เปิดประสบการณ์เดินป่าไทย  "ม่อนจอง"

ทริปนี้เรามาเคาท์ดาวน์ส่งท้ายปี 2019 ต้อนรับปี 2020 กันที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย 

จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ 3 ชั่วโมงกว่า 

กับระยะทาง 221 กิโล กว่าจะขับรถพาน้องๆ มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดอยม่อนจอง

น้องๆ หลังรถก็หลับคอพับกันไปหลายตื่นแล้ว...ทริปนี้เราขับรถไปจอดไว้ที่ศูนย์บริการท่องเที่ยวม่อนจอง 

ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านมูเซอ แล้วเหมา 4WD ที่ศูนย์บริการเข้าไปยังจุดเริ่มเดิน

ที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ห่างจากหมู่บ้าน 16 กิโล 

แล้วต้องเดินเท้าขึ้นเขาต่ออีกประมาณ 4 กิโล (ทางชันโหดมากกก โหดปะล่ําปะเหลือ)

เราออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ตอน 06.00 น.  แบบว่าตื่นตีห้าปุ๊บ โทรปลุกน้องๆ 

ผู้ร่วมชะตากรรมในทันที  หลังจากรับกันขึ้นรถเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางไปยัง

ศูนย์บริการท่องเที่ยวดอยม่อนจองทันที...

กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงกับระยะทางสองร้อยกว่ากิโลจนคนขับต้องเปลี่ยนมือกัน

ส่วนผู้โดยสารก็หลับคอพับไปหลายตื่น เมาหัวก็เมา จะอ้วกก็จะอ้วก

แต่ทุกคนก็ต้องอดทนกับทางโค้งที่ทำเอาดมยากันไปเกือบทั้งคันรถ (ยกเว้นคนขับแบบเรา) 555+

เราเดินทางมาถึงหมู่บ้านมูเซอปากทางทำเรื่องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อต่อรถ 4WD เข้าไปยังจุดเดินเท้า

(ทางโหดมาก อย่าเสี่ยงเอารถเข้าไปเองจะดีกว่า) และที่นี่เขาเลี้ยงหมูเดินไปมาเหมือนหมาเลยนะเธอ

เราได้เพื่อนร่วมทริปที่เดินทางมาจากชลบุรีอีก 2 คน รวมกลุ่มหารค่า 4WD กัน 1 คัน 3,000 บาท 

ตกคนละ 375 บาทเท่านั้น ส่วนค่าลูกหาบนั้น 600 บาทสำหรับ 2 วัน 1 คืน 

โดยลูกหาบ 1 คนแบกของไม่เกิน 20 กิโล แก๊งเราจ้างลูกหาบแบกของส่วนกลางเพียงคนเดียวเท่านั้น 

สรุปหารค่าลูกหาบกันแค่คนละ 100 บาท

จากนั้นเราก็ออกเดินทางกระโดดขึ้นหลังโฟวิว นั่งหัวโยกกันไปตลอดทาง 

คือทางโหดแบบ โครตโหดเลยโว้ยยย ทั้งชัน ทั้งแคบ อารมณ์แบบต้องคนพื้นที่ชำนาญจริงๆ 

ถึงจะขับเส้นทางนี้ได้ หันไปถามน้องๆ ว่า "ไหวกันไหมวัยรุ่น" 

น้องบอก กลับบ้านต้องไปเช็คปอดหน่อยแล้วพี่ ฝุ่นตลบอบอวลตลอดทาง!!! 

ที่คิดกับจินตนาการไว้มันไม่ใช่แบบนี้นะพี่!! (เนี่ยแหละ เปิดประสบการณ์ใหม่ 555) 

หายใจกันให้ทันก่อนอ่ะตอนนี้ ทั้งฝุ่น ทั้งตูดนี่ระบมไปตามๆ กัน

ก่อนจะมาถึงที่นี่จะมีเอกสารให้กรอกชื่อของนักท่องเที่ยว (ต้องกรอกชื่อทุกคนให้ครบ) 

แล้วเอามายื่นเข้าอนุญาติเข้าพื้นที่กับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย

และเนื่องจากเรามาในวันที่ 31 ธันวา 62 อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั่วประเทศ

เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย!! 

