ถ้ามีใครถามเราว่า ไปเที่ยวสเปนมาเป็นไงบ้าง

เราก็อยากจะถามคุณผู้อ่านกลับไปว่า คุณมีเวลามากพอที่จะฟังเราไหม

เพราะถ้าคุณมีเวลา เราก็พร้อมที่จะเล่า ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในทริปนี้ ที่ได้เที่ยวไปทั้งหมด 6 เมือง! ในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าจดจำที่สุดเลยล่ะ สำหรับผู้หญิงอายุ 20 ตัดสินใจกล้าที่จะไปเที่ยวคนเดียวอย่างเรา

ทริปนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรกของเราไหม?

-ก็อาจจะใช่นะ 

เราวางแผนทุกอย่างเองในช่วงที่มีเวลาว่าง ซึ่งไม่ง่ายนัก เพราะในช่วงปีใหม่การจองทัวร์ รถบัส รถไฟ ไปสถานที่เที่ยวต่างๆ ของแต่ละบริษัทนั้นจะมีวันหยุดทำการบ้าง กว่าจะหาวันลงได้ในแต่ละที่ ก็ใช้เวลาวางแผนไปหลายวันเหมือนกัน    

  เราเดินทางไปมาดริดคนเดียว พอไปถึงสนามบิน บาราฆัส แม้จะเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ แต่ก็น่าแปลกที่คนไม่ได้ดูแน่นตาอย่างที่คิด เรารับกระเป๋าเรียบร้อย ออกมาเจอคุณลุงกับป้าและรุ่นพี่ที่มาคอยรับเราที่สนามบิน.......นี่ไงมีคนรู้จักคอยsupport อย่างนี้ จะเรียกว่าเที่ยวคนเดียวไหมนะ?

เรานั่งรถเอาของไปเก็บที่บ้านก่อน ทานอาหารรองท้อง เพราะตั้งแต่มาถึงวันแรกก็มีโปรแกรมเที่ยวเลยคือไป Royal Palace และ Museo del Prado

ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จักกับพี่หนอนรุ่นพี่ที่เรียนที่นี่ ซึ่งคุณลุงให้พี่เค้าคอยพาเราเที่ยว เป็นไกด์ให้เราวันนี้ คงสบายหน่อยล่ะเพราะพี่เค้าพูดสเปนได้ ข้อมูลหลายๆอย่างก็มีพี่เค้าคอยแนะนำและเล่าให้ฟัง

และการเที่ยวสถานที่ต่างๆในใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับเราคือเดิน ก่อนหน้านี้เราว่างแผนจริงจังมากว่าวันนี้จะไปตรงนี้ อีกวันจะไปตรงนั้น แต่พอเดินตามพี่หนอนไปเรื่อยๆก็ค้นพบว่าหลายสถานที่อยู่ใกล้้กันมาก เดินถึงกันหมด แต่อาจจะมีบางที่ ที่ไกลออกไปต้องนั่งบัส หรือเมโทรไปต่อบ้าง 



 คุณลุงขับรถออกจากบ้านตอนบ่ายสามใช้เวลา20นาที เพื่อเข้าไปส่งเรากับพี่หนอนแถว

Plaza mayor จตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางเมืองมาดริด เป็นจุดนับกิโลเมตรที่ 1 ของสเปน ที่นี่เป็นจุดตัดถนนสายหลักหลายเส้น และมีแหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย
ในช่วงนั้นจะมี Christmas Market มีคนแต่งชุดแฟนซี บรรยากาศคึกคักเหมาะกับช่วงเทศกาล


“พี่หนอน งั้นเราเดินไปพระราชวังเลยดีกว่าไปถ่ายรูปที่นั่นเลย”

เดินเพลินๆผ่าน ตลาด San Mieugel

“เออเนส พี่เห็นเราเขียนในโปรแกรมว่าจะมาเดินตลาดนี้ ลองเข้าไปดูไหม”

พี่หนอนพาเราเดินเข้าไป ความคิดแรกที่แวบเข้ามา ถ้ามีการจัดคลาสตลาดเหมือนเวลานั่งเครื่องบิน ตลาดนี้ก็คงจะจัดอยู่ใน First class เลยล่ะ ข้างในคนเยอะ มีแอร์เปิด สะอาดสะอ้าน มีที่ให้นั่งกิน 

ยืนกินอาหารที่ซื้อมา กินเสร็จถ้าอยากจะว่างทิ้งไว้ก็ไม่ต้องห่วง มีพนักงานมาคอยเก็บทำความสะอาดให้

เราเดินผ่านร้านแรก “เนสอยากลองป่าวขาหมูสเปน เดี๋ยวพี่สั่งให้”

“ได้เลยพี่”

“เค้าเรียกว่าไรนะพี่”

“ฮามอน (Jamon) คือ แฮมสเปน เป็นขาหมูที่กึ่งดิบกึ่งสุก แล้วเอามาปรุงรส แขวนในที่อากาศเย็น มันจะออกค่อนข้างเค็มหน่อยนะ ”

กินไปคำแรก เค็มจริงด้วย เราเลยหยิบขนมปังกรอบที่เค้าให้มาด้วยมากินคู่กัน

“เออละก็ หมูที่เอามาทำฮามอนนี่อะรู้ป่าว เค้าจะเลี้ยงหมูอย่างดี ให้กินอาหารอย่างดีเลยนะ”

