พาเที่ยวนครวัด เมืองมรดกโลกกันต่อค่า ซึ่งตอนนี้เราได้เสนอเป็นตอนจบแล้ว เป็นการเที่ยวในวันที่ 2-3
ทริปเสียมราฐในครั้งนี้คือ 3 วัน 3 คืนค่ะ ซึ่งยังมีปราสาทขอมที่ดังๆ ที่อื่นให้ชมกันอีกมาก
รวมทั้งวัดน้อยใหญ่ตามรายทางอีกด้วย เพราะงั้นถึงได้มาตั้ง 3 คืนนั่นเอง
สิ่งสำคัญที่ต้องติดตัวตลอดห้ามหาย ก็คือบัตร Ticket Pass ค่่ะ จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจประจำจุดต่างๆ ก่อนเข้าชมแต่ละสถานที
ต้องเก็บติดตัวไว้ถึง 3 วัน เราซื้อในราคา 62$ ราวๆ 1800+ บาท ถือว่าแพงเหมือนกันนะคะ

แต่ขอเม้าท์หน่อยเหอะ Ticket ที่ไปซื้่อมาเนี่ย เค้ามีระบบการทำบัตรที่ง่ายมาก ที่เรามองว่าจะเอาแต่เงินเราเท่านั้นแหละ 555
ข้อมูลในบัตรไม่สน ไม่ต้อง สนแค่ว่าโผล่หน้าไปยื่นให้เขาถ่ายรูปลงในบัตรก็จบแล้ว จริงๆนะ ง่ายมาก
คนตรวจก็จะดูหน้าเราเหมือนกับในภาพถ่ายก็ให้เข้าไปแล้วค่า

มาต่อทีรีวิวนี้ ขอพูดถึงโรงแรมที่จองไปพักกันหน่อย
✅ ที่พัก จองโรงแรม Parent Heritage Angkor Villa ไว้ 3+1 คืน พร้อมอาหารเช้า แต่ก็ไมได้กินทุกวัน
เพราะออกเดินทางแต่เช้ามืดบ้าง อยู่ไม่ครบวันบ้าง ค่าโรงแรมวันละ 750++


ห้องพักสะอาด แอร์เย็น แต่เวลาอาบน้ำทีท่อตันน้ำจะท่วมเข้าห้องทุกทีสิน่า 555
ราคานี้เป็นราคากลางๆ นะคะ มีถูกกว่านี้อีก แต่ว่าที่พักเราทำเลก็ถือว่าดีเหมือนกัน ห่างจากสนามบิน 6 กิโลเมตร มีรถตุ๊กๆ รับฟรีเข้าที่พักด้วย แต่ตอนขากลับต้องจ่ายเอง อีก 6$ เพิ่งรู้ตอนเช็คเอาท์แหละ 555
บริเวณรอบๆ ที่พักจะใกล้กับ Street Food ต่างๆ สามารถเดินมาอีก 200-300 เมตรนั่งทานข้าวได้เลย

มาถึงเขมรต้องขอพูดถึงอาหารเขมรด้วยเช่นกันค่ะ !!


✅ ค่าอาหารไม่แพง แต่ไม่คอยอร่อย ไม่แซ่บ ส่วนมากอาหารจานเดียว ราคา 2-3$
แต่มีบางร้านแถวปราสาทบายนขายยำมาม่าโก่งราคาถึง 7$ เราก็หลงไปกินมาแล้ว 555
ราคาเครื่องดื่ม รับได้ โค้กกระป๋อง 1$ เบียร์ก็ 1$ น้ำผลไม้ปั่นอร่อยๆ ก็ 1$ ด้วยเช่นกัน
จริงๆ เราถ่ายภาพอาหารที่ทานมาเยอะนะ แต่ลงให้แค่นี้พอค่ะ เช่นสั่งต้มยำ หรือแกงเขียวหวานไก่มานึกว่าจะอร่อย ที่ไหนได้บ้านเขา แกงเขียวหวานไก่มีใส่ถั่วฝักยาว ใส่แครอทและใส่หอมหัวใหญ่ไปด้วยจ้าา อะเมซิ่งมาก ควานหาไก่แทบไม่เจอ อิอิ
เราถึงกับทำหน้างงตั้งแต่วันแรกที่เทีย่วนครวัด เพราะนั่งกินตรงหน้าร้านแถวนครวัดเลยเจอเมนูเป็นภาษาเขมรถึงกับกุมขมับ
แต่ไม่เป็นปัญหาค่ะ Google ช่วยได้ เสิจหาภาพอาหารง่ายๆ ไข่เจียวนี่แหละ เขาก็ทำออกมาให้กินได้อยู่ 555


