นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 7 จบ)

highlights:

  • ความวายป่วงในการวิ่งตามรถไฟมาเล
  • ความวายป่วงในการรอผ่านตม.
  • แสงสุดท้ายที่หาดใหญ่
  • ค่าใช้จ่ายทั้งหมด

---------------------------------------------------------------------------------

เย้ๆๆๆ ในที่สุดเราก็เดินทางกันมาถึงตอนสุดท้ายของซีรี่ย์ปีนังกันแล้วววว จะร้อง ยาวนานมากกกกกกกกกกกกกกกกก

จากความเดิมตอนที่แล้ว [นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 6)] หลังจากที่เราไปเดินถ่ายรูปกันในเมืองเสร็จเราก็มาถึงที่ Hostel ประมาณ 10.25 เก็บของนู้นนี่ รวมกับ Check out ก็ประมาณ 11.00 พอดี แต่จำได้ไหมว่าเราจะต้องข้ามไปฝั่ง Butterworth ก่อน 12.00 เพราะเราไปเช็คมาแล้วว่ารถไฟจาก Butterworth ไป Padang Besar รอบที่เราจะปลอดภัยที่สุดคือ รอบ 12.25 แต่ถ้ารอบ 14.25 เราจะเสี่ยงตกรถไฟไปหาดใหญ่สูงมากกกก (เราเช็คตารางรถไฟที่เว็บนี้ https://www.train36.com/penang-padang-besar-komuter-train.html) คือมันจะไม่ผิดพลาดอะไรเลยถ้าเราไม่กะเวลาของ CAT ผิด คือเราไม่รู้ตารางเวลาการเดินรถของ CAT ว่าออกทุกๆ กี่โมง เราก็ออกไปนั่งรอเกือบ 20 นาที แล้วแถมรถกว่าจะวิ่งถึงท่าเรือก็ประมาณ 11.47 แล้ว โอก็อดดดดดด เราจะตกรถไฟไหมนะ!!!

พอไปถึงท่าเรือปุ๊ประยะทางก็ไม่ได้ดูจะใกล้สักนิดนึงแล้วด้วยเวลาที่มันจะใกล้เที่ยงเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าเรายิ่งช้าเราจะยิ่งมีความสูงที่จะตกรถไฟแน่นอน เราก็เลยวิ่งสิจ้ะ รออะไรล่ะ 555555555 แล้วไม่ได้วิ่งธรรมดา มันคือการวิ่งพร้อมลากกระเป๋าขึ้นเนินที่ยาวชั่วกัปชั่วกัลป์ เป็นอะไรที่อนาถมาก 55555

พอวิ่งขึ้นมาถึงที่รอเรือปรากฏเรือออกรอบต่อไปตอน 12.00 ตายๆๆๆๆ กว่าจะข้ามไปอีกฝั่งไม่เที่ยงครึ่งเลยเร๊อะ!!!

พอเราขึ้นเรือมาแล้วเราจะกังวลอะไรไปก็ไม่ได้ช่วยให้เรือมันแล่นเร็วขึ้น เราก็เลยจะปลงๆ ไปถ่ายรูปเล่นให้สบายใจดีกว่า 55555 แล้วภาพที่ได้มันก็คุ้มค่าจริงๆ นั่นแหละ ตรงนี้มันทำให้เราคิดได้ว่า เออเราไม่ควรเครียดไปก่อนล่วงหน้าในสิ่งที่มันยังมาไม่ถึง ไม่งั้นเราจะพลาดของดีระหว่างทางไปอย่างน่าเสียดายเลยแหละ

มองภาพนี้แล้วก็ใจหายนิดนึง นี่เราจะต้องกลับจริงๆ แล้วหรอ อยากจะอยู่ต่ออีกสักอาทิตย์ เราว่าเราแอบหลงมนต์เสน่ห์ปีนังไปแล้วเรียบร้อย

