม่ชันเท่าไหร่ และประกอบกับถนนดี รถสามารถขับขึ้นได้ปกติ รถสามารถสวนทางกันได้แบบชิวๆ

      สมาชิกในครอบครัวก็ลงเดินไปยังบริเวณจุดชมวิว ตรงนี้น่าจะเรียกว่า กม ที่ 42 ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาประมาณ เกือบๆ 6 โมงเช้า มีหมอกจางๆปกคลุมบริเวณเขามากมาย ทำให้เห็นพระอาทิตย์ไม่ค่อยชัดมากนัก

      ทุกคนก็แยกย้ายกันหามุมถ่ายรูป เพื่อให้ตัวเองได้มีสตอรี่ที่น่าจดจำในการขึ้นมาดอยอินทนนท์ในครั้งนี้ และสุดท้ายก็ไม่ลืมที่จะเก็บบันทึกความทรงจำหมู่คณะของเราด้วยครับ 1 2 3 แชะ แชะ ไปต่อครับ 5555

      จากนั้น เราก็ขับรถขึ้นต่อไปยังจุดสูงสุดแดนสยาม เพื่อพาคุณยายและสมาชิกมาพิชิตที่นี่ ขับต่อจากกิ่วแม่ปานประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่จอดรถบริเวณจุดสูงสุดแห่งสยาม อุทยานแห่งชาติออยอินทนนท์

      จุดนี้เป็นจุดที่วัดอุณหภูมิ ว่าจุดที่เรายืนอยู่นี้มีอุณภูมิประมาณกี่องศา ซึ่งตอนแรกที่ผมวนหาที่จอดรถหันไปมองว่ามัน 8 องศา แต่พอเดินลงมาเท่านั้นแหละ อุณภูมิเพิ่มขึ้นมาเร็วจังเลยหละ 9 องศา ทันใดนั้นเนื่องจากมีคนรอต่อแถวถ่ายรูปเยอะมาก เราเลยจัดเป็นภาพหมู่กันมา 2-3 แชะก็พอครับ ณ จุดๆนี้ นะฮะ ....

      จากนั้นเดินขึ้นไปข้างบน บริเวณป้าย ผู้พิชิตจุดสูงสุดแดนสยาม แห่งนี้ ตอนนี้คือสภาพอากาศแบบหนาวมาก แนะนำให้ใส่เสื้อกันหนาวแบบหนาๆ

      และหาที่ซุกมือให้ดีครับ ใครมือถุงมือก็เอามาใส่ได้เลยเพราะหนาวจนมือแข็งจริงๆครับผมเป็นมาแล้ว ว่าจะเอามือล้วงเป้าก็กลัวคนจะมอง 555

      ถึงเวลาถ่ายรูปหมู่อีกแล้วครับผม เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเรานั้นได้มาพิชิต จุดสูงสุดแดนสยาม ดอยอินทนนท์ประเทศไทย เรียบร้อยแล้ว ณ จุดๆนี้ อิอิ

      และเราก็ค่อยไต่ระดับลงจากดอยอินทนนท์ เพื่อกลับมายังที่พัก เก็บกระเป๋าและเช็คเอ้าต์ออกจากที่พักครับจริงๆที่พัก ผิงไฟแคมป์ มีบริการอาหารเช้าด้วยนะครับ จะเป็นข้าวต้ม + น้ำส้ม + ขนมปัง และชากาแฟต่างๆ แต่ ณ จุดๆนี้ ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ครับ เพราะมัวแต่รีบกินและรีบเก็บของขึ้นรถ วุ่นวายสุดพลังบอกได้แค่นี้จริงๆ .... ฮ่าาาา

      ลงจากดอยอินทนนท์ ยังไม่จบทริปเพียงเท่านี้จ้า ไปเที่ยวต่อกันที่สวนดอกไม้ที่กำลังมาแรงในปีนี้ คือทุ่งดอก ไฮเดรนเยีย ตั้งอยู่ในโครงการหลวงขุนแปะ นั่นเองครับ ใช้เวลาขับรถจากดอยอินทนนท์ประมาณ 2 ชั่วโมง (ไม่ได้ถ่ายวิวข้างทางเลย เพราะสมาชิกในรถหลับหมด ผมขับรถคนเดียว) 5555

      เอาจริงระยะทางเพียงแค่ ประมาณ 90 กิโลเมตรเท่านั้นเอง แต่ที่นานเพราะทางขึ้นไปโครงการหลวงขุนแปะนั้นค่อยข้างจะลำบาก ถนนค่อยคากแคบและชัน มีโค้งหักศอกเยอะมาก ถ้านับนี่อาจทำให้ท่านอ๊วกได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าครับ 555