วันที่ 2 ของการเที่ยวเมืองมรดกโลกเริ่มขึ้นแล้วค่า


เช้านี้ไม่ต้องตื่นตี 4 เพื่อไปชมกระอาทิตย์ขึ้นอีกแล้ว แต่นัดรถตุ๊กๆ มารอรับที่โรงแรมตอน 7 โมงเช้า
ได้มีเวลาทานอาหารเช้าโรงแรมบ้าง อาหารแบบเรียบง่ายอินเตอร์ทั่วไป เสร็จแล้วก็จัดการพันตัว พันหัว พันหน้า
เพราะต้องนั่งตุ๊กๆ ไปกว่าจะถึงฝุ่นก็เยอะเหมือนกันนะ

ประตุทางฝั่งทิศใต้ ประตูทางเข้านครธม ด้านนี้สวยงามที่สุด!
ที่ทุกคนต้องถูกพาผ่านมายังประตูแห่งนี้ที่จะมีสองฝั่ง ด้านเทวดา และอสูร โดยมีคูน้ำขนาดใหญ่ลอดผ่าน
ตุ๊กๆ จอดให้เราลงหน้าปากทางเข้าประตุ และเขาจะขับไปรอด้านให้ เพื่อให้เราชมความยิ่งใหญ่และความงามของประตูทางทิศนี้
จะเห็นชัดๆ ว่ามีการปั้นหน้าเทวดายิ้ม และหน้าอสูรโหดร้าย ฝีมือดีจริงๆค่า


คูน้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมนครธมไว้อย่างใหญ่ ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตยามเช้าจะมีไอหมอกบางๆ จางๆ ขึนเหนือผิวน้ำมาด้วย
ดูๆ คิดว่ามองเป็นแม่น้ำซะอีก เอาจริงๆ ก็คือมีการขุดคูน้ำขึ้นมาเพื่อปกป้องข้าศึก จากการบุกโจมตี และูน้ำนี่ก็ได้ทำหน้าที่กดตัวปราสาทไว้
ไม่ให้ล่มสลายตามกาลเวลาให้หลงเหลือคงสภาพไว้ได้มากสุด แนวคิดนี้อยุธยาบ้านเราก็เอามาใช้เหมือนกันนะคะ และเข้าไปข้างในยิ่งอลังการกว่านครวัดมาก พื้นที่กว้างใหญ่กว่าอีก ของนครธม
ที่ใช้เวลาเดินเล่นที่นี่เกือบทั้งวัน !


นครธมแห่งนี้ที่เราได้มายืนอยู่ตรงนี้ เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเป็นเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขแมร์อีกด้วยนะคะ
จากที่เราไปเยือนชมด้วยตัวเอง จะเห็นได้วามีความยิ่งใหญ่มาก รวมทั้งซากปรักหักพังทลายลงมาได้เป็นอย่างศิลปะที่สุด
มาที่นครธมเราตรงมาที่ปราสาทบายน ที่นี่จะมีพระพักต์สี่หน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อยู่เกือบทั่วทุกแห่ง
และมีรูปปั้นนางอัปสรที่ยิ้มไม่เหมือนใครมีคนเล่าว่า เป็นนางอัปสรที่สวยที่สุดอีกด้วยนะคะ
แต่เราก็เดินหาไม่เจอ 555



และการมาที่ปราสาทบนยนแห่งนี้ จะมีสัญลักษณ์สำคัญที่โดดเด่นสำหรับนครธม คือ พระพักต์สี่หน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
หรือตามแหล่งข้อมูลอื่นเชื่อว่าเป็น พระพักต์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งปรากฎพบตามปราสาทบายน
มาแล้วต้องทำหน้าชนจมูกกันด้วยกับหน้าพระพักต์ที่บายน เป็นมุมกล้องในการถ่ายภาพค่ะ
แต่เราโชคร้ายไปหน่อย ช่วงที่เราไปนั้นบันไดที่จะให้ขึ้นไปถ่ายมุมชนจมูก ในระดับเดียวกันปิดจ้าาาาา อดขึ้นไปเลย
 เดินออกมาจากปราสาทบายนเสร็จ ก็จะมีปราสาทเล็กๆ รายล้อมไว้อีก ตอนแรกว่าจะไม่ไป
แต่เข้ไาปดูเสียหน่อย มีความงดงามซ่อนอยู่ด้วยนะ


ปราสาทบาปวน #PrasatBaphuon แห่งนครธม อ่านว่าปา-ปวนนะคะ ไม่ใช่บาป-วน 555​​​​​​​
เดินออกจากปราสาทบายนมาได้สักหน่อย ก็จะเห็นปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้กัน