พอเรือกำลังจะเทียบท่าปุ๊ปเราก็เตรียมวิ่งกันต่อเลยจ้ะ 5555555 ขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่ทริปนี้ตัดสินใจเอากระเป๋าลากมา ถ้าเอากระเป๋าเป้มาคือตายตั้งแต่วิ่งที่ท่าเรือเมื่อกี้แล้ว

เหตุการณ์ตอนที่เราลงจากเรือเป็นไรที่ชุลมุนมาก เพราะเราจำทางกลับไม่ได้ คือเป็นคนหลงทางง่ายน่ะเอง มันไม่ใช่แค่ขึ้นฝั่งปุ๊ปจะถึงสถานีปั๊ป มันจะต้องผ่านห้าง ลงลิฟท์ วิ่งไปซื้อตั๋วที่ชั้น 2 วิ่งลงไปที่ชานชาลา ระยะทางประมาณ 300-500 เมตร เป็นไรที่วายป่วงมากก

พอดีตาเหลือบไปเห็นผู้หญิงข้างหน้าท่าทางดูรีบๆ เลยวิ่งไปตามเค้า คลาดกันไปช่วงนึงแถวๆ ในห้าง Penang sentral เราก็เลยต้องไปถามทางคุณตำหนวดที่เป็นอินเดีย โอ้แม่ นางพูดประหนึ่งว่าเราเข้าใจภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี คือพูดเร็วมากกก แล้วเราก็รีบมากก แต่เราฟังไม่รู้เรื่อง เราก็เลยขอให้เขาพูดอีกรอบช้าๆ นางก็หัวเราะใส่เราจ้าาา 5555 แต่นางก็บอกเราใหม่ช้าๆ น่ารักมากกก

แล้วเราก็วิ่งๆ มาจนถึงที่ซื้อตั๋วรถไฟ คือตอนที่ซื้อตั๋วพนักงานขายตั๋วบอก Qick Qick go go go มือก็ชุลมุนอยู่กับการควักตังทอนตัง คิดไม่ออกแล้วว่าตอนนั้นราคาตั๋วเท่าไหร่อะ 555555 และอย่าลืมว่าที่ขายตั๋วอยู่ชั้น 2 แล้วอย่าลืมอีกว่ามาเลคือเมืองแห่งบันได

ซื้อตั๋วเสร็จก็หาทางลงไปชานชาลา มันมีบันได 2 ฝั่งอยู่ติดกับลิฟท์ แต่ที่ลิฟท์คือคนเยอะมาก แล้วแถมทางลง 2 ฝั่ง ด้วยความที่เรารีบ เราก็มองไม่เห็นว่ามันมีกี่ฝั่ง แต่มันมีฝั่งนึงที่เจ้าหน้าที่เขาปิดประตูชานชาลาลงกลอนแล้วเรียบร้อย เราก็ใจเสียและว่าจะทันไหม เราก็แบบ please~ ตาละห้อยอยู่ตรงนั้น

แต่เจ้าหน้าที่เขาชี้ไปทางบันไดอีกฝั่งที่ยังไม่ปิดประตู น้ำตาจะไหลยังทันๆ แล้วนึกสภาพกระเป๋าลากที่หนักมากกว่าขามา จะต้องยกมันวิ่งลงบันได้ประมาณสองชั้นครึ่ง อื้อหือแมรรรรร่ พอลงไปถึงเจอคุณตำหนวดอยู่คนนึง เราก็ถามนางไม่คิดเลยจ้ะ "Excuse me, I want to go to padang besar what the platform!!!!" แล้วเหมือนนางเป็นอินเดียนางไม่พูดกับดิชั้นค่ะนางชี้ไปทางขวามือ อื้อหือออ ต้องวิ่งอีกประมาณ 100 เมตรถึงจะถึงตัวรถไฟตู้แรกสุดอะ น้ำตาจะไหล

