ถ้าชอบเที่ยวภูเขา ชมธรรมชาติ สายไอหมอก

สายบุญ สายลุย มาที่นี่รับรองไม่ผิดหวัง 

เที่ยวต่อเนื่องได้ไม่ต้องกลัวเหนื่อย

2 route ต่อเนื่อง .. เขาค้อ - เนินมะปราง ..

พิษณุโลก’ เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติและการผจญภัย ได้รับการเรียกขานว่า “เมืองสองแคว” เพราะเป็นเมืองที่มีแม่น้ำ 2 สายไหลผ่าน คือ แม่น้ำน่านและแม่น้ำแควน้อย ขับรถออกมาอีกหน่อยก็จะเข้าเขตของจังหวัด ‘เพชรบูรณ์’ เป็นจังหวัดที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาและสายหมอก และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่ชวนให้นักท่องเที่ยวอย่างเรานั้นไปสัมผัส

2 จังหวัดนี้ เราสามารถเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ละฤดู ก็จะมีความสวยแตกต่างกันไป .. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาเที่ยว 2 จังหวัดนี้ ครั้งแรกเรามาในช่วงหน้าฝน เป็นช่วงเดือนกรกฎาคมในปี 2016 .. สำหรับใครที่ชอบความเขียวชอุ่ม ความชุ่มชื่น บอกเลยเที่ยวหน้าฝนนี่แหละคือสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด .. และครั้งล่าสุดเรามาในช่วงหน้าหนาว ในช่วงของเดือนมกราคม ปี 2020 เป็นการเปิดทริปแรกของปีนี้ด้วยค่ะ มาดูกันค่ะว่าการเดินทางของเรา สำหรับ 2 วัน 2 คืน 2 จังหวัด 2 ช่วงของฤดูกาลจะสวยงามแค่ไหนตามไปดูพร้อมๆกับเรากันได้เลยค่าาาา ~

Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ 2 วัน 2 คืน 

Day 1 : เดินทางถึงจังหวัดพิษณุโลก > อำเภอหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ > อช.เขาค้อ

Day 2 : เพชรบูรณ์ > อำเภอเนินมะปราง จ.พิษณุโลก > อำเภอเมือง จ.พิษณุโลก > เดินทางกลับกรุงเทพ


คืนวันที่ออกเดินทาง : 17 มกราคม 2563

การเดินทางของเราในครั้งนี้ เราเลือกเดินทางช่วงกลางคืนของวันศุกร์ด้วยรถปรับอากาศชั้น 1 ของ บขส. จากต้นทาง กรุงเทพ (หมอชิตใหม่ 2) - ปลายทาง สถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.พิษณุโลก (แห่งที่ 2) .. หลังจากเลิกงานเรายังมีเวลาอีกหลายชั่วโมง เราจึงไปอาบน้ำ หาอะไรทานกันก่อน และออกเดินทางไปที่สถานีขนส่งหมอชิต ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีกำแพงเพชร ทางออกที่ 3 แล้วต่อแท็กซี่เข้าสถานีขนส่งอีกทีค่ะ

รถของเราออกจาก กรุงเทพ (หมอชิต2) เวลา 23.58 น. และถึงสถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.พิษณุโลก (บขส.เก่า) เวลา 04.58 น. ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 5 ชั่วโมง ..


วันแรกของการเดินทาง : 18 มกราคม 2563

จากสถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.พิษณุโลก (บขส.เก่า) เราเหมาแท็กซี่เพื่อไปที่ท่าอากาศยานพิษณุโลก ราคาเหมาอยู่ที่ 100 บาท .. เราต้องมารับรถยนต์ที่ได้ทำการจองล่วงหน้าไว้ เราเลือกใช้บริการของ AVIS Thailand โดยรถที่เราเลือกเป็น Honda City 1.5 Auto พร้อมประกันภัยชั้น 1 ค่ะ .. จอง 2 วันๆละ 1,072 บาท เค้าเตอร์ AVIS จะเปิดให้บริการเช้าสุด 6 โมงค่ะ