Jamon เป็นขาหมูที่กึ่งดิบกึ่งสุก แล้วเอามาปรุงรส มันจะออกค่อนข้างเค็มหน่อยนะ

กินไปได้ไม่กี่คำก็พอ ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ แต่กลัวว่าจะไปเข้าชมพระราชวังไม่ทัน จองไว้รอบสี่โมงครึ่ง

พี่หนอนเลยห่อฮามอนเก็บไว้ให้เราไปกินต่อที่บ้าน

เดินไปถึงพระราชวังเห็นแถวยาวมากแต่โชคดีที่เราซื้อตั๋วออนไลน์จากทางเว็บ www.patrimonionacional.es ... ถ้าอยากเข้าชม kitchen ก็จ่ายเพิ่มไปอีก ในเว็บจะบอกรายละเอียดราคาเรทต่างๆ มีให้เลือกเป็นแบบทัวร์ audio บอกวันและเวลาเปิดปิดใครสนใจก็เข้าไปดูในเว็บนี้เลย

ก่อนจะเข้าไปทางฝั่งตรงข้ามพระราชวังเป็น โบสถ์ Santa María 


ระหว่างที่ยืนถ่ายรูปอยู่ก็มีคนเข้ามาชวนคุยกับพี่หนอนแล้วเอากำไลมาผูกข้อมือให้ ตอนแรกเหมือนจะให้ฟรี เล่าว่าตัวเองอยากให้ แต่ไปๆมาๆก็บอกว่าตัวเองไม่มีเงินใช้ ขอเก็บเงิน พอเราบอกไม่เอา เค้าก็ชักสีหน้าและถอดกำไลออกทันที

Royal palace of Madrid 

พระราชวังหลวงแห่งมาดริด ที่นี่เป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปเลยมีห้องพักมากถึง 3,418 ห้อง สำหรับคนที่ซื้อตั๋วมาแล้วสามารถเดินเข้าไปช่องทางลัดเข้าชมได้ทันทีไม่ต้องต่อคิว เจ้าหน้าที่จะสแกนบาร์โค้ด ตรวจxray กระเป๋าก่อนเข้า

เข้ามาแล้ว เข้ามาดูตัวพระราชวังที่ไม่มีรั้วกัน เข้ามาดูกันชัดๆ

เข้าไปในรั้วพระราชวังมองออกมาเห็นโบสถ์ในมุมที่กว้างขึ้น

ภายในจะมีบางโซนไม่ให้ถ่ายรูปเราใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการเข้ามาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้

จากที่เดินดูของเค้าสวยจริงๆ ทั้งภาพประดับฝาผนัง ข้าวของเครื่องใช้ ภาพศิลปะเครื่องใช้ในวังที่เก็บสะสมเอาไว้ รวมถึงอาวุธในสมัยก่อน สวย อลังการ จัดแบ่งหลายห้อง ถ้าจะดูแบบระเอียดจริงๆ 1 ชั่วโมงคงไม่พอ สำหรับคนที่รักประวัติศาสตร์ชอบดูสถาปัตยกรรม

เจ้าหน้าที่เดินมาบอกเรา บอกว่าห้องข้างในของพระราชวังห้ามถ่ายรูป ถ่ายได้แต่ข้างนอก



ระหว่างเดินบางทีจะมีเจ้าหน้าที่มาขอดูตั๋วอีกทีด้วย อย่าทำหายล่ะ


ออกมาเจอพี่หนอนที่ยืนรออยู่ข้างนอก

ตอนนั้นเวลาห้าโมงครึ่ง ตั้งใจจะไป museum หลังหกโมงเย็นเพราะเข้าฟรี ระหว่างทางก็เดินผ่านอีกด้านหนึ่งของพระราชวัง ไม่ไกลจะเป็นวัด Debod พี่หนอนบอกว่าไปดูพระอาทิตย์ตกดินตรงนั้นจะมีวิวสวยด้วย แต่เรากลัวไปดู museum ไม่ทันเลยบอกว่าวันหลังค่อยมาดูพระอาทิตย์ตกดินละกัน

พี่หนอนบอกว่าชอบตึกนี้มันเรียงตัวกันสวยดี
อากาศตอนเย็นเดินสบายสิบกว่าองศาชิลๆ

ทางไปค่อนข้างเดินไกลเลย เป็นทางเดินย้อนกลับไปผ่านจัตุรัส Puerta del Sol อีกหนึ่งแหล่งสำคัญที่คนใช้เป็นจุดนัดหมาย ในช่วงคริสต์มาสต์ก็จะมีการประดับไฟ มีต้นคริสต์มาสต์ตั้งโชว์

ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งเรียกง่ายๆว่ากิโลเมตรที่ศูนย์

เอาเท้ามาวางไว้ตรงตำแหน่งนี้ ว่ากันว่าจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง

บรรยากาศช่วงเย็นวันนี้คนเยอะมากทีเดียว

The bear and the cherry tree in Madrid

รูปปั้นสัญลักษณ์ของกรุงมาริด

ระหว่างทางผ่านอาคารสภา

เดินไปถึงปราโดก็พบว่าแถวคิวยาวมากๆ น่าจะเป็นเพราะหลังหกโมงเย็นที่นี่เปิดให้เข้าฟรี บวกกับช่วงวันปีใหม่นักท่องเที่ยวเยอะ ทำเอาเรากับพี่หนอนลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม

“ไหนๆก็มาแล้วลองต่อดูซัก15นาที ว่าแถวมันจะขยับแค่ไหน ถ้าไม่ค่อยขยับงั้น เดี๋ยวเราไปกินชูโรสกัน”

เรากับพี่หนอนตัดสินใจต่อคิวรอท่ามกลางอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึงได้เข้า

เมื่อท้องฟ้ามืดลง ตอนกลางคืนอากาศจะเย็นขึ้นอย่างรู้สึกได้ ตอนนั้นประมาณ 8 องศา

เราเดินดูแต่ละห้องที่จัดแสดงภาพศิลปะตามยุคสมัยและจิตกรชื่อดัง ตามโบชัวร์ที่เค้าแจกให้

สุดท้ายเราต่างยอมรับกันว่าทั้งคู่ไม่ใช่คนชอบเสพงานศิลป์กันเลย แต่เราอยากเข้ามาดูสักครั้ง

ช่วงท้ายปีแบบนี้ ถนนหนทางต่างประดับไปด้วยไฟ เพิ่มความ festive ให้กับเมือง
เดินชมบรรยากาศตอนนั้น แสงไฟ อากาศเย็น มาดริดตอนกลางคืน มีเสน่ห์มาก





Plaza de Cibeles

มี Fuente de Cibeles น้ำพุที่แกะสลักรูปปั้นตั้งเด่นอยู่ตรงกลางจัตุรัส หลายคนอาจคนภาพนี้เพราะทีมฟุตบอลreal Madrid มาฉลองเวลาได้แชมป์

อาคารด้านหลังเป็นอาคารไปรษณีย์เก่า ซึ่งปัจจุบันมีการบูรณะภายในและใช้เป็น ศาลาว่าการเมืองมาดริด (City hall)
ตอนกลางคืนจะมีไฟเปลี่ยนสี ผู้คนมากมายมายืนถ่ายรูปกัน

บางคนมายืนถ่ายรูปตรงเกาะกลางถนนเลยก็มีแบบเรา


“ พี่หนอนถนนgran via มันอยู่ไกลจากตรงนี้ป้ะพี่ พอดีอยากซื้อซาร่าอะ กลัววันหลังไม่มีเวลามาแล้ว ”

“ ไม่ไกลๆ เดี๋ยวพี่พาเดินไป ”

นี่เป็นถนน Gran Via คนแน่นมากๆ บางทีก็หยุดเดินคนเบียดกันเดินไม่ได้ตรงจุดนี้

ถนนเส้นนี้มีแบรนด์เต็มไปหมดเรียกว่าเป็นถนนละลายทรัพย์เลย 

มาถึงร้าน Zara แล้ว ข้างๆกันก็เป็นช็อป mango อาณาจักรซาร่าที่นี่ราคาถูกว่าที่ไทยเยอะเลย วันนั้นเราได้เสื้อมาตัวนึงตัดสินใจซื้อไปแม้อยากจะได้อีกไซส์ก็ตาม พี่หนอนบอกว่าไปลองดูที่ชอปอื่นก็ได้นะ เผื่อมีไซส์เพราะความจริงแถวนั้นก็มีซาร่ามากกว่าหนึ่งชอปอยู่แล้ว

“ เนสๆ พี่ลืมบอกเราไปว่าtax refund มันต้องใช้พาสพอร์ตนะ ”

“ อ่าว ใช้เป็นสำเนาแทนได้ไหมอะพี่ ”

พี่หนอนไปถามพนักงานให้ สรุปก็คือได้ เราว่าดีเหมือนกันนะจะได้ไม่ต้องพกพาสพอร์ตเล่มจริงออกมาจะได้ไม่หาย

เราซื้อแจ็กเกตหนังราคา 59.99 ยูโร ได้ tax refund 10 ยูโร ก็โอเคมากแล้ว

ตอนนั้นเราไปแวะดู mango ต่อนิดเดียวเพราะคุณลุงก็โทรมาเตือนแล้วว่าพรุ่งนี้ต้องออกจากบ้านไปเซบีย่าตีห้าครึ่งนะ

เราเลยบอกพี่หนอนว่าไปร้านชูโรสเลย แต่ก็เกือบลืมให้พี่หนอนถามว่าวันที่ 31 กับ 1 ร้านเปิดไหม เผื่อจะได้มาซื้อต่อ 

ได้ความว่าวันที่ 31 ร้านเปิดถึงหกโมงเย็น ส่วนวันที่ 1 ร้านปิด

เดินกันต่อ มาผ่านห้าง el corte ingles 

“ เอ่อตรงตึกนี้ถ้าขึ้นไปชั้น9 ถ่ายรูปออกมาจะได้วิวสวย ลองขึ้นไปดูมะ ”

“ได้ๆพี่ ”ตอนนั้นเวลาเริ่มดึกแล้วแต่ก็อยากไปลองดู

ขึ้นไปถึงชั้น9เป็นร้านอาหาร วิวสวยมองเห็นตึกที่โดดเด่นและเห็นบรรยากาศมาดริดจากมุมสูง

คนเยอะมาก จุดถ่ายรูปที่พี่หนอนบอก มีคนมายืนต่อคิวถ่ายรูปกันเยอะเลย เราเลยไม่ได้ไปต่อคิวด้วยเพราะเวลาจะดึกแล้ว

