โยโยเลห์ โฮเต็ล

เช้าวันที่ 2 ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 5:30 เพื่อลุกมาดูวิวยามเช้า สัมผัสแรกที่เปิดประตูหน้าห้องพักออกมาพบกับไอเย็นของอากาศเข้ามากระทบผิวหน้า มองเห็นเจดีย์เล็กๆที่ตั้งอยู่เป็นหย่อมๆบนยอดเขาประดับไฟสีสันต์ตัดกับความมืดสีจางๆ มองเห็นทะเลหมอกที่ค่อยๆเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆเพราะความสว่างของท้องฟ้าที่กำลังคืบคลานเข้ามา ผมเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าตัวโรงแรมด้านทิศตะวันออก มองทิวทัศน์รอบ ๆ ฝั่งตะวันตกของโรงแรมจะเป็นหุบลึกลงไป ฝั่งตะวันออกจะเป็นชุมชนชาวบ้านในละแวกพระธาตุขึ้นเรียงรายไปตามสันเขา

โรงแรมโยโยเลห์นี้ก็ตั้งอยู่บนแนวสันเขาเช่นกัน ตัวตึกของโรงแรมจะมีหลายปีก ในแต่ละปีกจะมีมุมแตกต่างกัน แต่ทุกตึกจะมีชั้นดาดฟ้าไว้สำหรับขึ้นไปชมวิว 360 องศา ภายในห้องพักมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพอสมควร ห้องอาหารจัดไลน์บุฟเฟต์เป็นพวกข้าวต้ม ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว

8:30 พวกเรา check out ออกจากโรงแรม ชมวิวยามเช้าบริเวณพระธาตุ อีกครั้งก่อนกลับทางเข้าตัวพระธาตุจะมีการตรวจวัตถุที่เป็นโลหะ และไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไป ตรงบริเวณพระธาตุจะมีรูปปั้นผีนัดที่เฝ้าพระธาตุ ซึ่งเป็นเทพเจ้าของพม่าให้สักการะบูชา พอเดินมาเรื่อยๆก็จะมีตำหนักเจ้าแม่สุขภาพ ความเชื่อว่าเราเจ็บป่วยที่อวัยวะส่วนไหนของร่างกายให้เราเอาเงินไปวางไว้บนตัวเจ้าแม่ตรงจุดที่เราเจ็บป่วย


พระเจดีย์ไจ๊ปุ่น (Kyaikpun Pagoda) เมืองหงสาวดี

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ลงจากพระะธาตุอินแขวน เราก็กลับย้อนเข้าเมืองหงสาอีกครั้ง เพื่อไปเยี่ยมชมสักการะวัดเจดีย์ไจ๊ปุ่น วัดเจดีย์ไจปุ่น มีอายุมากกว่า 500 ปี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบทั้ง 4 ทิศ ที่มีความงดงามเป็นเอกของศิลปะแบบมอญ ประกอบด้วยสมณะโคดม (ทิศเหนือ) พระโกนาคม (ทิศใต้) พระกกุสันโธ (ทิศตะวันออก) และพระมหากัสสปะ (ทิศตะวันตก) สร้างโดยสตรีสี่พี่น้องที่อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนาสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และสาบานตนว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ แต่หลังจากนั้นไม่นาน 1 ในสี่สาว ได้หนีไปแต่งงาน ทำให้พระพุทธรูปองค์หนึ่งได้เกิดพังทลายทันที ต่อมาได้มีการบูรณะพระพุทธรูปองค์ที่พังทลายใหม่ ทำให้พุทธรูปองค์นี้มีลักษณะสวยงาม ดูใหม่แตกต่างไปจากองค์อื่น

ออกจากวัดไจ๊ปุ่นตอนเที่ยง ทางทัวร์พาเรามาทานอาหารที่ภัตตาคาร Kyaw Swa Restuarant อาหารส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบเดิมๆกันแทบทุกร้าน เน้นกุ้งแม่น้ำเป็นหลัก กินหนำสำราญเสร็จสรรพก็เดินทางไปจุดหมายต่อไป


พระนอนยิ้มหวาน หรือ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว (Shew Thalyang Buddha) เมืองหงสาวดี