ในช่วงเช้าเรามีภารกิจที่สำคัญที่ต้องไปทำก่อน ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักที่ทำให้ทริปนี้เกิดขึ้นได้ นั่นคือ ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาว นั่นเองค่า .. ยินดีกับเพื่อนด้วยจริงๆที่เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ส่วนเราก็เป็นได้แค่แขกรับเชิญต่อไป ฮ่าๆ .. พอเสร็จจากพิธีเช้าเรียบร้อย เราก็ขอตัวมูฟเพื่อไปเที่ยวต่อค่ะ .. เราออกจากงานมาประมาณ 10 โมง มุ่งหน้าเพื่อเอาของไปเก็บที่รีสอร์ตก่อน ทริปนี้ เราได้ที่พักมาฟรีค่ะจากเจ้าสาวที่จองให้คนที่มาร่วมงาน .. ที่พักเราชื่อ ปาริชาตรีสอร์ต ห้องพักไม่ขี้เหล่ ห้องกว้างขวาง นอนหลับสบาย ราคาไม่แพง

เก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เตรียมออกเดินทางต่อได้ เราต้องรีบทำเวลาสักหน่อยเพื่อให้กลับมาทันงานฉลองมงคลสมรสในช่วงค่ำ .. ก่อนออกเดินทางเราได้แวะทานอาหารกลางวันตามร้านข้างทางไม่มีชื่อร้าน สุ่มเลือกมาค่ะ รสชาติคือทานได้ แซ่บ อร่อย ถูกใจสายส้มตำแบบเรา ^^

ทริปนี้ เราเลือกไปที่ เขาค้อ กันค่ะ เพราะคิดว่าขับขึ้นเขาง่ายกว่าภูทับเบิก และยังไม่เคยไปด้วย อาจจะไม่ได้เที่ยวทุกจุดในเขาค้อแต่ก็พยายามจัดแพลนที่พอจะเป็นไปได้ในเวลาที่จำกัดค่ะ โดยที่แรกที่จะต้องไปแล้วก็ขาดไม่ได้เลยก็คือ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาค้อ คนล่าตราประทับ อช. แบบเราพลาดไม่ได้จริงๆค่ะ และในที่สุดก็ได้เพิ่มมาอีก 1 ปั๊มแล้ว เย้!

ห่างจากที่ทำการ อช. เขาค้อ ไปอีกนิดหน่อยก็จะเป็นพระตำหนักเขาค้อ ตั้งอยู่บนเนินเขาย่าซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเขาค้อ เป็นสถานที่ประทับทรงงาน และแปรพระราชฐานของในหลวงรัชกาลที่ 9 .. พระตำหนักเขาค้อเปิดชมได้เฉพาะภายนอกพระตำหนัก ไม่อนุญาตให้เข้าชมภายใน การเข้าชมต้องแต่งกายสุภาพ สวมใส่รองเท้าผ้าใบ

นักท่องเที่ยวที่ชอบความท้าทายสามารถเดินเท้าต่อขึ้นไปยังยอดเขาย่าได้นะคะ ระยะทาง 770 เมตร .. เราไม่ได้ขึ้นไปที่ยอดเขา แต่ไปชมวิวที่จุดชมวิวบริเวณข้างๆพระตำหนักแทน ไม่รู้หมอกที่เห็นนั้นเป็นหมอกฟุ้งๆหรือ PM 2.5 กันแน่ แต่ก็สูดเข้าไปเต็มปอด ฮ่าๆ

ที่เขาค้อยังมีจุดให้เที่ยวชมอีกหลายจุด แต่วันนี้เรามีเวลาจำกัดคงเก็บไม่หมด เราต้องเลือกสถานที่ที่เราจะไป ซึ่งสถานที่ต่อไป เราเห็นมาจากหลายๆคนในเฟซบุ๊คไปกันก็เลยอยากไปบ้าง เราตั้ง Google Map มาที่ทุ่งกังหันลมเขาค้อ ซึ่งอยู่ใกล้ๆไร่สตอเบอร์รี่ GB เราเพิ่งมารู้ที่หลังว่ายังมีจุดชมวิวกังหันลมอยู่อีกหลายที่เลย ไม่ว่าจะเป็น ทุ่งกังหันลม ฟลาวเวอร์แลนด์ ทุ่งเทเลทับบี้เขาค้อ ฯลฯ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมทั้งนั้นเลยค่ะ

ทุ่งกังหันลมเขาค้อแห่งนี้เป็นจุดผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยใช้พลังงานลมจากกังหันลมสีขาวขนาดใหญ่ จำนวน 24 ต้น ในตัวโครงการไม่อนุญาตให้นำรถเข้าไป แต่สามารถนั่งรถรางชมบริเวณโครงการได้ (มีค่าบริการ)