(โอ๊ยยย โชคดีกันไปอีก จริงๆ ศึกษาข้อมูลมาก่อนหน้าแล้ว เลยชวนน้องมากันวันนี้ 55) 

ถ้ามาปกติก็เสียค่าเข้าคนละ 20 บาทค่ะ 

แล้วก็เสียค่าบริการกลางเต็นท์ในพื้นที่หลังละ 50 บาท แต่เรามาวันนี้เลยยกเว้นค่าบริการ

นั่งหัวโยก สนุกเฮฮากันมาหลังกระบะตลอดระยะทาง 16 กิโลมายังจุดเดินเท้า 

ทีนี้ก็ถึงคราวของจริงกันแล้ว...แนะนำเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนมาเดินป่าที่นี่ 

เรื่องรองเท้าก็สำคัญเช่นกัน รองเท้าดีจะช่วยเซฟเท้าเราได้ดีมาก 

(แอดมินผีบ้าซื้อ adidas คู่สองพันมาเดินป่า เพิ่งใส่ได้แค่ 3 วัน เดี๋ยวมาดูสภาพกัน) 

เหมือนมาทดสอบความแข็งแรงของรองเท้ารุ่นนี้กันด้วย จะเป็นยังไงโปรดติดตามตอนต่อไป...

เดินไปหอบไป แวะพักกันเป็นช่วงๆ ระหว่างนั้นก็หันไปถามน้องว่า "เป็นยังไงทริปนี้" 

น้องหันมามองแรง ฝากบอกคนที่จะมาที่นี่ว่า "หนีปายยยยย มันเป็นกับดัก!!" 

แต่อย่าเพิ่งคิดว่ายากถ้ายังไปไม่สุด ดังนั้น...ตามกันมาเลยว่าจะเป็นยังไงต่อจากนี้...

นี่คือภาพที่หลังจากเดินมาได้ประมาณชั่วโมงกว่า 

ขอแสดงความยินดีด้วย คุณเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว 555+ 

น้องบอก "พี่ๆ เมื่อไรจะถึงวะ ไหนบอกนิดเดียวไง"

จุดถ่ายภาพจุดแรกที่มาถึงคือ "ภูหินช่อ" 

เราพักแวะดื่มน้ำ นั่งพักให้หายเหนื่อย ระหว่างนั้นก็รอคนอื่นๆ เก็บภาพกันก่อนแล้วค่อยเดินกันต่อ

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ "เนินหมาหอบ" หรือที่เรียกกันว่า "เนินฮิปฮอบ" 

เอาจริงๆ นะ หมาไม่ได้หอบหรอก แต่คนเนี่ยแหละที่เดินหอบ 

หมามันคงไม่พาตัวเองมาทรมานเล่นๆ บนเนินนี้แน่ๆ 555+

ระหว่างที่รออีกสองคนที่กำลังตามหลังมา 

เริ่มรู้สึกสงสารน้อง พี่ไม่ได้หรอกน้องให้มาทรมานเล่นนะ 

แต่เดี๋ยวเห็นของจริงข้างบนจะรู้เองว่ามันคุ้มค่าเหนื่อย

และในที่สุดพวกเราก็เดินทางขึ้นมาถึงจุดสูงสุด  ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง

ที่เราจะพักแรมตั้งแคมป์กันในวันนี้...แล้วดูสภาพรองเท้าของแอดมินเพจเที่ยวให้โลกจำ 

การเดินป่าที่นี่ทำให้รองเท้าคู่สองพันกลายเป็นรองเท้ามือสองตลาดนัดไปเลยจ้า 555 

แต่เอาจริงๆ มันก็เซฟเท้าได้ดีมากๆ เลยนะ ความทนแข็งแรงก็ถือว่าเอาเรื่อง 

เพราะกลับจากทริปแล้วเอามาซักก็ใหม่เอี่ยมกริ๊งเหมือนคู่ใหม่ 

แค่เลอะดิน เลอะฝุ่นตอนไปเดินป่าเฉยๆ สภาพพื้นรองเท้าก็ยังดี 

ทนแข็งแรงเหมือนเดิม 

(แนะนำเอารองเท้าแตะมาไว้ใส่เดินแถวเต็นท์กันด้วยนะจ๊ะ 

เพราะกว่าจะเดินขึ้นมาถึงนี่ได้ก็เหนื่อย ปวดเท้า อย่างน้อยก็ได้พักเท้าไปด้วย)

หลังจากกางเต็นท์จับจองพื้นที่สำหรับพักแรมในคืนนี้กันเรียบร้อยแล้ว

เราก็ออกจากเต็นท์เพื่อเดินขึ้นมายังเนินหญ้าสีทองที่ใครๆ เขาก็ต้องมาที่นี่กันแหละ

ม่อนจองเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เรารู้สึกว่ามันสงบ สวย คุ้มค่ากับความเหนื่อย 

คนไม่เยอะวุ่นวายเหมือนม่อนอื่นๆ ในเชียงใหม่ 

(หรือเพราะมันลำบากทรมานสังขารเขาเลยไม่มากันวะ?) 