พอขึ้นมาบนรถไฟมัน 12.25 พอดีเล๊ยยยยยย แล้วเราก็หยิบตั๋วขึ้นมาดู อื้อหืออออออ ซื้อตอน 12.24 ทันแบบเฉียดฉิวววว คือมันเหนื่อยนะ แต่ก็สนุกดี ประสบการณ์ใหม่ของเราเลย #วิ่งตามรถไฟมาเล 555555

พอเราเจอรถไฟ เราก็ต้องขึ้นมาตู้ที่อยู่ใกล้เราที่สุดถูกมะ พอเงยหน้าขึ้นมาเสร็จ อื้อหือ เต็มทุกที่เลยจ้าาาาาา ยืนไปเลยจ้าาา 2 ชั่วโมงถึงชายแดน 555555555

กำหนดเวลาที่เราจะถึงที่ Padang Besar ประมาณ 14.16 GMT+8 พอใกล้ๆ จะถึง ช่วงประมาณบ่ายสอง เราก็มีที่นั่งแล้ววว เย้ วิวข้างทางสวยมากกกกกก ขนาดกระจกรถไฟแตกระแหงขนาดนี้ยังสวยเลย

พอมาถึงชายแดนตอน 14.18 GMT+8 เราก็เจอลิฟท์!!! โอ้นางมีลิฟท์ด้วย เราก็เลยขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 2 เข้าห้องน้ำกันก่อน พอเราลงมาเราก็ไม่เจอใครแล้ว แล้วเราก็เข้าใจว่าตม. จะปั๊ม Passport เลย (อารมณ์เหมือนมาทางเครื่องบินน่ะ) แต่ แต่ แต่ ในห้อง ตม. ไม่เห็นมีใครสักคน เงียบกริบเลย ทั้งตม.มาเลและตม. ไทย เราก็เลยเดินไปถามคุณตำหนวด (คนที่เราไปขอถ่ายรูปด้วยอะแหละ งานดี๊ดี คมเข้ม >////<) ว่า เราจะไปหาดใหญ่ แต่เรายังไม่ได้ปั๊ม Passport ออกจากมาเล แล้วก็ยังไม่ได้ปั๊มเข้าไทยจะทำยังไง ที่ไหนดี นางก็ตอบมาว่าให้ไปซื้อตั๋วรถไฟไทยแล้วรอตอนบ่าย 3 ถึงจะได้ปั๊ม นึกในใจ บ่าย 3 ไทยรึบ่าย 3 มาเลฟะ

ในเมื่อเรายังไม่รู้ว่าเขาจะปั๊ม Passport อะไรยังไง กันกี่โมง เราก็เลยเดินออกไปถ่ายรูปเล่น ไปเจอคุณ ETS พอดีเลยยย นางมีช่องจอดเฉพาะของนางด้วย คุณ ETS เป็นรถไฟเร็วที่จะวิ่งตรงตั้งแต่ชายแดนไปกัวลาลัมเปอร์ เป็นอีกรูทที่เราอยากไปมากๆ เหมือนกัน >///<

แล้วพอผ่านบ่าย 3 โมง GMT+8 ไปแล้ว เราก็คิดว่าตม. เขาน่าจะนับตามเวลาฝั่งไทย ก็เลยไปหาอะไรกินที่ชั้น 2 ของสถานีนี้ พอเราไปถึงลิฟท์ ปรากฏกดไม่ได้จ้าาาาาา เขาปิดลิฟท์จ้าาาาา เขาจะเปิดให้ใช้ลิฟท์แค่ตอนมีคนลงมาจากรถไฟตามรอบเท่านั้นเลยยย เราก็เลยต้องลากสังขารตัวเองปีนบันไดไปจ้าาาาา มาเลเป็นประเทศตลก 55555 (ภายใต้เลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่)

