..ทริปนี้เราจะพาข้ามน้ำแต ่ไม่ข้ามทะเลไปกับทีมงานของพี่กัณฑ์ "คนแบกเป้" สู่ดินแดนแห่งที่ราบสูงโบโลเวน หรือ บอละเวน ซึ่งไม่ได้อยู่ไกลถึงโบลีเวียแต่อยู่ใกล้ๆแค่เลยอุบลข้ามแดนไปฝั่งลาวนี่เองที่เมืองปากซอง จำปาสัก ลาวใต้ เราจะพาไปชมความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตก ตาดตาเก็ด ตาดเสือ ตาดขมึด และตาดเยือง (น้ำตกภาษาลาวเรียกว่า "ตาด")

ที่ราบสูงบอละเวน (Boloven Plateau) แห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องกาแฟชั้นดียี่ห้อ Dao Coffee ซึ่งคนลาวเรียกว่า ภูเพียงบอละเวน แปลว่า "ที่อยู่ของลาวละเวน" ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชนกลุ่มน้อยเชื้อสายมอญ-เขมร ที่มีจำนวนมากที่สุดในภูมิภาคนี้ ที่ราบสูงแห่งนี้มีอาณาเขตครอบคลุมแขวงสาละวัน เซกอง จำปาสัก และอัตตะปือ มีความสูงโดยเฉลี่ย 1,200 เมตร จึงเหมาะจะปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญๆ นอกจากชาวเผ่าละเวนแล้ว ยังมีเผ่ากะตุ อาลัก ตะโอ้ย และส่วยอาศัยอยู่ด้วย ชนเผ่าเหล่านี้ศรัทธาและนับถือผี นอกจากนี้เผ่าละเวนยังมีฝีมือด้านการทอผ้า โดยนำลูกปัดมาถักทอเข้าเป็นลวดลาย เครื่องมือที่ใช้คือกี่กระตุก แม้ฝีมือการทอจะไม่ประณีตเท่ากับทางตอนเหนือของลาว แต่ก็มีสไตล์ที่โดดเด่น สะท้อนอิทธิพลของเขมรได้อย่างขัดเจน

พวกเราออกเดินทางข้ามจุดผ่านแดนช่องเม็ก ทางจังหวัดอุบลราชธานี เสียเงินกินเปล่าใต้โต๊ะให้ ทางการลาวคนละ 40 บาทเป็นค่าธรรมเนียมของทางฝั่งลาว (กินกันเอง) ออกเดินทางไปยังแขวงจำปาสัก เมืองปากซองเพื่อไปยังหมู่บ้านหนองหลวงระยะทางประมาณ 110 กม ซึ่งบ้านหนองหลวงจะเป็นจุดเริ่มเดินเข้าสู่ผืนป่าแห่งที่ราบสูงโบโลเวน ตลอดเส้นทางที่รถวิ่งเราไม่รู้เลยว่ากำลังขึ้นเขา ถนนค่อยไต่ระดับไปเรื่อยๆ สภาพวิวทิวทัศน์ระหว่างทางยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่เหมือนเราเดินทางไปตามตจว.ในเมืองไทยเมื่อสัก 20 ปีก่อน ถนนหนทางยังเป็นดินลูกรัง มีราดยางเป็นบางช่วงซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาประเทศและได้ข่าวว่าจะทำถนนไปยังบ้านหนองหลวงเพื่อเตรียมการสร้างเขื่อนไชยะบุรี ซึ่งในอนาคตเราอาจจะไม่เห็นความสวยงามของเหล่าน้ำตกบริเวณนี้อีกก็เป็นได้ สภาพสองข้างทางจากปากเซมายังปากซองที่ตั้งของบ้านหนองหลวงเต็มไปด้วยเรือกสวนไร่นา อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำท่าดูสมบูรณ์ดี

