การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกคือการไปตามหาซากุระ แอบมีความตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ไม่กังวลเพราะฝากชีวิตไว้กับน้องที่นางต้องไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยๆหนึ่งที่อยู่ในเกียวโตด้วย การเที่ยวครั้งนี้จึงไม่มีแผนอะไร รู้แค่ว่ามีคนพาเที่ยวเกียวโต 1 วันแน่นอน 

วันเริ่มเดินมาถึง การเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการของสายการบิน Japan Airline และก็มีเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นเกิดขึ้นเมื่อเครื่องที่ออกจากไทยดีเลย์แต่เราต้องไปต่อเครื่องที่ฮาเนดะไปโอซาก้า คราวนี้ก็ลุ้นกันไปว่าจะทันไหม ลงเครื่องผ่านอะไรทุกอย่างแล้วก็งงว่าจะไปต่อเครื่องที่ไหน ถามเจ้าหน้าที่และบอกว่าเราต้องต่อเครื่องซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 20 นาทีเครื่องก็จะออกแล้ว เจ้าหน้าที่รีบพาวิ่งไปทางลงลิฟท์และบอกว่าไปยังไงบ้าง เอาเข้าจริงพอวิ่งมาตาที่เจ้าหน้าที่บอกได้จุดแรกเท่านั้นแหละที่เหลืองงอีกว่าจะไปยังไง พอดีเข้าลิฟท์แล้วเจอคุณลุงชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งท่าทางใจดีมาก ได้คุยกันท่านก็บอกว่า"ลุงจะต้องต่อเครื่องเหมือนกันตามท่านมาเลย อย่ากลัวตกไฟท์เราซื้อตั๋วเขาแล้วเขาต้องรอเราสิ" เรามองหน้าน้องยิ้มๆ คุยกันทางสายตาประมาณว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึง 15 นาทีนี่นะ แต่ยังไงก็ต้องตามลุงแหละ แต่...แต่บุญที่ได้เจอลุง และกรรมที่ลุงพาลงรถไฟของสนามบินผิดป้าย (ฮ่าๆๆๆ ต้องรอขบวนใหม่) พอมาถึงวิ่งหน้าตื่นไปที่ gate เช็คอิน เจ้าหน้าที่บอกว่าเครื่องที่จะไปโอซาก้าดีเลย์จะต้องรออีกประมาณครึ่งชั่วโมง จ๊ะมันเป็นการเดินทางที่เริ่มสนุกตั้งแต่วันแรกแล้วจ๊ะ

วันถัดมาฝนก็ตกปรอยๆ แต่เราก็ไม่หยุดเที่ยวเรามุ่งหน้าไปอะราชิยะม่า พอไปถึงก็ตกหลุมรักบ้านนี้เมืองนี้เลย มันสงบและดูอบอุ่นมากถึงแม้ว่าวันที่ไปจะซากุระจะไม่ full bloom ก็เถอะแต่มันก็ยังดูสวยในความเรียบง่ายของมันอยู่ดี

  วันแรกเที่ยวได้แค่ที่เดียวเพราะตื่นสายและแผนเที่ยวก็ไม่มี พอวันถัดมาก็เป็นวันที่น้องต้องไปบรรยาย เราก็ตามไปด้วยและเก็บบรรยากาศมหาลัยมานิดหน่อย จริงๆ อยากถ่ายรูปเยอะๆเหมือนกันแต่เด็กที่น่ามองกว่า (ป้าเห็นแล้วน้ำลายหก ฮ่าๆๆ)