พอเราปีนบันไดขึ้นมาถึงชั้น 2 ก็จะมีร้านค้า แบบมีขนม มีน้ำ มีข้าว มีกาแฟ ด้วยความที่เราชอบข้าวห่อแบบอินเดีย เราก็จัดมาเลย 4 ห่อ ห่อละ 1.5 RM ราคาจะแพงกว่าที่ปีนังนิดนึง แล้วเราก็ไปเหมาเป๊ปซี่วนิลาที่นี่อีก 5 ขวด ขวดละ 3 RM (หล่อนจะซื้อไปถมบ้านหรอจ้ะ 5555)

ระหว่างกินข้าวไปก็เริ่มมีคนมานั่งรอแถวๆ ห้องตม.แล้ว ใกล้ๆ กันจะมีที่ขายตั๋วรถไฟไทย เอาจริงๆ คือเราหาไม่เจอหรอก แต่เราเหลือบไปเห็นคนเขาถือตั๋วรถไฟไทยกันเราก็เลยเจอที่ซื้อตั๋ว

แล้วเราก็เจอป้าคนไทยแล้วววว ด้วยความที่เราจิตตกเพราะ 15.20 GMT+7 แล้ว กลัวไม่ได้ปั๊ม Passport ก็เลยเดินไปถามเขาว่าเขาจะปั๊มอะไรยังไงกันกี่โมง ป้าเขาก็บอกให้เรานั่งรอก่อน เหมือนเขาจะรอให้รถไฟจาก Butterworth รอบ 15.16 มาถึงก่อนเขาจะเริ่มปั๊ม Passport กัน แล้วรถไฟรอบนี้ก็ดันเลทไง ทุกอย่างก็เลยเลทไปหมด โอ้วววว ถ้าเรารู้ว่าเขาจะรอรถไฟเที่ยวนี้มาก่อนแล้วค่อยเริ่มปั๊ม Passport แล้วเราจะวิ่งตามรถไฟมาเลรอบที่แล้วมาทำไม๊ TT^TT

สรุปแล้วเราได้ปั๊ม Passport ตอน 15.48 ในขณะที่ตารางรถไฟไทยบอกเราว่าจะออกไปหาดใหญ่ตอน 15.40 แล้วยังเหลือคนอีกบานเลยที่ยังผ่านตม. กันไม่เสร็จ ทุกอย่างก็เลยเลทออกไปอีก TT^TT คือถ้าเขาทยอยเคลียคนตั้งแต่ทีแรกก็จะไม่เลทขนาดนี้หรอก

แล้วยังจำไอ้ใบเขียวๆ ของเราตั้งแต่ตอนแรกได้ไหม พอผ่านตม. อีกรอบ เขาจะเด็ดใบเราไปครึ่งนึง แล้วเหลือติด Passport ไว้อีกครึ่งนึง เป็นที่ระลึกมั้ง 5555

ระหว่างทางจากชายแดนไปหาดใหญ่เป็นอะไรที่เสียวไส้มากกกก เพราะมันตรงกับเวลาเลิกเรียนพอดี แล้วไม้กั้นรถไฟก็ไม่ค่อยมี รถไฟก็เลยเบรกเกือบจะตลอดเวลาที่ผ่านทางแยก น่ากลัวกว่าตอนขามาอีก แต่วิวข้างทางก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้เราจิตตกมากนัก

แล้วในที่สุดเราก็มีชีวิตรอดถึงหาดใหญ่แล้ววววว น้ำตาจะไหลลล แถมรถไฟก็ทำเวลาไว้ดีกว่าที่คาดไว้มาก

เราก็เลยมาแวะนั่งกินข้าว กินกาแฟ เล่นแมวกันที่ร้านเดิมตอนขาไป แล้วแม่ค้าเขาก็บอกเราว่าเดี๋ยวตอน 17.30 รถไฟจะมาเทียบชานชาลา ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ด้วย เราก็เลยเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บก่อน กว่ารถไฟจะออกก็ 18.45 เวลายังเหลืออีกเยอะเลย สงสัยเผื่อไว้รอรถไฟจากชายแดนที่มาเลท 5555555