แอบขโมยภาพพี่หนอนมา ถ้าใครมีเวลาว่างต่อคิวก็จะได้รูปวิวสวยๆแบบนี้กลับไป

ปิดท้ายวันนี้ด้วยร้านชูโรสในตำนานของมาดริด

Chocolateria San Gines

ร้านนี้ขายชูโรสเก่าแก่เปิดมาร้อยกว่าปีแล้ว

“มันจะแบ่งเป็นสองโซนนะ โซนนี้เนี่ยเป็นโซนที่ขยายออกมาเพื่อรองรับคน ส่วนโซนออริจินัลเลยจะอยู่ตรงนี้”

ตอนนั้นเห็นว่าแถวยาวพอๆกันพวกเราเลยไปต่อแถวออริจินอล

ข้างล่างเป็นเหมือนโบกิ้งรถไฟมีโต๊ะให้นั่งกินเหมือนกัน มีคนต่อคิวเพื่อที่จะลงไปดูเยอะเลย 

เราเดินผ่านลงไปช้างล่างเพื่อไปดูและเข้าห้องน้ำ ตอนเดินลงไปก็ได้ยินเสียงพนักงานพูดปี๊ดๆ ให้เราหลบทาง เพราะเค้าจะเอาอาหารไปเสริฟโต๊ะข้างล่างพอเราหันไปเค้าก็บอกว่าไม่เป็นไรให้เราเดินลงไปก่อนได้

ขึ้นมาชูโรสที่สั่งมาแล้ว พี่หนอนสั่งมาให้เราสองแบบ Churros กับ Porrasตัวแป้ง Porras รสชาติคล้ายปาท่องโก๋บ้านเราอยู่นะ หน้าตาก็คล้าย แค่ใหญ่ขึ้นมา และแป้งจะหนากว่า แต่ที่เราชอบก็เป็นช็อกโกแลตร้อนของที่นี่แหละ  ข้นสะใจมากๆ อากาศเย็นๆนั่งกินชูโรสจิ้มกับช็อกโกแลตร้อนของร้านนี้ตอนสี่ทุ่มกว่า ถือเป็นมื้อเย็นที่ฟินไม่เบาสำหรับเราเลย

“ ชอบช็อกโกแลตอะพี่ อร่อยมากเลย ”

“ เอาอีกป้ะ เดี๋ยวพี่ไปต่อคิวซื้อให้ ”

“ เฮ้ยไม่เป็นไรพี่เกรงใจ ”

“ เอ้อขากลับอะเราอยากกลับไงเรียกอูเบอร์หรือขึ้นรถบัส ถ้าบัสจะถึงช้ากว่าหน่อยนะ ”

“ อยากลองขึ้นรถบัสอะพี่ เผื่อวันไหนมาเองจะได้กลับถูก พี่พาขึ้นหน่อยน ะ”

พวกเราเดินไปป้ายรถบัส 133 ค่าโดยสารคนละ 1.5 ยูโร

ขึ้นไปบนรถบัสพอมีที่ว่าง เราเผลอหลับไปด้วย อาจจะเพราะฤทธิ์ของยาแก้หวัดที่ทำให้ง่วง

ถึงบ้านแล้วเวลาเกือบห้าทุ่ม พี่หนอนขึ้นไปเปิดฮีตเตอร์ให้ กับเอาปลั๊กพ่วงมาให้เรายืม

พรุ่งนี้ออกจากบ้านตีห้าครึ่ง ต้องรีบเข้านอนแล้วล่ะ ตื่นเต้นมากเพราะพรุ่งนี้เราจะนั่งเครื่องบินไปเซบีย่า เที่ยวคนเดียว 1 วันเต็มๆ!


เช้าของวันที่ 3 เรามารอขึ้นรถบัสไปทัวร์ Avila และ Salamanca (ติดตามได้ในเร็วๆนี้)

เราไม่รู้มาก่อนว่าจุดนัดพบที่ไกด์นัด คือสนามวัวกระทิง เพิ่งมารู้ก็ตอนไปถึงนี่แหละ เหมือนได้ที่เที่ยวเพิ่มโดยไม่ได้แพลน ฮ่าๆ

Plaza de Toros de Las Ventas

เวลา7โมงครึ่งท้องฟ้ายังมืดสนิทอยู่เลย
Plaza de Toros de Las Ventas เป็นสนามต่อสู้วัวกระทิงข้างในมีพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้วัวกระทิง สามารถรองรับผู้ชมได้กว่า 23,000 คน
ตอนแรกก็อยู่ในแพลนที่เราวางไว้ว่าจะมา ถ้ามีเวลาพอ


หลังจากกลับมาจากเมืองเซโกเบีย (ติดตามรีวิวได้เร็วๆนี้ค่ะ)

คุณลุงขับรถพาเรากลับไปส่งที่สนามบอล Santiago Bernabeu ตอนรถใกล้จะถึงสนามบอล

ก็เห็นกลุ่มคนใส่เสื้อสีเขียวเดินเต็มถนนเลย

“ เนี่ยเหมือนจะเดิน ไปทางสนามบอลเลย ” คุณลุงพูด

เราเริ่มกลัว เพราะไม่อยากไปเดินในที่ที่คนมารวมตัวทำอะไรกันโดยที่ไม่รู้ คิดไปต่างๆนาๆว่าเค้าไปประท้วงอะไรกันรึป่าว