"บ้านหนองหลวง" เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ชายขอบของ ป่าสงวนแห่งชาติดงหัวสาว ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1977 หลังจากทำการปฏิวัติขับไล่จักรวรรดินิยมอเมริกา และประกาศอิสรภาพอย่าง สมบูรณ์ นำโดยพรรคประชาชนปฏิวัติลาว เมื่อ 2 ธันวาคม ค.ศ.1975 เริ่มแรกสังกัดใน "นิคม 08" ที่รวบรวมเอาครอบครัวทหาร ตำรวจ และกองกำลังฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล หรือฝ่ายอเมริกา ใน สงครามปลดปล่อยชาติ เพื่อปรับแนวคิดทางการเมืองเรียกว่า"สัมมนา" ตามวิถีลัทธิมาร์ก-เลนนิน ซึ่งเป็นแนวทางการปกครองประเทศในระบอบสังคมนิยมมาถึงปัจจุบัน
บ้านหนองหลวงเป็นหนึ่งในไม่ กี่หมู่บ้านแห่งที่ราบสูงบอละเวน ที่ปลูกกาแฟได้คุณภาพดี โดยเฉพาะสายพันธุ์ "อาราบิกา ทริปิกา" กาแฟพันธุ์ดีและหายากที่มีเพียงไม่กี่แห่งในโลก เป็น กาแฟพันธุ์ที่เจ้าพ่อกาแฟอย่าง "Starbucks" ใช้เป็นวัตถุดิบจนเป็นที่ติดอกติดใจของคนทั่วโลก [ที่มาข้อมูลจากพี่โรเจอร์ :http://www.oknation.net/blog/theexplorer (คัดย่อจากรายงานการสำรวจแหล่งท่องเที่ยวบ้านหนองหลวง ส.ป.ป.ลาว) ]


รถบรรทุกขนาดเล็กพาเรามายัง หมู่บ้านหนองหลวงประมาณบ่าย 2 โมง เราสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ลดลง ความเย็นเริ่มถามหาเข้ามาแล้ว พวกเราจัดแจงเตรียมสัมภาระเพื่อรีบเดินขึ้นไปพักยังด่านใหญ่สภาพดินฟ้าอากาศมีเมฆครึ้มตลอดทั้งวัน มีฝนตกปรอยๆเป็นช่วงๆ ระยะทางถึงด่านใหญ่ประมาณ 5 กม. เริ่ม start กันประมาณบ่าย 3 โมง ออกเดินจากหมู่บ้านไปสักระยะสภาพ 2 ข้างทางเต็มไปด้วยไร่กาแฟ เราเดินมาเจอป้ายซุ้มประตูทางเข้าสู่ป่าที่เขียนว่า "ยินดีต้อนรับสู่แหล่งท่องเที่ยวมรดกธรรมชาติหินล้านปีคีรีวงกต" ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่อย่างหนึ่ง

พอเดินผ่านไปสักระ ยะมีป้ายบอกทางทางขวามือว่าไปวัดป่าคีรีวงกต เผลอหลงไปคลำทางอยู่สักพัก เพราะเราแตกกลุ่มออกมาเหลือ 2 คนเลยรอกลุ่มหลังเดินตามมาปรากฎว่าเลี้ยวซ้ายไปอีกทางนึง จากเส้นทางนี้เริ่มมี น้องทากุจังชูคอต้อนรับกันสลอน โดนเกาะกันไปหลายตัวเหมือนกัน แต่ไม่ทันได้กินเลือดก็เด็ดทิ้งไปก่อนจะมีก็แต่ตัวเล็กๆที่มันสามารถมุดถุงเท้าเข้าไปดูดเลือดเราได้ จะมีทากแค่ตรงบริเวณนี้จุดเดียว ออกเดินไปตามทางด่านเล็กๆจะเจอจุดผจญภัยเล็กๆพอให้ตื่นเต้น นั่นคือลำห้วยสายแรกที่เราต้องข้ามไป เป็นลำห้วยที่ไหลไปลงยังตาดขมึด ดูจากรีวิวเก่าๆจะมีสะพานไม้เล็กๆให้เดินข้ามไปได้แต่สงสัยจะพังหมดแล้ว กลุ่มพวกเราเลยอาศัยผูกเชือกโยงข้ามลำน้ำแล้วเดินฝ่ากระแสน้ำที่เชียวกรากโดยมีบรรดากองหลอนประจำหมู่บ้าน (ทหารบ้าน)คอยประกบไม่ให้หลุดลอยไปกับกระแสน้ำ