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว หรือ พระนอนยิ้มหวาน พระร่วมสมัยกับปราสาทบันทายสรี ของกัมพูชา เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของเมืองหงสาวดีรองจากพระธาตุมุเตา และเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุต สร้างโดยพระเจ้าเมงกะติปะ พศ. 1537 ในสมัยมอญเรืองอำนาจ มีพุทธลักษณะงดงาม โดยจะวางพระบาทเหลื่อมพระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกัน เล่าขานว่าเป็นพระรูปสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ด้านหลังพระองค์มีภาพวาดเล่าขานตำนานว่า มีพระราชาองค์หนึ่งไม่ศรัทธาพุทธศาสนา ทรงลุ่มหลงบูชายักษ์ตนหนึ่งขนาดปั้นรูปไว้กราบไหว้ วันหนึ่งขณะที่พระราชาเสด็จประพาสป่าพร้อมพระโอรส และพระโอรสไปพบสาวบ้านกำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารก็เกิดความหลงรัก ถึงกับพากลับเข้าวัง แต่สาวเจ้าอันเชิญพระพุทธรูปไปบูชาในวังด้วย ทำให้พระราชากริ้วมาก ถึงขั้นสั่งให้ทหารจับพระโอรสและคนรักมัดรวมกันเพื่อจะประหาร แต่ชาวบ้านได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ขอให้นางแคล้วคลาด ปรากฏว่าเชือกขาดโดยพลัน ขณะที่รูปปั้นยักษ์แตกกระจาย พระราชาถึงกับทรงหันกลับมานับถือพุทธศาสนา และขอไถ่บาปด้วยการสร้างพะพุทธไสยาสน์เป็นเครื่องเตือนสติ หลังจากที่พระเจ้าอลองพญาทรงปราบมอญราบคาบ เมืองหงสาวดีก็ถูกทิ้งร้าง พระพุทธไสยาสน์ไม่ได้รับการดูแลจนกลายเป็นกองอิฐจมอยู่ในโคกดิน จนถึงปี พ.ศ.2424 เมื่ออังกฤษสร้างทางรถไฟสายพม่า จึงขุดพบพระนอนองค์นี้ จากนั้นปี พ.ศ.2491 หลังจากพม่าได้รับเอกราช ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างจริงจัง และได้ทาสีและปิดทองลงชาดใหม่ อย่างที่เห็นในปัจจุบันที่นี่ ตรงจุดนี้สามารถเลือกซื้อของฝาก อาทิ ไม้แกะสลัก ไม้จันทร์หอม ผ้าปักพื้นเมือง ผ้าพิมพ์รูปต่างๆ ในบริเวณวัดได้ตามใจชอบครับ ผมเลือกซื้อโสร่งจากแถวนี้ในราคาประมาณ 150 บาทไว้เป็นที่ระลึก และจะเอาไว้ใส่ขึ้นพระมหาเจดีย์ชเวดากองในตอนเย็น



พระนอนตาหวาน หรือ พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี (Kyauk Htatgyi Buddha) เมืองหงสาวดี

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เราออกเดินทางกันต่อ ในเมื่อมานมัสการพระนอนยิ้มหวานแล้ว จะไม่ให้มานมัสการพระนอนตาหวานได้ยังไง ผมว่าพระนอนที่นี่ดวงตาสร้างได้เหมือนดวงตาคนจริงๆ มองเห็นเส้นเลือดอยู่ด้านในดวงตาด้วย พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือ พระนอนตาหวาน ที่วัดเจาทัตยี เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ มีพระโอษฐ์สีแดง พระพักตร์และขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้วที่สั่งผลิตมาจากต่างประเทศ สูง 6 ชั้น ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1966 แทนองค์เดิมที่เคยสร้างขึ้นในปี 1907 โดยมีโครงเหล็กความยาว 65 เมตร กันและหลังคาคลุมถึง 6 ชั้น พระนอนองค์นี้มีขนาดใหญ่กว่าพระนอนชเวตาเลียวที่เมืองหงสาวดี รอบองค์พระอุโบสถมีพระสงฆ์จำนวนกว่า 600 องค์ประดิษฐานอยู่ องค์พระห่มจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริงและเองเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระนอนองค์นี้ ตรงพระบาทมีรูปมงคล 108 ประการ สลักอยู่ ด้านหน้าวัดก็จะมีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย



พระมหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) เมืองย่างกุ้ง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ในที่สุดก็มาถึง highlight สำคัญของวันนี้คือ เราจะเดินทางไปนมัสการ พระมหาเจดีย์ชเวดากองกัน การเดินทางเข้าย่างกุ้งในช่วงเย็นจะเป็นช่วงที่การจราจรติดขัดเป็นอย่างมากโดยเฉพาะตรงบริเวณทางเข้าพระมหาเจดีย์ มีทัวร์มาลงมากมายในเวลาไล่เลี่ยกัน ทางเจ้าหน้าต้องบริหารจัดการรถเข้ารถออกกันเป็นพัลวัน ลักษณะก็เหมือนวัดพระแก้วบ้านเราที่เต็มไปด้วยรถทัวร์ และนักท่องเที่ยวจำนวนมาก พระมหาเจดีย์ชเวดากอง Shwedagon Pagoda เป็นพระเจดีย์ทองคำคู่บ้านคู่เมืองประเทศพม่าอายุกว่าสองพันห้าร้อยกว่าปี เจดีย์ทองแห่งเมืองดากอง หรือ ตะเกิง ชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง มหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในพม่า สถานที่แห่งนี้มี ลานอธิฐาน จุดที่บุเรงนองมาขอพรก่อนออกรบ ท่านสามารถนำดอกไม้ธูปเทียน ไปไหว้ เพื่อขอพรจากองค์เจดีย์ชเวดากอง ณ ลานอธิษฐานเพื่อเสริมสร้างบารมีและสิริมงคล นอกจากนี้รอบองค์เจดีย์ยังมีพระประจำวันเกิดประดิษฐานทั้งแปดทิศรวม 8 องค์ หากใครเกิดวันไหนก็ให้ไปสรงน้ำพระประจำวันเกิดตน จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต พระเจดีย์นี้ได้รับการบูรณะและต่อเติมโดยกษัตริย์หลายรัชกาล องค์พระมหาเจดีย์ เป็นเจดีย์ทองคำที่งดงาม ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองย่างกุ้ง มีความสูง 109 เมตร ประดับเพชร 544 เม็ด ทับทิม นิล และ บุษราคัมอีก 2,317 เม็ด และยังมีเพชรเม็ดใหญ่ประดับอยู่บนยอดเจดีย์ พระมหาเจดีย์ชเวดากองมีทองคำโอบหุ้มอยู่น้ำหนักถึง 1,100 กิโลกรัม โดยช่างชาวพม่า จะใช้ทองคำแท้ตีเป็นแผ่นปิดองค์เจดีย์ไว้รอบ ว่ากันว่า ทองคำที่ใช้ในการก่อสร้างและซ่อมแซมพระมหาเจดีย์แห่งนี้มากมายมหาศาลกว่าทองคำที่เก็บอยู่ในธนาคารชาติอังกฤษเสียอีก รอบๆฐานพระมหาเจดีย์รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กๆ นับร้อยองค์ มีซุ้มประตูสี่ด้าน ยอดฉัตรองค์พระมหาเจดีย์ประกอบด้วยเพชร และ พลอยมากมาย ภายในองค์พระมหาเจดีย์ได้บรรจุเส้นพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น เป็นพระธาตุประจำปีเกิด ปีมะเมีย (ปีม้า) และยังเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า ซึ่งมีทั้งผู้คนชาวพม่า และ ชาวต่างชาติพากันสักการะทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่ขาดสาย ณ ที่แห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นความงามของวิหารทิศที่ทำเป็นศาลาโถงครอบด้วยหลังคาทรงปราสาทซ้อนเป็นชั้นๆ ที่เรียกว่า พญาธาตุ รายรอบองค์พระเจดีย์ งานศิลปะและสถาปัตยกรรมทุกชิ้นที่รวมกันขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของพุทธเจดีย์ล้วนมีตำนานและภูมิหลังความเป็นมาด้วยกันทั้งสิ้น ชมระฆังใบใหญ่ที่ทหารอังกฤษพยายามจะเอาไปแต่เกิดพลัดตกแม่น้ำย่างกุ้งเสียก่อน ทหารพยายามกู้ขึ้นมาเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จภายหลังชาวพม่าช่วยกันกู้ขึ้นมาแขวนไว้ที่เดิมสำเร็จ จึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ ความสามัคคี ซึ่งชาวพม่าถือว่าเป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์ โดยให้ผู้มาเยือนตีระฆัง 3 ครั้ง แล้วอธิษฐาน ขออะไรก็จะได้ดั่งต้องการ จากนั้นให้ท่านชมแสงของอัญมณีที่ประดับบนยอดฉัตรโดยจุดชมแต่ละจุดท่านจะได้เห็นสีของอัญณีแตกต่างกันออกไป ภายในประดิษฐานพระประธาน สำหรับให้ประชาชนมา กราบไหว้บูชา