ปราสาทบาปวนมีลักษณะเป็นรูปทรงพีระมิด มีฐานเป็นชั้น ๆ ส่วนบนสุด ประธานมียอดเรียวแหลม คล้ายกับปราสาทพนมรุ้งของบ้านเรา
มีระเบียงคตถึงสามชั้นที่เชื่อมต่อกันได้ตลอด โคปุระขนาดใหญ่สุด อยู่ทางด้านทิศตะวันออก
เครื่องบนของโคปุระ ทำด้วยเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ซึ่งผุผังไปตามกาลเวลา


ทางเข้าออกเขาจัดกระเบียบไว้ด้วยนะ คือเข้าทางนี้ และออกทางด้านหลังเพราะต้องไต่ปีนบันไดขึ้นไปสูงพอสมควร เราว่า คนสูงวัยหรือมีอาหารปวดเขาไม่เหมาะกับการมาเที่ยวที่แห่งนี้แหละ

และเดินเล่นไปยังปราสาทอื่นๆ อีกสองสามแห่งเวลานีน้แต่เราจำชื่อไม่ได้แล้ว แป่วว
จึงมานั่งกินไอติมและโค้กเย็นๆ รอดีกว่า อิอิ
ระหว่างนั้นก็เก็บภาพข้างทางพักเบรคซากโบราณก่อนชั่วคราว


และมากันต่อที่ ปราสาทพระขรรค์
ที่ต้องเดินทะลุเข้าไปด้านใน ยิ่งเข้าไป ยิ่งลึกลับน่าค้นหา


ปราสาทพระขรรค์ เป็นปราสาทหินในยุคท้าย ๆ ของอาณาจักรเขมรค่ะ ที่นี่จะเป็นพุทธสถานสมัยบายน
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างอุทิศถวายแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชบิดา
ปรากฏเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดเล็กจำหลักด้วยศิลาทรายตั้งอยู่ภายในปราสาทองค์หนึ่ง
ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เก็บอัฐิของพระราชบิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7​​​​​​​

ปล.เจดีย์ทรงระฆังคว่ำอยู่ตรงกลางปราสาทจุดนี้แหละ เห็นมไกด์และนักท่องเที่ยวหยุดยืนถ่ายรูปกันเยอะมากๆ ส่วนสองข้างทางซ้ายขวาห้องสองฝั่งของปราสาทแห่งนี้ จะเป็นหินถล่มลงมาค่อนข้างเยอะ
จะมีไม้กั้นไว้ไม่ให้ผ่านเข้าไป


✅ เดือนพฤศจิกายน ถึง กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดค่ะสำหรับเที่ยวเมืองหินร้อนๆ
แต่เราก็มีวิธีเตรียมตัวให้ดีก่อนไปด้วยนะ
การแต่งตัวเที่ยวปราสาทหินหน้าร้อน ยอมรับเลยว่าหากไปฤดูกาลหน้าร้อนแดดแรง เหงื่อแตกแน่นอน
ทริปนี้เราเลือกไปช่วงก่อนที่จะเข้าฤดูร้อนค่ะ แต่ก็เลือกเสื้อผ้าสำหรับหน้าร้อน ที่กัน UV ด้วยอย่างดี
มาลงตัวที่ แบรนด์ #Columbia ที่เนื้อผ้าจะมีคุณสมบัติใส่แล้วเย็นสบายผิว มีความเบา ทั้งเสื้อและกางเกง
เลือกสีหวานสวยอีกต่างหาก 555 ช่วยได้เยอะมากจริงๆ​​​​​​​


เบรคให้โฆษณานิดนึงแล้วมากันต่อค่า
ภายในปราสาทพระขรรค์ ที่บอกได้เลยว่า มีพื้นที่ภายในกว้างมาก

ภายในจะเป็นทางเดินหินก้อนใหญ่ๆ ตรงไปด้านหลังเรื่อยๆ
ปราสาทหินแต่ภายในตัวปราสาทไม่ร้อนนะคะ กลับเย็นสบาย มีแสงลอดผ่าน
หรือเพราะเรามาช่วงท้ายๆ ของหน้าหนาวก็ได้ อากาศจึงไม่ร้อนไรมาก


ภาพพระพุทธรูปในปราสาทพระขรรค์มักถูกทำลายหรือแก้ไข คงเหลือแต่ภาพจำหลักนูนต่ำของฤๅษี
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพฤๅษีกำลังนั่งบำเพ็ญพรตในท่า "โยคาสนะ" (นั่งชันเข่าและไขว้เท้า) สลักอยู่ตามผนังหรือเสาภายใต้ซุ้มเรือนแก้ว​​​​​​​
จะมีความเด่นชัดมากๆ ดีนะ เราก็ถ่ายคู่กับฉากหลังฤาษีนี้มาด้วยเช่นกัน
จากที่เห็นมายังมีความชัดเจนของเส้นสายลวดลายชัดเจนมาก