หลังจากผ่านจุดแรกมา เราก็เดินลุยผืนป่าที่โชกชุ่มไปด้วยลำธารเล็กๆหลายสาย ที่เกิดจากพายุเข้าในช่วงนี้ เดินป่าในช่วงหน้าฝนจะได้รับความรู้สึกสดชื่นไปตลอดทาง และทำให้ไม่เหนื่อยอีกด้วย

เราใช้เวลาเดินจากบ้านหนองลวงกันประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงจุดพักแรมคืนแรก บริเวณนี้เรียกว่าด่านใหญ่ ภาพแรกที่เห็นคือความงดงามข องลานกว้างที่เต็มไปด้วยดอกไม้ในสายหมอกสลัวๆ พวกเราเดินชื่มชมทุ่งดอกเปราะภูสีชมภูไปตามทาง ถึงแม้จะไม่เต็มท้องทุ่งอย่างที่เราคาดไว้เพราะว่ามันเริ่มโรยไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีให้เห็นเป็นหย่อมๆ แซมด้วยหญ้าข้าวกล่ำสีม่วงกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นช่วงๆ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาถ่ายรูปกันอีกที เพราะใกล้ค่ำแล้ว พวกเราจัดแจงตั้ง camp หุงหาอาหารกันอย่างรวดเร็ว หลังจากอิ่มหนำสำราญกันเต็มที่ ก็นั่งล้อมวงสังสรรค์เฮฮากันตามประสาคนแบกเป้ จนเวลา 4 ทุ่มฝนเริ่มตกลงมา ผมเริ่มเข้านอน และนอนหลับๆตื่นทั้งคืน เพราะนอนเปล ฟลายชีทที่ขึงไว้เริ่มเอาไม่อยู่ พายุแรงมากเสื้อผ้าเปียกชื้นไปหมด ผมลุกเดินฝ่าสายฝนไปยัง camp กลางตอนตี 3 camp กลางที่ปูไว้สำหรับนอน"ปลาทู"(หมายถึงนอนรวมกันเหมือนอยู่ในเข่งปลาทูพวกเดินป่าเลยเรียกันว่านอนปลาทู) กลายเป็นแอ่งน้ำย่อมๆหลายแอ่ง ทุกคนที่นอนอยู่ในนั้นก็พยายามเขยิบไปหาที่แห้งๆนอน แต่ก็คงไม่มีใครหลับสนิทนัก ผมตัดสินใจไปนั่งหลับนกอยู่ข้าง "ไฟสายฝน" (การก่อกองไฟในขณะที่ฝนตกเราใช้ฟลายชีทคลุมกองไฟไว้แต่ต้องให้สูงพอที่จะไม่ทำให้ไฟลามไปใหม้ได้) และนั่งคุยกับบรรดาลูกหาบจนถึงเช้า

ฝนกระหน่ำทั้งคืน ตั้งแต่ 4 ทุ่มยันตี 5 สภาพแคมป์ของเราก็ยับเยิน ถุงนอนโชกชุ่มไปด้วยน้ำ ทุกคนเหมือนนอนกันอยู่ในแอ่งน้ำย่อมๆ แต่ในความลำบากที่ประสบพบเจอเมื่อคืน ก็นำมาซึ่งความสวยงามของอากาศยามเช้า สายหมอกปกคลุมเต็มทุ่งมองเห็นเงาลางๆของต้นสนสองใบขึ้นล้อมรอบทุ่งหญ้า ดอกเปราะภูสีชมพูตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียวสดขึ้นเป็นหย่อมๆกระจุ๋มกระจิ๋มดูน่ารัก หญ้าข้าวกล่ำ หัวใจสีม่วงแห่งท้องทุ่งชูช่อท้าทายสายหมอก อีกทั้งหม้อข้าวหม้อแกงลิงและข้าวตอกฤาษีที่เรามักจะเจอในป่าที่มีความชื้นสูงขึ้นอยู่เป็นกอกระจายไปทั่วท้องทุ่ง นี่มันสวรรค์ในม่านหมอกชัดๆ !