จริงด้วย เค้าเดินไปสนามบอลกัน แต่สังเกตดีๆคนแต่งตัวเหมือนจะเป็นงานวิ่ง

คุณลุงจอดรถส่งเราหน้าสนาม เราเหมือนแกะดำเดินฝ่าฝูงแกะที่ใส่เสื้อสีเขียวเต็มไปหมด เดินเข้าไปข้างในจึงพบว่านี่เป็นงานวิ่ง น่าจะเป็นเทศกาลวิ่งข้ามปีของคนที่นี่ เพราะตอนไปเซโกเบียก็เห็นเค้ากั้นถนนทำเส้นทางวิ่งอยู่เหมือนกัน


ในใจตอนนั้นก็ภาวนาให้สนามบอลเปิดให้เข้าด้วย จนเราเดินไปหน้าทางเข้าเห็นเค้าขึ้นป้ายว่าปิดหมดเลย เสียดายมาก อุตส่าห์จองตั๋วจากที่ไทย แล้วเช็คในเว็บแล้วเค้าก็บอกว่าปิดแค่วันที่25ธ.ค. กับ 1 มค

เสียเงินฟรี ไม่ได้เข้าไปดูสนามบอลด้วย เอาจริงๆที่นี่เป็นที่ๆเราอยากมามากๆเลย

ความคิดดีที่สุดที่คิดได้ตอนนั้นคือมาดริดอาจอยากให้เรากลับมาที่นี่อีกก็ได้ และเมื่อถึงคราวนั้น ต้องยอมเปิดประตูให้เราเข้าไปดูสนามReal Madrid ด้วยล่ะ

มาสนามฟุตบอล แต่ไม่ได้เข้า ภาพที่ได้ก็จะประมาณนี้

ส่วนสองภาพข้างล่างนี้ พี่หนอนเอามาฝากตอนที่พี่เค้าได้เข้าไปชม

เราเลยเดินไปร้านขนมตูรอน ร้าน TORRONS VICENS MAYOR ที่พี่หนอนแนะนำว่าเป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่ จากสนามบอลถ้าจะไปร้านนี้ ต้องกลับเข้าไปแถว Sol เราเลือกนั่งเมโทรเพราะถ้าเดินไปจะไกลมาก

นั่งเมโทรที่มาดริดครั้งแรก หลายๆป้ายเป็นภาษาสเปน เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าอยากไป Sol ต้องไปไง เค้าบอกให้ซื้อตั๋วที่ตู้ได้เลย เราอ่านภาษาสเปนไม่ออก เลยขอให้เค้าซื้อให้ คุณพี่ใจดีก็กดตู้ให้เรา พร้อมบอกให้เดินไปทางนั้น ไปที่เกท 8 นะ

เมื่อขึ้นจากเมโทรก็พบว่าท้องฟ้าได้เปลี่ยนสีมืดแล้ว ทางเดินไปร้านผ่านใจกลางเมืองที่เคยเดินวันแรกอีกครั้ง แต่ต่างกันที่คืนนี้เป็นคืนเค้าดาวน์ผู้คนหนาแน่นเป็นพิเศษ เห็นนักข่าวมาทำข่าวด้วย

บางตอนต้องเดินผ่านซอยเปลี่ยว ดูน่ากลัวเหมือนกันนะ มาคนเดียวก็ต้องดูแลตัวเอง

เดินตรงไปเจอร้านแล้ว ตั้งใจจะซื้อขนมตูรอนไปฝากคนที่ไทย เข้าไปในร้านมีพนักงานพูแลอย่างดี

เราขอให้เค้าช่วยแนะนำ 

“ ทางร้านจะมีขนมตูรอนที่อยากแนะนำหลักๆ 2 แบบนะคะ คือแบบ Original กับ Something different ค่ะ ”

พี่พนักงานพาเราเดินไปชิมทั้งสองแบบถ้าแบบดั้งเดิมจะแข็ง มีทั้งใส่น้ำตาล ไม่ใส่น้ำตาล

ส่วนอีกแบบจะนุ่มขึ้นมาพร้อมมีส่วนผสมที่ต่างกันแล้วแต่สูตร เช่นใส่แอปเปิ้ล คอนเฟล็ก โอรีโอ ทีรามิสุ แบบใส่แอลกอฮอล์ด้วยก็มี 
เราชิมไปหลายรสมากจนจำไม่ได้ว่ารสอะไรเป็นอะไร แต่โดยรวมแล้วอร่อยหลายแบบเลย 

สุดท้ายเราซื้อหลายๆแบบคละกันไป เราซื้อเลย 40 ยูโร พนักงานเค้าเลยแถมตูรอนชิ้นใหญ่ให้อันนึงตามโปรโมชั่นที่มีให้ในช่วงนี้

ขนมtorrone มีส่วนผสมหลักจากไข่ขาว น้ำผึ้ง และอัลมอนด์

ออกจากร้าน ข้างๆเป็น Plaza mayor  

ตลาด Christmas ยังคงจัดอยู่ ซึ่งคนไม่เยอะเท่าตอนกลางวัน สงสัยคงไปรวมกันที่ลานกันหมด 

รูปปั้นพระเจ้าฟิลลิปที่สาม กับฉากหลังที่เป็นตึกสีแดงพร้อม ไฟประดับสวยงาม ตอนกลางคืนที่ฟ้ามืดสนิท เห็นแสงสว่างเล็กๆจากพระจันทร์

เราไม่คิดเลยจริงๆว่าจะได้มายืนตรงนี้ในคืนเค้าดาวน์ เพราะก่อนหน้านี้คิดว่ามันต้องอันตรายมาก