ใกล้ๆกันจะมีไร่สตอเบอรี่ GB ให้นักท่องเที่ยวได้แวะซื้อเป็นของฝาก หรือจะเข้าไปเก็บกินกันสดๆ ค่าเข้าคนละ 10 บาทค่ะ ที่นี่นอกจากจะมีสตอเบอรี่แล้วยังมีแปลงดอกไม้ให้ถ่ายรูปเล่นกันด้วย แต่ช่วงที่เราไปดอกไม้เริ่มออกอาการแห้งเหี่ยวแล้วเหมือนกัน

นอกจากนี้ ไร่สตอเบอรี่ GB ยังมีกิจกรรมอื่นๆให้ทำอีก เช่น การโล้ชิงช้าชาวเขา ฟอร์มูล่าม้ง เป็นต้น

สถานที่ต่อไปจะไม่มาแวะเห็นทีคงจะไม่ได้ เราจะไปกันที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ค่ะ .. จุดเด่นของวัดพระธาตุผาซ่อแก้วนั้นอยู่ที่ พระพุทธรูปสีขาวซ้อนกัน 5 องค์

ใกล้ๆกันจะเป็นเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ รอบๆ วัดตัวประดับประดาด้วยกระจกหลากสีสัน

หากมาในช่วงหน้าฝน บางทีสายหมอกก็จะนำความชุ่มชื้น มาปกคลุมบริเวณวัดก็สวยงามไปอีกแบบ เราลองเอารูปที่เคยไปเมื่อตอนหน้าฝนมาให้ดูด้วยค่ะ ว่าจะสวยงามมากแค่ไหน

ข้างๆวัดจะมีร้านขนมจีนยายน้อยอย่าลืมแวะมาทานนะคะ วิวสวยงามมาก ครั้งก่อนเรามาแวะทานและแวะถ่ายรูปทะเลหมอกตรงจุดนี้สามารถมองวิวได้สวยงามมากๆเลย ไม่มีอะไรมาบดบัง สวยงามมากๆค่ะ

ตอนแรกเรามีแพลนที่จะแวะที่ Pino Latte ด้วย แต่ดูเวลาแล้วตอนนี้ไม่ทันจริงๆ เราต้องกลับรีสอร์ทเพื่อมาอาบน้ำแต่งตัวไปร่วมงานฉลองมงคลสมรส แต่เราขออนุญาตนำภาพที่เคยถ่ายไว้เมื่อครั้งก่อนที่มาให้ชมกันว่าจะสดชื่นมากแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ ~

หากใครมีโอกาสได้มาเที่ยวที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นอกจากเขาค้อแล้ว อีกหนึ่งสถานที่ที่เราไม่ควรพลาดเลยก็คือ ภูทับเบิก รอบนี้ไม่ได้ไป .. เมื่อครั้งก่อนขับรถออกจาก กทม. มาตอน 3 ทุ่ม ขับมาเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก ขับรถขึ้นมาภูทับเบิกตอนตีห้า เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว เป็นจังหวะที่เหมาะกับการมาเที่ยวที่นี่ เพราะ เราจะได้สัมผัสกับทะเลหมอกแบบเต็มๆ สัมผัสกับความเขียวชอุ่ม ความสดชื่นของธรรมชาติที่ยังเป็นธรรมชาติจริงๆ และให้ร่างกายได้ปะทะกับความเย็น เรามีความรู้สึกชอบบรรยากาศของช่วงหน้าฝน แม้ว่าจะเฉอะแฉะไปสักหน่อย แต่ก็มีความสวยงามกว่าหน้าอื่นๆ


วันสุดท้ายของการเดินทาง : 19 มกราคม 2563

วันนี้ เราเริ่มต้นออกเดินทางกันแต่ 8 โมงเช้า เมื่อครั้งก่อน เรามาที่พิษณุโลกเพียงแค่มาแวะทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์เล็กๆน้อยๆ นั่นคือ การล่องแก่งแม่น้ำเข็ก กิจกรรมขึ้นชื่อในช่วงหน้าฝนของจังหวัด ..  เราเลือกใช้บริการล่องแก่งของทรัพย์ไพรวัลย์ นักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่งจะต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัย เสื้อชูชีพ หมวกนิรภัย เพื่อช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และต้องรับฟังคำสั่งของนายหัวและนายท้ายอย่างเคร่งครัด โดยปกติแล้วลำน้ำเข็กเข็กจะมีสีขาวใสในช่วงหน้าแล้ง แต่จะเปลี่ยนเป็นสายน้ำสีน้ำตาลแดงหรือสีชาเย็น ในช่วงหน้าฝนประมาณ ก.ค.-ต.ค. ของทุกปี หรือบางปีอาจเลื่อนไปเป็นช่วง ส.ค.-พ.ย. ขึ้นอยู่กับปริมาณฝนและปริมาณน้ำในปีนั้น ๆ