บางคนคว้ากล้องหามุมต่างๆเพื่อเก็บภาพเหล่านั้น บางส่วนก็ไปหุงหาอาหารสำหรับมื้อเช้า วันนี้เราได้ทราบข่าวร้ายว่า "ตาดตาเก็ด" ซึ่งเป็นตาดนึงที่เราจะไปตั้ง camp กันคืนที่ 2 เส้นทางปิดเนื่องจากดินสไลด์ทับเส้นทางทำให้ไปไม่ได้ เลยเปลี่ยนแผนกันว่า เราจะไปแค่ตาดขมึด-ตาดเสือ แล้วค่อยกลับไปนอนที่ home stay บ้านหนองหลวงแล้วอีกวันเราจะไปตาดเจ็ดชั้นกับจุดชมวิวทวิบรรจบมุมสูงแทน อีกอย่างถุงนอนข้าวของเครื่องใช้บางส่วนก็เปียกฝนกันหมดแล้วด้วย

กินข้าวกันเสร็จก็จัดแจงเก็บแคมป์ ตั้งแถวเก็บรูปหมู่กันก่อนที่จะเดินทาง

หลังจากนั้นเราก็เดินย้อนกลับไปทางเก่า ลักษณะพื้นที่ที่เราเดินกันอยู่และตั้ง camp นี้คือสัณฐานส่วนบนสุดของที่ราบสูงโบโลเวน ตัวตาดจะอยู่ล่างลงไป นั้นคือต่อไปเราจะเดินลงกัน แต่แน่ล่ะเรายิ่งเดินลงลึกไปเท่าไหร่ เวลาเดินขึ้นเราก็ต้องเดินขึ้นเท่านั้น เราเดินทางเก็บภาพกันไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน เก็บภาพท้องทุ่งกันอย่างเต็มที่ (ขอขอบคุณภาพประกอบแผนที่จากพี่หยี น้ำ ฟ้าป่า เขา ด้วยครับ)

ลงจากทุ่งเปราะภูมาทางเก่าสักพักจะมีทางแยกซ้ายเล็กๆ เพื่อตัดลงหุบ บางช่วงก็รกทึบ บางช่วงก็ชัน ต้นไม้ก้อนหินถูกปกคลุมไปด้วยมอส ไลเคน เพราะความชุ่มชื้นทั้งปีของผืนป่าดงหัวสาว

หลังจากไต่ระห่ำกันลงมาสักพัก ก็วางเป้ทิ้งไว้ เพื่อเข้าไปความงามของตัวตาดขมึด ตาดเสือกัน เพราะเดี๋ยวเราต้องกลับทางเก่า เราแวะเข้าไปดูที่หัวของตาดเสือกันก่อน น้ำไหลแรงมาก มองลงไปมีเสียว ตกลงไปคงไม่เหลือ ทีนี้ก็ต้องเดินลงกันไปอีกจนมาเห็นทางไม้เล็กๆ และฐานผจญภัยต่างๆที่สร้างอยุ่บนต้นไม้ ที่ทางบริษัท Tree Top Exploror จัดสร้างไว้เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าที่มาเล่น zip line ข้ามน้ำตก

ในที่สุดเราก็มาถึงยังชุดชมวิวทวิบรรจบระหว่างลำห้วย 2 สายที่เราเดินข้ามมาไหลมาลงยังบริเวณหุบผาที่สูงชันเกินเป็นตาดใหญ่ 2 ตาดมาพบกันนั่นคือ ตาดขมึดที่อยู่ทางซ้าย และตาดเสือที่อยู่ทางขวา คำว่าขมึดแปลว่า "ลิง"ตัวน้ำตกมีความใหญ่โต่ อลังการและงดงามมาก เรานั่งพักกินอาหารกลางวัน ต้มน้ำชงกาแฟกินที่บ้านพักส่วนกลางของบริษัทที่ไว้สำหรับชมวิวของ 2 ตาด ละอองน้ำปลิงฟุ้งเป็นฝอยซ่านกระเซ็นมาโดนผิวกายทั้งๆที่อยู่ห่างจากตัวตาดพอสมควร แต่ด้วยกระแสน้ำที่ไหลแรงตกลงมาจากความสูงหลายร้อยเมตรปะทะกับแก่งหินด้านล่างน้ำจึงฟุงกระจายไปทั่วทิศ เกิดเสียงดังปานฟ้าถล่มอยุ่ตลอดเวลา ตรงจุดชมวิวนี้เราจะมองไม่เห็นตาดเสือ เพราะมีต้นไม่ใหญ่บัง จึงเก็บภาพมาได้แต่ตาดขมึด ต้องรีบถ่ายภาพและเก็บกล้องกันเป็นพัลวัน เพราะละอองน้ำเยอะมาก