แต่พอมาถึงจริงๆก็รู้สึกทำไมตอนนั้นเราคิดไปเองขนาดนั้น เพราะมาดูจริงๆแล้วก็มีตำรวจคอยรักษาความปลอดภัยตลอด ยังไงเราก็รู้สึกดีใจและภูมิใจกับตัวเองที่ทำมันได้ แม้มาคนเดียว ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าขนาดนี้ ถ้ากลัวก็คงพลาดโอกาสมาเห็นภาพสวยงามในช่วงเทศกาลแบบนี้ 

เวลาหนุึ่งทุ่มแล้ว เราก็เริ่มเดินกลับไปขึ้นบัส 133 เราเห็นบัสจอดที่ป้ายพอดี เลยรีบวิ่งไป พอไปถึง

เห็นคนขับเก็บของแล้วเดินลงจากรถ เราเลยเข้าไปถามเค้า เค้าก็พูดแต่สเปนเราฟังไม่ออก เหมือนเค้าจะพยายามจะบอกว่าให้ไปขึ้นตรงอีกจุดหนึ่งของถนนฝั่งนู้นแทน บัสคันนี้ไม่วิ่งแล้ว แต่เราก็ไม่เข้าใจ

ตอนนั้นเราเริ่มเลิ่กลั่ก กลัว จะกลับบ้านได้ไหม ไม่อยากรบกวนให้คุณลุงลำบากขับรถมารับ ทั้งที่รู้ว่าถ้าบอกยังไงเค้าก็มารับเรา

เราเห็นตำรวจอยู่ตรงสี่แยกไม่ไกลเลยเดินไปถามเค้า คุณตำรวจใจดีพูดภาษอังกฤษได้บอกว่า 

“ ถนนบางเส้นจะปิดนะในช่วงเวลานี้ คงเข้าใจนะเพราะเป็นคืนที่ 31 น่ะ ”

เค้าบอกว่าให้ขึ้นแท็กซี่หรืออูเบอร์ แต่เราไม่ได้โหลดแอพอูเบอร์ไว้ 

“ ช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้หน่อยได้ไหมคะ ”

“ ได้เลย  พยายามมองหาคันที่เปิดไฟเขียวบนหลังคานะ นั่นแปลว่าคันนั้นว่าง ” 

คุณตำรวจตอบกลับพร้อมรอยยิ้มท่าทางดูใจดี
เป็นเวลา 10 นาทีที่คุณตำรวจสองคนช่วยเรามองหาแท็กซี่ หลายคันเต็มมีคนนั่งหมดเลย

จนมีคันหนึ่งที่เพิ่งว่าง คุณตำรวจรีบวิ่งไปเรียกให้กลางสี่แยกตอนนั้นทุกคนมองมาที่เหตุการณ์นั้น 

รถตรงสี่แยกหยุดหมด เราเดินไปขึ้นรถ ทุกคนมองมาที่เรา 

แอบคิดในใจภาพที่ตำรวจส่งเราขึ้นแท็กซี่

คนอื่นอาจคิดว่าเราถูกจับก็ได้นะ ฮ่าๆ 

เรายิ้่มให้คุณตำรวจและบอกขอบคุณ  “Gracia”

ภาพเหตุการณ์คืนที่31ธ.ค. ที่ได้คุณตำรวจใจดีสองคนช่วยให้ได้กลับบ้าน


เพิ่งเคยนั่งแทกซี่ต่างประเทศครั้งแรก ค่าโดยสารขึ้นเร็วมาก ทุกนาทีมีค่าจริงๆ

เช็ค google map แล้ว ประมาณ 14 นาทีจะถึงบ้าน มีตอนนึงพี่คนขับเลี้ยวผิดทาง เค้าก็เห็นว่าเรารู้ตัวเพราะเราเปิดแมพตามตลอด เค้าบอกขอโทษนะ พร้อมกดหยุดมิเตอร์ให้ เกือบสิบนาทีจึงวนกลับมาที่เดิมแล้วค่อยกดมิเตอร์ใหม่ เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่น่าประทับใจมาก

ในส่วนของค่าโดยสารนั้นเกือบจะ 15 ยูโรแล้ว



เราถึงบ้านในเวลาสองทุ่มครึ่ง

พอใกล้เวลาจะเค้าดาวน์ คุณลุงก็เรียกให้ลงมาเค้าดาวน์ด้วยกัน 

คุณลุงเปิดทีวีถ่ายทอดสดกิจกรรมเค้าดาาน์จาก Plaza Mayor ไปด้วย เราเห็นก็นั่งยิ้มว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเราเพิ่งไปอยู่ตรงนั้นเอง

เทศกาลเค้าดาวน์ของคนที่นี่จะกินองุ่น 12 ลูก กินแต่ละลูกก็ขอพรไปด้วย เวลาเที่ยงคืนทุกคนนับถอยหลัง 12 11 10 .... 3 2 1 (เป็นตัวแทนของเดือนทั้ง12)
Cheers!