      สามารถเปิด Gps จับพิกัด ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย ได้เลยไม่หลงครับ เพราะผมก็ใช้นำทางตลอดเวลาการเดินทางเหมือนกัน ขับมาจนสุดทางที่ Gps กำหนดไว้ ก็จะถึงบริเวณที่จอดรถครับ

      จะมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านก็ว่าได้ จะคอยช่วยเหลือให้บริการในจอดจอดรถ และเราต้องเหมารถเพื่อที่จะนั่งขึ้นไปชมสวนอีกทีนึง ไม่สามารถขับรถส่วนตัวขึ้นไปได้ ทั้งนี้มีค่าบริการเหมารถที่ชาวบ้านเตรียมไว้ขึ้นไปคันละ 500 บาท รวมไป-กลับ นั่งได้ประมาณ 8 คน

      มาถึงขึ้นรถและออกทันทีครับ เพราะสมาชิกเรามีผู้ใหญ่ 8 คน เด็กอีก 2 คน รวมเป็น 10 นั่งได้เต็มคันพอดี เส้นทางการเดินรถค่อยค่างลำบาก รถสวนกันค่อนข้างยากมาก สูงสันบางพื้นที่ เลยเข้าใจแล้วว่าถ้าเอารถส่วนตัวขึ้นมาลำบากขนาดไหน

      มาถึงบริเวณที่จอดรถ ทางเข้าสวนดอกไฮเดรนเยีย ลงรถและเดินเข้าไปยังทางเข้าชมสวนพร้อมชำระเงินเพิ่มอีกคนละ 20 บาท มีกระเช้าดอกไม้ไว้ค่อยให้บริการเช่า ตระกร้าละ 20 บาท เช่นกันครับ ใครอยากมีพร๊อบสวยๆ เกร๋ๆ ก็สามารถเลือกเช่าได้ตามใจชอบครับ

      ถ่ายรูป ชมสวนกันเต็มที่ประมาณ 1 ชั่วโมง ปิดท้ายที่รูปกรุ๊ปแบบเกร๋ๆ ให้ได้ชมกันอีกแล้วครับ จากนั้นก็นั่งรถคันเดิมลงมาที่จุดฝากรถ และขับลงจากหมู่บ้านโครงการหลวงขุนแปะ มุุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ขับรถประมาณ 2ชั่วโมง

      หมดเวลาสำหรับการเดินทางในทริปนี้ของผมแล้วครับ เพราะผมต้องบินกลับมาทำงานที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียในช่วงเย็นของวันนี้ แต่สมาชิกในครอบครัวยังคงเที่ยวเชียงใหม่ต่อ อีก 2 วัน ได้แต่บอกกับตัวเองว่ายังไม่อยากกลับเลยแม่เจ้าเอ้ย ...

      วันนี้ได้มีโอกาสลองใช้บริการสายการบิน Thai Vietjet Air จากสนามบินเชียงใหม่ บินไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ และรอต่อเครื่องบินไปยังกัวลาลัมเปอร์ โดยสายการบิน Malaysia Airline

      เป็นการเดินทางครั้งแรกของผมทั้งสองสายการบิน ซึ่งรู้สึกตื่นเต้นกับความใหม่ของสายการบินนี้มาก ไว้เดี่ยวจะมารีวิวให้อ่านกันในสัปดาห์ถัดไปนะครับ 

      เห็นมั้ยครับว่ามีเวลาสั้นๆ แค่ 2 วัน 1 คืน ก็สามารถเที่ยวเชียงใหม่ นอนบนดอยแบบฟินๆ ได้อย่างสบายครับ เพียงแค่มีใจ และมีความกล้าที่จะออกเดินาทง แค่นี้ทุกอย่างก็จะง่ายและประสบความเร็จตามที่หวังไว้ครับ

      ขอบคุณสำหรับการติดตามและอ่านบันทึกการเดินทางของผมครั้งนี้จนจบนะครับ ฝากกดหัวใจดวงสีแดงๆคนละดวก กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมในการเขียนครั้งถัดไป และรอติดตามบันทึกในสัปดาห์ เป็นการเดินทางไปที่ไหนอย่างไร รอติดตามนะครับ

      สำหรับวันนี้ขอตัวไปหาแรงบรรดาลใจแปปนึงนะฮะ 555 .....  Have a good night


      @เขียดคุง in ChiangMai TH

      เซน เท่านั้น

       วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.07 น.

      ความคิดเห็น