คงจะมีแต่คนที่หลงรักการเดินป่า ชอบการผจญภัยลุยๆ เท่านั้นกระมัง

ที่จะบ้าพาตัวเองมาลำบากในป่าลึกขนาดนี้

มันดีจริงๆ นะ เหนื่อยเหมือนเดิน 20 โล 

แข้งขาเหมือนจะหลุดออกจากกันจนแทบยืนไม่อยู่ 

แต่พอได้มาเห็นวิวหลักล้านแบบนี้ หายเหนื่อย ชื่นใจเลยล่ะ

ผาหัวสิงห์...ไฮไลท์ของม่อนจองเลยล่ะ ก็บอกแล้วว่าสิ่งสวยๆ งามๆ มักมีกับดักซ่อนอยู่ 

แต่มันก็คุ้มกับการที่ต้องเสี่ยงแลกกับความเหนื่อยนั้น 

การมาศึกษาธรรมชาติที่นี่ เราควรให้เกียรติป่าและสัตว์ป่าด้วย 

เรามาบ้านเขาก็อย่าเสียงดังจนรบกวนสัตว์ป่า ขยะอย่าทิ้งเรี่ยราด 

เอาอะไรขึ้นมาก็แบกกลับลงไปด้วยนะจ๊ะ

ภาพนี้ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่มาเจอกันที่นี่มาก 

ยินดีที่ได้รู้จักมิตรภาพใหม่ของการเดินทางในครั้งนี้

Cr. flok phuriphat

แสงสุดท้ายของปี 2019 ถ้าถามว่ามีอะไรอยากจะบอกมั้ย...เราคงบอกได้แค่ว่า "โชคดีนะ" 

ยินดีที่ได้รู้จักใครหลายๆ คน และขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเราได้บังเอิญผ่านเข้ามาเจอกันในชีวิต 

ขอบคุณคนที่ยังอยู่ และขอให้ปีต่อไปเป็นปีที่ดี 

และเราก็จะยังคงออกเดินทางท่องเที่ยวต่อไป (ไม่ทิ้งความฝันของการออกเดินทาง) 
เพราะเราได้หลงรักการเดินทางเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ไปแล้ว 

สัญญาว่าจะลงรีวิวให้ดูกันต่อไปเรื่อยๆ จ้า 

(จะครบรอบเปิดเพจ 1 ปีแล้วนะ) #เที่ยวให้โลกจำ

การเดินทาง มิตรภาพ เพื่อนร่วมทาง ความทรงจำ 

ประสบการณ์เดินป่าไทยครั้งแรกของน้องๆ

แสงสุดท้ายของปี 2019

ที่นี่มีห้องน้ำค่ะ แต่ไม่ใช่สถานที่สำหรับการอาบน้ำ 

(ใช่แล้ว การเดินป่ากับการไม่อาบน้ำเป็นเรื่องปกติจ๊ะ) 

ถึงจะมีห้องน้ำแต่ก็เป็นเพียงห้องส้วมชั่วคราวที่เจ้าหน้าที่สร้างขึ้นมาไว้เท่านั้น 

เมื่อหมดฤดูกาลท่องเที่ยวและปิดดอยแล้วก็จะรื้อทิ้ง 

เพราะถ้าไม่รื้อสัตว์ป่าอย่างช้างก็จะมาพังห้องน้ำอยู่ดี 

โดยน้ำที่ต่อขึ้นมาให้ใช้บนนี้น่าจะเป็นน้ำจากลำธารข้างล่างในป่านี่ล่ะมั้งนะ 

และเมนูอาหารสำหรับคืนนี้ของเราก็คือสุกี้ แต่ระหว่างต้มน้ำรอทำสุกี้นั้น

เราก็มีอีกเมนูมานำเสนอน้องๆ ผู้ร่วมทริป "ข้าวจี่" (อีสานบ้านเฮาเอง) 

อากาศหนาวๆ มันก็ต้องจี่ข้าวชุบไข่ร้อนๆ อร่อยจริงๆ ต้องลอง..