เราก็เลยเดินไปถ่ายรูปเล่นรอบๆ สถานีไปเรื่อยๆ ระหว่างเดินถ่ายรูปเล่นอยู่ก็เจอคุณทหารถือปืนเต็มเลย ลืมสนิทเลยว่าหาดใหญ่อยู่ใกล้ 3 จังหวัดชายแดน

ข้างๆ สถานีก็มีคุณปู่จอดอยู่ด้วยยย สวยมากกกก

เราก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ จังหวะดีที่แสงสุดท้ายสวยม๊ากกกกกกกกกกกกกกกก เหมือนเป็นแสงแห่งการจากลาเราที่หาดใหญ่ด้วยความสวยงาม บ๊ายบายหาดใหญ่ ไม่รู้อีกกี่ปีเราจะได้มาที่นี่อีก ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ขอบคุณการเดินทางที่สนุกและประทับใจมากๆ ขนาดนี้

จบไปแล้วกับซีรี่ย์ปีนังของเรา ขอบคุณผู้อ่านทุกๆ คนที่เข้ามาอ่านบันทึกของเรา เราหวังว่าบันทึกของเราจะช่วยให้การไปเที่ยวปีนังของทุกๆ คนราบรื่นมากขึ้นและไม่ผิดพลาดเหมือนเรา 555555 และสามารถติดตามการเดินทางอื่นๆ ของเราได้ที่ เพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน

ขอบคุณที่ติดตามค่าาาา ❤
Try to Try ก็แค่ออกไปลอง

------------------------------------------------------------------

-=แถมท้าย=-

สรุปค่าใช้จ่าย (ค่าเงิน 1RM=7.35฿)
ค่าตั๋วรถไฟไปกลับ กรุงเทพหาดใหญ่ 2,170฿
ค่าที่พักในปีนัง 2 คืน 417฿
ค่าภาษีนักท่องเที่ยว 10 RM =73.5฿
ประกันการเดินทาง 181฿
ค่าน้ำยากันรองเท้าเปียก 246.5฿
power bank 324฿
ค่ารถจากชลไปกลับกทม 183฿
ค่ารถไฟฟ้า 108฿
ค่ารถไฟไปกลับชายแดน 100฿
ค่ารถไฟไปกลับในมาเล 11.4 RM*2= 167.58฿
ค่าเรือ Ferry 1.2RM= 8.82฿
รวม 3,979.4฿

ค่าอาหาร
ข้าวที่หัวลำโพง 70
ข้าวกล่องบนรถไฟ 60
ก๋วยเตี๋ยวราชรี 20
ไก่ทอดหาดใหญ่ 35
กาแฟ 20
รวม 205฿

ข้าวที่ Penang Sentral 8RM
น้ำเปล่า 2.6RM
โค้ก 3.2 RM
ข้าวเย็น 9RM
น้ำเปล่า 1RM
ร้าน Harry 11RM
ข้าวอินเดีย 1.2*2 RM
น้ำชา 1.6RM
น้ำแข็งแก้ว 1.2RM
โค้ก 3.2 RM
Espresso 2 แก้ว 16RM
ส่งไปรษณีย์ 6 RM
LOK LOK 4.3 RM
Butter beer 12 RM
ชา teho 1.2 RM
Pepsi Max 2.8RM
ข้าวอินเดีย 3 RM
น้ำเปล่า 1.5 RM
โค้ก 5 ขวด 15 RM
รวม 99RM= 727.65฿

กาแฟ 20
ไก่ทอดหาดใหญ่ 35
น้ำเปล่า 20
ข้าวต้มกุ้ง 20
รวม 95฿

รวมค่ากิน 1,027.65

#งบที่ใช้ไปทั้งหมดในทริปนี้
5,007.05฿ *0* เกินงบมา 7.05 บาท 5555

Try to try ก็แค่ออกไปลอง

 วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 16.53 น.

ความคิดเห็น