หลังจากได้ภาพจากตาดขมึดเรียบร้อยแล้ว ผมเดินไปยังจุดที่มองเห็นตาดเสือและใกล้ชิดตัวตาดมากที่สุด ความยิ่งใหญ่อลังการที่มองเห็นในระยะใกล้ชิดแบบนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า"เรามันก็เป็นแค่มนุษย์ตัวจิ๋วที่ไม่มีวันเอาชนะธรรมชาติไปได้หรอก" แต่การเก็บภาพในระยะใกล้แบบนี้หมดโอกาสที่จะหยิบกล้องใหญ่ออกมา แต่ผมก็วัดใจไปแค่หนึ่งภาพก็ต้องรีบเก็บ แล้วงัดเจ้า gopro คู่ใจออกมาแทน

พวกเราใช้เวลาซึมซับบรรยากาศนั่งผิงไฟกันใน camp ของ tree top อยู่พอสมควรจึงออกเดินทางกลับเข้าหมู่บ้านหนองหลวง

คราวนี้ก็ถึงเวลาต้องไต่ขึ้นกันแล้ว จากที่หนาวๆกันมา เหงื่อเริ่มซึมออกมาทั่วแผ่นหลัง ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้าตาดตาเก็ดเส้นทางไม่ปิดจะสะบักสะบอมมากแค่ไหน เพราะตาดตาเก็ดต้องไต่ลงจากตาดเสือไปอีก 2 -3 ชั่วโมง เราเดินกลับมาขึ้นเป้แล้วเดินย้อนกลับมาตงหัวตาดเสือ เราจะลัดอ้อมไปออกหลังวัดคีรีวงกต ซึ่งบริเวณนั้นจะมีทุ่งดอกไม้อีกจุดนึง แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น มาดูเส้นทางการเดินผ่านจุดที่เสียวที่สุดจุดนึงของทริปนี้เลยครับ นั่นคือเราต้องข้ามสะพานไม้สลิงที่ทางเดินแคบๆไม่เกินสองไม้บรรทัด ซึ่งแน่ล่ะถ้าพลาดพลั้งไปไม่รู้จะไปโผล่ที่จุดไหน แต่ตัวสะพานก็มีระบบ safety พอสมควร

ในที่สุดเราก็ไต่ขึ้นมาจนถึงด่านน้อยหลังวัด ที่มีหญ้าข้าวกล่ำขึ้นอยู่จำนวนมาก เก็บภาพกันพอผ่านๆ เพราะต้องรีบกลับไปบ้านหนองหลวง home stay เพื่อทำกับข้าวกับปลากินกัน เพราะยังไงพรุ่งนี้เช้าเรายังมีเวลาเหลืออีก 1 วันค่อยมาเก็บภาพก็ได้

ระหว่างทางเราแวะทักทาย พี่โรเจอร์ หนุ่มใหญ่ชาวไทยที่มาได้เมียและทำสวนกาแฟอยู่ที่นี่ และพี่โรเจอร์ก็เป็นผู้บุกเบิกสถานที่ท่องเที่ยวร่วมกับพี่กัณฑ์และนักเดินป่ารุ่นแรกๆพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเดินป่ากันจนเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มนักเดินป่าชาวไทยกันมาหลายสิบปีแล้ว

กลับมาถึงบ้านหนองหลวง กินข้าวกันเสร็จ จากความเหน็ดเหนื่อยที่ได้รับทำให้ " คืนนั้นเราหลับกันเป็นลัง" ที่บ้านหนองหลวง home stay

ตัดฉากกลับมาที่ยามเช้าหลังจากผ่านค่ำคืนทีสุดโหด เช้านี้เราจะไปดูจุดชมวิวทวิบรรจบของตาดเสือ ตาดขมึด ในมุมสูง ซึ่งอยู่ด้านหลังวัดคีรีวงกต แต่ตกลงกันอีท่าไหนไม่รู้ เดินแตกกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปจุดชมวิว แต่กลุ่มผมเดินไปที่ตาด 7 ชั้น