อ้อ ลืมบอกไปว่าเสบียงที่เตรียมมาเราควรเตรียมมาเผื่อลูกหาบและคนขับรถด้วยนะจ๊ะ 

แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องก่อไฟ ใครก่อไฟไม่เป็นลูกหาบช่วยคุณได้ 

เพราะเขาจะนอนอยู่ใกล้ๆ เรานี่ล่ะค่ะ โดยลูกหาบจะมีเปลมาผูกนอนตามต้นไม้ใกล้ๆ เต็นท์ของเรา 

กลางคืนดึกๆ ก็จะคอยหาฟื้นมาเติมไฟอยู่ตลอดเพื่อคลายความหนาว 

(เพราะเขาไม่ได้นอนเต็นท์แบบเรา ข้างนอกดึกๆ อากาศเย็นมาก 13 องศา แล้วลมก็แรงเวอร์วัง) 

ควรยึดเสาเต็นท์ให้ดี ไม่งั้นปลิวววว ส่วนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กัน 

บางกลุ่มก็เอากีต้าร์มาเล่น ร้องเพลงแหกปาก พุธโธ พุธถัง ธัมมะ ธัมโม 

ภาวนาขอให้ช้างป่าอย่าตื่นแล้ววิ่งเข้ามาพังเต็นท์ 555+ 

(เอาจริงๆ ปะ เที่ยวป่าแบบนี้เราว่าอย่ามารบกวนสัตว์ป่าและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ จะดีกว่า ก็เข้าใจแหละว่าอยากสนุก เฮฮากัน แต่ก็คุยกันเบาๆ ดีกว่ามั้ยอ่า -*- )

ด้วยความล้าและเหนื่อยมาทั้งวันกับการเดินแบกของข้ามเขาหลายลูกกว่าจะขึ้นมาถึงข้างบนนี้ได้ 

  หลังท้องอิ่มกันแล้วน้องๆ ก็เข้าเต็นท์นอนสลบกันไปยกแก๊ง 

แต่พี่ร่วมทริปอีก 2 คนที่มาเจอกันที่นี่แล้วตั้งแคมป์ด้วยกันก็ชวนไปดูดาว 

  ซึ่งเราเองก็ตั้งใจว่าจะไปถ่ายดาวอยู่แล้ว เราเลยนัดเวลากันตั้งนาฬิกาปลุกตอน 5 ทุ่ม

เพื่อเดินขึ้นไปดูดาวบนเขา ห่างจากจุดกางเต็นท์ไม่ไกลมาก 

แล้วก็ถือโอกาสขึ้นมานับถอยหลังข้ามปีบนนี้ด้วย (พกไฟฉายกันไปด้วยนะจ๊ะ อันนี้สำคัญมากๆ) 

แต่พอถึงเวลาที่ต้องตื่นจริงๆ ปรากฏว่ามีแค่เรากับน้องบัดดี้ร่วมเต็นท์

ที่เดินขึ้นมาดูดาวกับพี่ๆ ร่วมทริป 2 คนเต็นท์ข้างๆ กัน ส่วนคนอื่นที่เหลือ "หลับ!!" 

แล้วเราก็เป็นคนแรกที่เดินนำขึ้นมาบนนี้ คือไม่มีใครอยู่บนนี้เลยสักคน!! 

  แต่เหมือนจะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเห็นเราเดินมาก็เลยตามขึ้นมาอีกสามสี่คน 

คือบอกเลยว่าดาวบนนี้สวยมากกกกก แบบอลังการเวอร์วังมากๆ 

นี่ถือเป็นภาพแรกของปี 2020 ที่ถ่ายมาได้เลยล่ะ!!

เช้าวันต่อมาเราตั้งนาฬิกาปลุกตอนตีห้าครึ่ง หวังว่าจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น

และเดินขึ้นไปบนยอดผาหัวสิงห์ที่อยู่สูงสุด แต่สิ่งที่เจอคือ "หมอก" ลงหนามากจ้าาาา 

แล้วน้องก็ตื่นไม่ครบคน ไอ้ที่ไปดูดาวด้วยเมื่อคืนก็สลบ หายแซ่บอยู่ในเต็นท์ 

ไอ้คนที่ไม่ได้ไปดูดาวเมื่อคืนก็ตื่นลากสังขารตามขึ้นมาบนนี้แทน (เปลี่ยนเวรกันมา)

มา 6 คน รวมเพื่อนใหม่อีก 2 คนเป็น 8 คน 

แต่ตอนเช้าเอาเข้าจริงๆ ตอนเดินมาผาหัวสิงห์เหลือกันอยู่แค่นี้

ระหว่างทางไปผาหัวสิงห์ 2 กิโลกับอีก 100 เมตร

อุณหภูมิประมาณ 12 องศาได้ หมอกกับน้ำค้างลงแบบเปียกเลยจ้า

หมอกลงหนาไม่เห็นอะไรเลย

ใกล้ถึงยอดผาหัวสิงห์แล้วนะ

ประสบการณ์เดินป่าไทยครั้งนี้ประทับใจจริงๆ นะ คงเป็นอีกความทรงจำที่ดี

ระหว่างทางขึ้นไปก็เจอขี้อะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นขี้ช้างหรือสัตว์ชนิดไหนสักตัว 