 พอบรรยายเสร็จ professor บอกว่าจะพาไปเที่ยวดูซากุระตรงที่มีแต่คน local เท่านั้นที่ไป เราได้ยินก็ตื่นเต้นใหญ่เพราะอยากไปเห็นที่แบบนั้นแหละไม่อยากไปที่ที่คนเยอะๆ ว่าแล้วท่านก็เดินนำไปส่วนคนตามอย่างเราก็ยิ้มกริ่มอยากเห็นซากุระเต็มที พอคนนำพาเดินเลี้ยวเข้าสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างพระราชวังอิมพีเรียลเราก็ถึงกับอ้าปากค้าง "แม่เจ้า!" เสียงอุทานดังขึ้นในใจ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ ซากุระต้นใหญ่กิ่งก้านสาขาห้อยโค้งลงพื้นราวกับอุโมงค์ แล้วต้นทั้งต้นเต็มไปด้วยสีขาวที่มองแทบไม่เห็นกิ่งเล็กกิ่งน้อยเลย แล้วไม่ได้มีแค่ต้นเดียวมีเป็นสิบๆ ต้น แล้ว full ขาวละมุนไปทั่วบริเวณ คนไปเที่ยวก็มีแต่คนท้องถิ่นจริงๆ นั่งคุยกันเป็นกลุ่มแต่ไม่มีเสียงดังมารบกวนคนอื่นเลย อิริยาบทของทุกคนคือผ่อนคลายจริงๆ มันเป็นที่ชมซากุระที่ได้ความเป็นญี่ปุ่นมาแบบเต็มๆ

จากนั้น professor ก็พาไปเลี้ยงขนมที่ท่านบอกว่าเป็นร้านที่ทำส่งเข้าวัง ซึ่งร้านอยู่เยื้องไปทางด้านหน้าวังนั่นแหละไม่ไกลจากสวนสาธารณะมากเดินไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง เอาแล้ว! เป็นบุญปากของเราแล้ว อย่างว่าแหละของที่ส่งเข้าวังราคาก็ต้องแพงเป็นธรรมดา ก้อนเล็กก้อนน้อยก็ปาไปเป็นพัน หน้าตาขนมก็ปราณีตเหลือเกินคือเลือกแทบไม่ถูกว่าจะเอาอันไหน การเสริฟขนมของที่นี่เขาเสริฟพร้องกับชาเขียว มันไม่ใช่ชาเขียวแบบบ้านเรานะ ชาของเขาสีเขียวข้น(แบบข้นคลักเลย) และรสชาติก็ขมปี๋เลยแต่พอกินกับขนมหวานที่รสละมุนนะแต่จะออกหวานจัดสักหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าขมกับหวานมันเข้ากันและอร่อยมาก งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา พวกเราเดินกลับทางเดิม ส่ง professor และถ่ายรูปอีกนิดหน่อยก่อนที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นจะพาไปวัดน้ำไสต่อ 

 พอไปถึงวัดน้ำไสก็เริ่มเข้าใจล่ะว่าทำไม professor ถึงบอกว่าไม่ได้ไปวัดนำ้ไสมาเป็น 10 ปีแล้วทั้งๆ ที่ท่านอาศัยอยู่เกียวโตเอง เหตุเพราะคนเยอะมากทางจะเข้าวัดก็แค่ไหลตามกลุ่มคนไปไม่ต้องกลัวหลง ห่วงอย่างเดียวคือกลัวหลงจากเพื่อน ซากุระที่วัดเพิ่งจะเริ่มบานแต่ไม่เยอะและบานเท่ากับที่สวน 

  วันนี้เป็นวันปิดทริปที่เกียวโตลาเพื่อนชาวญี่ปุ่นและจะเริ่มเที่ยวที่โอซาก้าในวันถัดไป ตอนแรกว่าจะไปเที่ยวภูเขาโยชิโนะ(Mount Yoshino) ที่มีซากุระอยู่เต็มเขากว่า 30,000 ต้น ถ้าบานนี่งามไปทั้งเขาเลยแต่เพื่อนชาวญี่ปุ่นบอกว่ามันยังไม่บาน กว่าจะ full ก็ประมาณอีก 2 อาทิตย์ โปรแกรมนี้เลยต้องพับและไปหาที่เที่ยวเอาในโอซาก้าแทน 

Titi goaround

 วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 12.44 น.

ความคิดเห็น