การที่พวกกลุ่มผมเดินไปที่ตาด 7 ชั้นก็เป็นการดี เพราะทราบข่าวภายหลังว่าพวกที่ไปจุดชมวิวมุมสุงของตาดเสือ-ตาดขมึดกลับมาด้วยความผิดหวังเพราะสายหมอกบดบังทัศนีย์ภาพทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย พวกเราเลยเล่นน้ำท่ามกลางสายหมอกกันอย่างเพลิดเพลินที่ตาด 7 ชั้นแห่งนี้

หลังจากนั้นก็เดินกลับ แวะไหว้พระที่วัดคีรีวงกตแล้วเดินกลับหมู่บ้าน

ระหว่างทางเจอลกหลานบ้านหนองหลวงที่กำลังเล่นสนุกกันอย่างมีความสุข เลยแจกขนมกันไปคนละห่อสองห่อเท่านี้ เขาก้มีความสุขแล้ว ผมรู้สึกว่าถึงแม้เขาจะยากจนข้นแค้นเพียงไหน แต่เขาก็โชคดีที่เกิดมาท่ามกลางธรรมชาติ และผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ และจะเติมโตขึ้นมาช่วยกันพัฒนาบ้านหนองหลวงในอนาคต

คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้พักกัน จึงฉลองกันอย่างเต็มที่ และตื่นเช้าขึ้นมาทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ที่เดินมาบิณฑบาตรภายในหมู่บ้าน ชักภาพกันเป็นที่ระลึก และร่ำลาพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเจ้าของบ้านที่เราพัก ก่อนที่จะเดินทางกลับเมืองไทยบ้านของเรา สถานที่แห่งนี้หากใครได้มาสัมผัสจะรู้สึกว่า มันมีทั้งธรรมชาติที่สวยงามผู้คนโอบอ้อมอารีย์ และยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าๆไว้อยู่ หากที่แห่งนี้จะถูกทำลายไปเพราะความเจริญที่กำลังย่างกรายเข้ามา ก็ขอให้มันเป็นไปอย่างช้าๆ

ออกจากบ้านหนองหลวง เราแวะเที่ยวตาดเยืองเสียค่าเข้าคนละ 10,000 กีบหรือ 40 บาทไทย ตัวน้ำตกตาดเยืองอยู่ห่างจากปากเซประมาณ 40 กม.รถสามารถไปจอดที่ตัวน้ำตกและเดินลงไปอีกนิดหน่อยก็ถึงคำว่า"เยือง" แปลว่าเลียงผา รวมกันก็เป็นน้ำตกเลียงผา ออกจากน้ำตกเสร็จเราก็เลยไปกินข้าวกันที่ริมน้ำโขง เชิงสะพานมิตรภาพ ลาว-ญี่ปุ่น ก่อนจะตีรถกลับเข้าด่านในช่วงเย็น

ขอขอบคุณ พี่กัณฑ์ แห่งเว็บคนแบกป้ www.khonbaakpae.comที่ได้พาเรามาในครั้งนี้ และปีนี้แกก็เปิดทริปนี้อีกครั้งหากสนใจรายละเอียดก็ติดตามในเว็บ คนแบกเป้ กันได้น่ะครับ

ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกท่าน สัญญาว่าเราจะกลับมาแก้มือที่ตาดตาเก็ดให้ได้

ขอบคุณมิตรภาพของผู้คนบ้านหนองหลวง

ขอบคุณพี่โรเจอร์พี่ชายใจดีแห่งบ้านหนองหลวง ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

ขอบคุณไอ้คล้าวผจญภัยที่แบ่งปันภาพถ่ายประกอบการรีวิวให้สมบุรณ์ยิ่งขึ้น

ขอบคุณพี่หยี น้ำ ฟ้า ป่า เขา ที่เอื้อเฟื้อจัดทำแผนที่ไว้ให้ศึกษาครับ

และขอขอบคุณท่านผู้ชมทุกท่านที่สละเวลามาชมรีวิวนี้

แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า สำรวจตาดเซคำพอ https://th.readme.me/p/2957

แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด

คลิปวีดีโอ




สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.15 น.

ความคิดเห็น