(แต่ช้างเดินขึ้นมาบนนี้ด้วยเหรอ?) เนี่ยๆ เรามาถึงจุดสูงที่สุดของดอยม่อนจองแล้ว 

เย้ๆๆๆ ผาหัวสิงห์ที่มีลักษณะคล้ายหัวสิงห์หากมองจากไกลๆ มา 

แต่พอมายืนอยู่ข้างบนนี้บอกเลยว่าทางขึ้นชันมาก แล้วก็ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน 

แต่ถือว่ามาคุ้มแล้ว ไม่เสียเที่ยว ลมแรงแบบป้ายล้มกองอยู่ที่พื้น 

ต้องยกขึ้นมาถ่ายกันเอง แล้วก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มสองกลุ่มขึ้นมาเหมือนกัน 

คือคนขึ้นมาน้อยมาก เพราะตอนเช้าหมอกจะบังหัวสิงห์มิดจนมองไม่เห็นอะไรเลย 

ถ้าอยากได้ภาพหัวสิงห์ควรถ่ายช่วงบ่ายๆ เย็นๆ

ถึงเวลาเดินทางกลับกันแล้ว เราเดินขึ้นผาหัวสิงห์ตั้งแต่หกโมงเช้า 

กว่าจะลงมาถึงจุดกางเต็นท์เพื่อกินข้าวเช้ากันก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมงเช้าแล้ว

หลังจากเก็บเต็นท์ เก็บกระเป๋ากันเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางฝ่าหมอกหนาบนดอย

เพื่อเดินทางกลับ นี่ขนาดเกือบเที่ยงหมอกยังหนาอยู่เลย 

ทางลงชันเอาเรื่อง แวะเก็บภาพบนดอยหมาหอบกันหน่อยก่อนกลับ


ระหว่างเดินลงไปก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่กำลังเดินสวนขึ้นมา 

พวกเราก็ได้แต่โบกมือให้เขาแล้วบอกว่า "โชคดีนะ" 

(หนทางข้างหน้ารอเจ้าอยู่อีกไกล) 555+

สรุปค่าใช้จ่ายของทริปนี้ทั้งหมด

- ค่าน้ำมันรถไปกลับ 845 บาท

- เสบียงอาหารสำหรับ 6 คนรวมลูกหาบ 1 คน 934 บาท

- กราวชีท 358 บาท (เราซื้อกราวชีท 2 ผืนไปปูรองพื้นเต็นท์กับเอาไว้เป็นที่นั่งเล่นนั่งกินข้าวกัน)

- ค่ารถ 4WD 3,000 บาท (มีพี่ 2 คนมาแจมอีก 2 คนหารค่ารถ)

- ค่าลูกหาบ 800 (ขากลับเราให้เขาแบกของบางส่วนเพิ่ม เลยเพิ่มเงินให้อีก) 

ปกติค่าลูกหาบสำหรับ 2 วัน 1 คืนแค่ 600 บาท

- ค่าข้าวเที่ยง (ที่ได้กินตอนบ่ายสาม กว่าจะเดินลงมาถึงข้างล่าง) 240 บาท 

มีร้านอาหารที่หมู่บ้านมูเซอหน้าศูนย์บริการท่องเที่ยว

รวมทั้งทริปแล้ว : 6,177 หักค่ารถที่หารกับพี่ 2 คนในทริป เหลือ 5,427 บาท

เฉลี่ยตกคนละ : 905 บาท (สำหรับพวกเรา 6 คน)

---------------------------------------------

เปิดให้ขึ้นดอย : พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ (ของทุกปี)

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : 092 - 5597201 (ชุมชนบ้านมูเซอ)

หรือทำเรื่องจองได้ที่ : doimonjong.web.app

พิกัด : ดอยม่อนจอง อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่

แผนที่ : https://goo.gl/maps/cRd2ZbNH7nNJ4Vcn7


#เที่ยวให้โลกจำ #ม่อนจอง #ดอยม่อนจอง #อมก๋อย #เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย #เชียงใหม่ #เที่ยวเหนือ #เที่ยวป่า #เดินป่า #เดินป่าไทย #เดินป่าเหนือ #เดินป่าเชียงใหม่ เที่ยวให้โลกจำ

เที่ยวให้โลกจำ

 วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.13 น.

ความคิดเห็น