ทุกคนยกแก้วไวน์ขึ้นมาชนกัน
หลังจากนั้นเราได้ยินเสียงพลุจากบ้านข้างๆเราออกไปดู 

เห็นพลุไกลๆ

พลุเล็กๆสไตล์มินิมอลไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่ช่างเข้ากับบรรยากาศตอนนี้เหลือเกิน

กลับเข้ามากินเค้ก ถ้าใครเจอตุ๊กตาที่ซ่อนอยู่ในเค้กก็ถือว่าแจ๊กพอต เป็นการเล่นสนุกๆกัน

คืนนี้เป็นคืนเค้าดาวน์ที่น่าจดจำสำหรับเราที่สุดเลย เหตุการณ์ที่พี่ตำรวจเรียกแทกซี่ให้กลางสี่แยก ในเมืองมาดริดเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ทั้งดีใจและกลัวในเวลาเดียวกัน เป็นคืนที่น่าพิเศษสำหรับชีวิตเรามาก


หลังจากกลับมาจากเที่ยวเมืองโทเลโด้(ติดตามได้เร็วๆนี้นะคะ) 

มาถึงสถานี Atocha สถานีใหญ่มีรถไฟสายต่างๆของ Renfe ที่จะออกไปเมืองต่างจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ของสเปน

ข้างในสถานี Atocha มีพื้นที่เป็นเรือนกระจกไว้ปลูกต้นไม้


ก็มาเก็บตกที่เที่ยวในมาดริดวันสุดท้ายก่อนจะกลับพรุ่งนี้ เราเข้ามาเที่ยวในมาดริดในวันสุดท้ายนี้ เริ่มจะชินกับบรรยกาศของเมืองนี้แล้ว

โดยที่เที่ยวสุดท้ายก่อนจะกลับ เราเลือกไปสวน Retriro และวัด Debod

  บัสจากสถานี Atocha ไปถึงสวน Retriro 20นาที ตอนไปถึงเราเพิ่งรู้ว่าสวนนี้ใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก และมีทางออกหลายทางอีก 

เราเดินไปเรื่อยๆในสวนนี้เกือบครึ่งชั่วโมง ก็ยังหาบึงน้ำที่เป็นสัญลักษณ์เด่นของสวนนี้ไม่เจอ แต่ก็ได้รู้ว่าคนมาดริดเข้ามาใช้เวลาพักผ่อนในสวนนี้กันเยอะมาก แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ 1 มกรา ก็ตาม

เดินหลงอยู่สักพัก เลยโทรถามมาพี่หนอน พี่เค้าบอกว่าเปิดแมพแล้วซูมดูเลยตรงที่เป็นบึงน้ำเค้าจะใช้คำว่า Estanque grande de retriro

เราเดินตามไปก็เจอ คนส่วนใหญ่มาอยู่กันที่ตรงนี้ มีร้านขายของกิน บริการถ่ายรูป คนแต่งชุดแฟนซีก็มี ปกติจะสามารถเช่าเรือไปพายได้ด้วย แต่วันนี้ไม่มีบริการเช่าเรือ

เดินถ่ายรูปเสร็จก็เดินจากบึงนั้นตรงไปจะมีประตูทางออก เราเลี้ยวซ้ายเดินไปเรื่อยๆเห็นคนถ่ายรูปอะไรกัน อ้าวสงสัยจะเป็นประตูชัย ไม่รู้ว่าอยู่ใกล้กันขนาดนี้

la puerta de alcala

แต่ก่อนเป็นประตูเข้าออกเมืองมาดริดทางด้านตะวันออก จะผู้สัญจรจากทางฝรั่งเศสและแคว้นอารากอน ที่นี่ภายหลังมีการบูรณะและสร้างใหม่ให้อลังการกว่าเดิม

ประตูเดิมถือเป็น ประตูชัยแห่งแรกของยุโรปภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน

พี่หนอนบอกว่าถ้าอยากไปดูแสงพระอาทิตย์ตกตรงวัด Debod ห้าโมงครึ่งควรถึงแล้ว ถ้าเราจะนั่งบัสหรือเมโทรไปจากตรงนี้จะต้องเดินต่ออีกนานมากๆ เลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่ 

เอาวะเอาไงเอากันนั่งประมาณ 10 นาทีกว่าคงเกือบสี่ร้อยล่ะมั้งแพงหน่อยแต่เพื่อชมพระอาทิตย์ตก ไปก็ไป

แปลกจังกับแค่การไปถ่ายรูปให้ทันอาทิตย์ตก ทำไมเราถึงตื่นเต้นขนาดนี้ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ ไม่รู้จะได้มีโอกาสมาอีกเมื่อไหร่ 

ระหว่างนั่งก็ผ่าน Gran Via ตอนที่ท้องฟ้ายังไม่มืด คนไม่เยอะ แล้วรู้สึกอยากลงไปถ่ายภาพตรงนี้เลย แต่คงไม่ทันแล้ว วันที่ 1 ร้านรวงต่างๆปิดหมดเลย รถบนถนนก็น้อย 

คนขับใช้เวลา 10 นาที ไปเส้นทางที่ใกล้กว่าที่ในแมพแนะนำ ประมาณ 12 ยูโร

ถึงแล้ว

Templo de Debod 

ในสมัยก่อนอียิปต์ให้เป็นของกำนัลแก่สเปน ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในเวที Unesco เกี่ยวกับการเรียกร้องให้รักษาโบราณสถานแห่งหนึ่งที่เสี่ยงจะเกิดความเสียหายจากการสร้างเขื่อนภายในอียิปต์

มองเห็นคล้ายสิ่งปลูกสร้างเก่าที่ค่อนข้างไม่สมบูรณ์ เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้ก้อนหินสี่เหลี่ยมลักษณะคล้ายก้อนอิฐแต่เป็นก้อนขนาดใหญ่เป็นวัสดุการก่อสร้างซ้อนๆ ขึ้นไป