ใครมาเที่ยวช่วงหน้าน้ำ ลองมาเล่นดูสักครั้งนะคะ ขอบอกเลยว่า มันส์สุดๆไปเลย .. ส่วนวันนี้เราจะเดินทางไปยังอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก นั่นคือ อำเภอเนินมะปราง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 68 กิโลเมตร .. ก่อนเลี้ยวเข้าสู่อำเภอเนินมะปราง ทางซ้ายมื้อเราจะเห็นร้านไก่ย่างวิเชียรบุรี ตั้งอยู่ที่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก เลยจัดมื้อเช้ากันที่นี่ซะเลย เราสั่งไปหลายอย่างแซ่บๆทั้งนั้น ราคาทำตกใจเป็นอย่างมาก 460 บาท เท่านั้น !! ถูกไปไหมเนี่ย o[]o

ทานมื้อเช้าเสร็จก็ออกเดินทางต่อไปยังบ้านรักไทย หากเอ่ยถึงชื่อนี้จะคุ้นกันแต่ชื่อบ้านรักไทย จ.แม่ฮ่องสอน กันใช่ไหมคะ แต่เราไม่ได้พาไปที่แม่ฮ่องสอนนะ เรายังอยู่ที่พิษณุโลก บ้านรักไทยที่พูดถึงนี้ ตั้งอยู่ที่ตำบลชมพู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลกจ้า .. เราจะไปจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่เป็นชิงช้าบนต้นไม้รูปหัวใจกัน ให้ตั้ง Google Map ไปที่ บ้านสวนชมวิว ได้เลยจ้า .. มีค่าเข้าคนละ 10 บาทเท่านั้นเอง

จากจุดชมวิวบนต้นไม้นี้ เราสามารถมองออกไปเห็นทิวเขาและพื้นที่ราบรอยต่อได้อีก 5 จังหวัด คือ นครสวรรค์ ลพบุรี พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก

หากใครมีเวลาเราแนะนำให้เดินทางต่อไปยังบ้างมุง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านรักไทยไปอีก 41 กิโลเมตร ที่นั่นจะมีภูเขาหินปูนอายุมากกว่า 300 ล้านปี มีถ้ำหลายถ้ำให้ชมกันด้วยนะและช่วงเย็นสามารถอยู่รอดูฝูงค้างคาวบินออกจากถ้ำได้ด้วย แต่น่าเสียดายที่เราเวลามีไม่มากพอและยังอยากจะไปเที่ยวอีกที่นึงก่อนกลับกรุงเทพ .. มาถึงพิษณุโลกทั้งทีก็ต้องมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดกันหน่อย นั่นคือ พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่ได้ชื่อว่ามีพุทธลักษณะงดงามมากที่สุดในประเทศไทย ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

จากนั้น เราก็รีบตรงไปยังท่าอากาศยานพิษณุโลก .. ขากลับเราเลือกกลับสายการบินไลอ้อนแอร์ .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 16.05 น. ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 17.05 น. ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ทริปนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ ขออำลาด้วยภาพปีกเครื่องบินตำแหน่งที่นั่ง 32A ค่ะ

ขอบคุณ SONY A6500 + Lens 16-70mm  F/4
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand

และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ

ขอฝากติดตามผลงานรีวิวก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ
https://pantip.com/profile/232499

.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..


สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 3 คน)

ค่าเครื่องบิน 1,497 บาท

ค่ารถปรับอากาศ ชั้น 1 บขส. 1,344 บาท

ค่าเช่ารถ AVIS 2,144 บาท

ค่าน้ำมันรถ 1,175 บาท

ค่าแท็กซี่ไปสนามบินพิษณุโลก 100 บาท

ส้มตำข้างทาง  570 บาท

ค่าจอดรถที่ทุ่งกังหันลม 20 บาท

ค่าเข้าไร่สตอเบอรี่ GB 30 บาท

ค่าสตอเบอรี่  200 บาท

ค่าจอดรถวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว 30 บาท

ค่าข้าวร้านไก่ย่างวิเชียรบุรี 460 บาท

ค่าเข้าบ้านสวนชมวิว 30 บาท

รวมทั้งสิ้น 7,600 บาท (ตกคนละ 2,534 บาท)

In My Eye

 วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 12.31 น.

ความคิดเห็น