ออกมาจากปราสาทพระขรรค์แล้วตุ๊กๆ ก็ถามว่าจะไปไหนกันต่อดี แสงเย็นนี้มีเวลาเหลืออยู่นะ
ใจก็อยากกลับที่พักแล้วเมื่อยเดินเยอะ แต่เขาก็แนะนำไหนๆ ก็มาแล้วให้ไปชมพระอาทิตย์ตกที่ภูเขาพนมบาเค็ง เป็นเทวสถานที่สร้างตามลัทธิไศวนิกาย ตัวปราสาทลอกแบบมาจากปราสาทบากอง ที่เมืองหลวงเก่าของอาณาจักรขอม


แต่การมาที่ภูเขาพนมบาเค็งยามเย็นไม่ใช่ว่าจอดรถแล้วถึงเลยนะคะ ต้องเดินขึ้นเนินเขาอีกประมาณ 800 เมตรค่ะ และมีข้อปฏิบัติคือ จำกัดคนขึ้นชมพระอาทิตย์ตกบนตัวปราสาทแค่ 300 คนเท่านั้น มีทางขึ้นอีกทาง ทางลงอีกทาง
และไม่จำกัดเวลาคนที่อยู่ข้างบนวาจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้

พอเรามาเห็นคนต่อแถวรอขึ้นบาเค็ง แทบลมจับ 55 คือเยอะมากก
คนขึ้นไปบนนั้นก็ไม่ยอมลงมาเสียที จึงเลือกที่จะเดินย้อนมาด้านล่างๆ เป็นจุดชมวิว
มาส่องดูพระอาทิตย์ตกตรงนี้ก็ได้จ้าาา



ซึ่งจุดที่คนมารอตรงจุดพักระหว่งทางก็เยอะเหมือนกันนะคะ ก็ไม่รู้ด้วยเช่นกันว่า พระอาทิตย์ตกที่นี่สวยยังไง
เพราะเรามองว่า วิวด้านล่างก็จะเป็นทุ่งหญ้าหรือต้นไม้ ประมาณนี้เลยค่า

กลับเหอะสำหรับวันที่ 2 ไปหาเดินกินอาหารมื้อเย็นที่ Street food กันต่อไป

และเช้าวันที่ 3 ของเรา ออกจากโรงแรม 7 โมงเช้า ห่อหุ้มหัว หุ้มหน้าเยอะหน่อย
เพราะเราต้องนั่งรถไปไกลชั่วโมงกว้าๆ เพื่อไปยังปราสาทบันทายศรี ที่อยู่นอกเมือง


ปราสาทบันทายศรี >> ปราสาทเล็กๆ น่ารัก ที่สวยที่สุดเขาว่างั้นนะคะ
ที่นี่สร้างด้วยหินสีชมพู มีความงามทางด้านลวดลายเป็นเลิศ มีความคมชัดของลวดลายเหมือนเพิ่งสร้างใหม่ ทั้งที่มีอายุยาวนานมาก อันนี้ก็ทึ่งจริงๆ ค่า


ส่องให้เห็นชัดๆ ของความชัดของลวดลายตามตัวปราสาทบันทายศรี ที่ยังคงงดงามเหมือนเดิมจริงๆ ค่ะ
ตัวปราสาทคือจะเล็กมาก ไม่สามารถเข้าไปภายในได้ จะมีไม้กั้นห้ามเข้า
ถ่ายรูปได้แค่ภายนอกตัวปราสาทเท่านั้น


ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า "ตรีภูวนมเหศวร" หรือ "ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม" ตัวปราสาทมีขนาดเล็กค่ะ สร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหายากเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในเสียมเรียบเท่านั้น จึงได้ชื่อว่าเป็นปราสาทที่งดงามที่สุด

เรามีบินกลับวันนี้ตอน 2 ทุ่ม ยังมีเวลาเหลือๆ อีกในภาคเช้า จึงนั่งรถย้อนไปที่นครวัดเหมือนเดิม
แต่เลือกที่จะไปทางนครวัดเข้าฝั่งตะวันออก จากครั้งแรกที่มาคือเข้าทางฝั่งตะวันตก

ด้านนี้ก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน


และสิ่งสำคัญ สุดท้ายที่เราได้กลับเข้ามาเยือนนครวัดรอบสองเพราะต้องการเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด
เพราะที่นี่เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้ว
​​​​​​​ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ

RinSa YoyoLive

 วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 17.23 น.

ความคิดเห็น