ที่นี่มักมีคนมาถวายค่าไฟเป็นพุทธบูชากันอยู่เสมอ คือ เจดีย์ชเวดากองมักจะเปิดไฟตลอดทั้งคืน มี่ค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟสูงมาก และทางหน่วยงานที่ดูแลเขาจะจัดให้มีการเปิดไฟในช่วงวันเวลาที่เราระบุไว้อย่างเช่นเราอยากจะให้เปิดไฟในวันเกิดของเราเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาก็บริจาคเงิน ทางหน่วยงงานก็จะดำเนินการให้เราเปิดไฟให้ในวันเกิด (แต่เราจะไม่รู้หรอกว่าเขาเปิดให้ไหม เพราะเราไม่ได้อยู่ที่นั้น ^^) อีกเรื่องนึงที่เราเคยได้ยินกันมาแต่เด็กว่า ทองที่นำไปประดับไว้ยอดเจดีย์ชเวดากองเป็นทองของกรุงศรีอยุธยา แต่จากข้อมูลที่ผมเคยอ่านมาเขาบอกว่า ทองที่ขนเอาไปจากกรุงศรี เขาไม่เอาไปประดับไว้ที่องค์พระธาตุ เพราะมันเป็นทองเชลย มันไม่คู่ควร อีกอย่างทรัพยากรด้านทองคำ เพชรนิลจินดาประเทศเขามีมากมายมหาศาล คนไทยด้วยกันเองนี่แหละที่ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของชาติไปดูได้จากซากปรักหักพังตามโบราณสถานต่างๆที่มักโดนขุดหาสมบัติ ปล้นเอาไปขายกันแทบจะหมด ต่างจากคนพม่าที่เขานับถือศาสนาพุทธให้ความเคารพกันอย่างจริงจัง เห็นได้จากศรัทธาชาวพม่าที่มีต่อสถานที่สำคัญทางศาสนา แสดงออกด้วยการถอดรองเท้าและถุงเท้าเมื่อเข้าสู่บริเวณวัด และมีผู้คนมาสวดมนต์ไหว้พระกันไม่ขาดสาย ขนาดที่องค์พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองนี้จะมีนักเรียนนักศึกษามาทำความสะอาดกันอยู่ทุกวัน การที่จะขอเข้ามาทำความสะอาดยังต้องจองคิวกันเลย

กว่าจะหลุดออกมาจากเจดีย์ชเวดากองมาถึงร้านอาหารเย็นได้ก็ปาเข้าไปเป็นชั่วโมง รถติดมากจริงๆ ร้านอาหารเย็นนี้เป็นภัตตาคารอาหารไทยแท้ๆ เพราะคนไทยมาทำร้านเอวที่นี่ ชื่อร้าน Bangkok Kitchen รสชาติดีทีเดียวค่อยรู้สึกถึงความเป็นไทยหน่อย ต่างจากมื้ออื่นที่เป็นอาหารไทยรสมือพม่า


เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน การเดินทางกับทัวร์แบบนี้ต้องนอนดึกตื่นเช้า เพราะเขาต้องการให้คุ้มกับเงินที่เราเสียไปให้มากที่สุด และต้องทำตามโปรแกรมที่วางไว้ให้ครบ หากเรามาเองคงเก็บไม่ได้หมดแบบนี้ อาจจะ set เวลาเดินทาง หรือชมสถานที่ไม่ได้ตามแผน ค่าใช้จ่ายอื่นๆอาจจะบานปลายได้ ขากลับคืนนั้นเรากลับมาพักยังโรงแรม Grand United Hotel และนอนหลับสนิททั้งคืน...

ย่างกุ้ง - หงสา - สิเรียม - อินแขวน สักการะ 3 ใน 5 สถานที่มหาบูชาของพม่า ตอนที่ 1

ย่างกุ้ง - หงสา - สิเรียม - อินแขวน สักการะ 3 ใน 5 สถานที่มหาบูชาของพม่า ตอนที่ 3 (จบ)


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด



























สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.26 น.

ความคิดเห็น