วัดแห่งนี้ปกติจะล้อมด้วยน้ำแต่น่าเสียดายวันที่เราไปไม่มี

นี่คือภาพที่ได้หลังจากอุตส่าห์เสียค่าแท็กซี่มา คุ้มค่าจริงๆ

เราเดินไปข้างหลังเพราะเห็นคนมุงถ่ายรูปอะไรกัน

ก็พบว่าเค้ารุมถ่ายวิวพระอาทิตย์ตก 

เป็นภาพที่สวยงามมากๆ ยังไงภาพนี้เหมือนเป็นภาพปิดทริปเที่ยวสเปนของเราเลย กรุงมาดริดบอกลาเราได้สวยงามที่สุด ขอบคุณที่ให้ความทรงจำที่ดีกับเรานะ

บรรยากาศแสงสวย เสียงเพลง อากาศดีๆ ชวนให้โรแมนติกชะมัด

ตอนแรกวันนี้ว่าจะไปกินอาหารไทยในสเปน พี่หนอนแนะนำร้าน Thaidy

ร้าน Pui Tapasมีก๋วยเตี๋ยวน้ำตก

ร้าน Casa Pepe ดื่มเบียร์ชิวๆกับไก่ทอด

ร้าน fatigas เค้าบอกว่าอาหารจานใหญ่ที่กินทีจะอิ่มไปหลายมื้อ

แต่สุดท้ายเราไม่ได้ไปสักร้านเลย

กลับบ้านไปจัดของไปกินข้าวกับที่บ้านลุงดีกว่า อีกอย่างวันนี้ร้านอาจปิดก็ได้

เราขึ้นบัส 133 ระหว่างเดินไปขึ้นก็คิดว่ายังไม่อยากกลับเลย อยากเดินเที่ยวมาดริดต่อ เราชอบที่นี่มาก

บัสวิ่งแค่ 20 นาทีกว่าๆก็ถึงเพราะวันนี้ถนนโล่ง

ระหว่างทางเดินเข้าหมู่บ้าน เราเริ่มรู้สึกใจหายอีกแล้ว ซึ่งเราจะเป็นในคืนสุดท้ายก่อนจะกลับ


.....พรุ่งนี้เราก็กลับแล้วสินะ 

ทริปนี้มันดีมากจริงๆ ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่ามันจะดีขนาดนี้ รู้สึกไม่เสียใจเลยที่เลือกมาเที่ยวคนเดียว

ไม่มีสักวินาทีที่รู้สึกเหงาเลย เรา enjoy กับทุกสิ่งรอบข้างเรามาก

ได้เจอผู้คนดีๆที่ช่วยเราตั้งหลายอย่างโดยที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ได้เห็นว่าสเปนมีเมืองที่สวยและน่าค้นหาอยู่หลายเมือง เราจะกลับมาอีกแน่นอน

ในเรื่องความปลอดภัย หลายคนคงเคยได้ยินกันเรื่องของโจรล้วงกระเป๋าที่โด่งดังในเมืองใหญ่ๆ

สถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนเยอะ จะบอกว่า ตลอดทริปนี้เราไม่เจอเลยนะ วิธีง่ายๆของเราคือ

-เอาสิ่งของมีค่าใส่ไว้กระเป๋าข้างในเสื้อ แบ่งเงินไว้หลายๆที่

-ยกเป้มาสะพายข้างหน้า

-หมั่นเช็คสิ่งของตลอดเวลา มีสติ

-ถ้าเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินในที่ลับตาคน ก็รีบเดิน และคอยดูว่ามีคนตามหลังเรารึไม่

-เป็นผู้หญิงออกมาเที่ยวคนเดียวแบบนี้ ต้องดูแลตัวเองดีๆ

และที่สำคัญแพลนที่เราวางมาจะไม่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ถ้าไม่มีคนคอยช่วย

ขอบคุณคุณลุงและคุณป้ามากนะคะที่คอยไปส่งแต่เช้า ไปรับกลับบ้านดึกๆห้องพักที่อยู่พักสบายมาก อาหารก็อร่อยทุกมื้อเลยนะคะ 

ขอบคุณพี่หนอนที่พาเดินเที่ยวตั้งหลายที่ พาไปกินอะไรอร่อยๆ ให้ข้อมูลคำแนะนำ ทำให้เราเที่ยวสบายขึ้นเยอะมากเลย มีปัญหาอะไรตอนอยู่นั่น ก็นึกถึงพี่เค้าคนแรก


ขอบคุณเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ 

ขอบคุณที่ผ่านเข้ามาอยู่ในความทรงจำของเราที่นี่ ยังเชื่อเสมอว่าไม่ใช่ความบังเอิญหรอกที่เราได้เจอกัน

และสุดท้ายขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านเลยนะคะที่อ่านกันมาถึงตอนนี้ มีคอมเม้นอะไร ยินดีรับฟังเสมอค่ะ เป็นกำลังใจให้เราได้เล่าเรื่องราวให้ฟังกันต่อไป

ยังไงถ้าอยากฟังเรื่องราวกันต่อ ติดตามอ่านเรื่องราวไปเที่ยวเมืองอีก 5 เมืองที่เหลือ( Seville, Avila, Salamanca, Segovia, Toledo ) กันได้เร็วๆนี้ค่ะ

Nali

 วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 12.12 น.

ความคิดเห็น