หน้าหนาวปีนี้ เราจะชวนทุกคนขึ้นดอยไปรับลมหนาว

สูดอากาศดีๆ กันให้เต็มปอด นอนกอดธรรมชาติให้หายคิดถึง 

ไปยังจังหวัดสุดฮิตของภาคเหนืออย่าง ‘จังหวัดเชียงใหม่’ กัน

เชียงใหม่ เป็นจังหวัดท่องเที่ยวขึ้นชื่อของภาคเหนือ เป็นจังหวัดที่เราได้ยินเพื่อนๆพูดกันอยู่เสมอว่า ‘มาแล้วก็อยากกลับมาอีก’ .. ทริปนี้มีวันหยุดที่ไม่ต้องสูญเสียวันลา อากาศก็กำลังเป็นใจ เราจึงเลือกมาใช้วันหยุดสั้นๆเพื่อเติมความสุขให้ตัวเองกับเส้นทาง ดอยสุเทพ - ดอยอินทนนท์ .. มาเที่ยวไปพร้อมๆกับเราได้เลยนะ

Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปเชียงใหม่ 3 วัน 3 คืน
Day 1 : เดินทางถึงจังหวัดเชียงใหม่ > ดอยสุเทพ > อำเภอเมือง > อำเภอจอมทอง 
Day 2 : อำเภอจอมทอง > ดอยอินทนนท์ > อำเภอแม่ริม
Day 3 : อำเภอแม่ริม > อำเภอเมือง > เดินทางกลับกรุงเทพฯ

Place to Visit
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร (อช.ดอยสุเทพ-ปุย)
วัดพระธาตุดอยคำ
วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร
น้ำตกวชิรธาร
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ อ่างกา
จุดสูงสุดแดนสยาม (อช.ดอยอินทนนท์)
ม่อนแจ่ม
Iberry Garden



คืนวันที่ออกเดินทาง : 7 กุมภาพันธ์ 2563

เวลา 18.00 น. เป็นเวลาที่เราเริ่มเคลื่อนตัวออกจากที่ทำงานมุ่งหน้าสู่สถานีขนส่งหมอชิต วันนี้ขนส่งค่อนข้างหนาแน่นคับคั่งไปด้วยผู้คน เพราะ เป็นช่วงติดวันหยุดยาว 3 วัน

ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เราเลือกเดินทางด้วยรถรถปรับอากาศชั้น 1 ของ บขส. จากต้นทาง กรุงเทพ - ปลายทาง เชียงใหม่ (แห่งที่ 2) .. รถของเราออกจาก กรุงเทพ เวลา 19.25 น. และถึงสถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.เชียงใหม่ (อาเขต) เวลา 06.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง แวะให้พักทานข้าว 1 ครั้งประมาณเที่ยงคืน บนรถจะมีอาหารว่างและน้ำแจกให้รองท้องค่ะ



วันแรกของการเดินทาง : 8 กุมภาพันธ์ 2563

พวกเราเดินทางมาถึงอาเขตประมาณ 6 โมงเช้า เรามาแวะอาบน้ำตรงท่ารถของนครชัยแอร์ก่อน เสียค่าอาบน้ำคนละ 10 บาท ก่อนจะเหมารถแดงไปท่าอากาศยานเชียงใหม่ คนละ 50 บาทค่ะ (ราคาอาจจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับจำนวนคนและฝีปากในการต่อราคานะคะ)

เรามาที่สนามบินเพื่อมารับรถยนต์ที่ได้ทำการจองล่วงหน้าไว้ เราเลือกใช้บริการของ AVIS Thailand อีกเช่นเคย โดยรถที่เราเลือกครั้งนี้เป็น Honda City 1.5 Auto พร้อมประกันภัยชั้น 1 ค่ะ .. จองไว้ 3 วัน ในราคา 3,098.81 บาท (ไม่รวมค่าน้ำมัน) .. วันนี้เป็นวันพระใหญ่ (วันมาฆบูชา) เราจะเริ่มต้นทริปของพวกเราด้วยการเดินสายทำบุญเอาฤกษ์เอาชัยกันเสียหน่อย .. โดยที่แรกที่เรามา นั่นคือ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร .. เดินทางไปตามถนนห้วยแก้วเรื่อยๆ เราแวะจอดรถตรงเชิงดอยสุเทพกันก่อนเพื่อมาสักการะอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย .. ท่านเป็นนักบุญแห่งล้านนาไทย ท่านเป็นผู้ริเริ่มชักชวนชาวเหนือในการร่วมแรงร่วมใจกันสร้างถนนขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพ

จังหวัดเชียงใหม่เป็นอีกจังหวัดที่มีอุทยานแห่งชาติเยอะมาก เราก็ไม่พลาดที่จะนำ Passport อุทยานมาประทับตรา อช. ตรงที่ทำการอุทยานฯ เพียงแค่ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามของอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย หรือจะขับขึ้นต่อไปอีก 100 เมตรก็จะพบจุดที่สามารถประทับตราอุทยานได้เช่นกัน

ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณ 11 กิโลเมตร ขับรถต่อขึ้นไปตามทางคดเคี้ยว ก็จะถึงที่หมายแล้วค่ะ .. วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารนี้เป็นปูชนียสถานคู่เมืองเชียงใหม่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีมะแม (แพะ) ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาที่จังหวัดนี้จะต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุกัน .. ถ้าหากใครไม่ได้ขึ้นไปนมัสการ ถือว่ายังมาไม่ถึงเชียงใหม่ เชื่อกันว่าหากมาสักการะและอธิษฐานขอพรพระธาตุดอยสุเทพ จะมีแต่ความสำเร็จสมหวังดังปรารถนา และควรไหว้พระธาตุให้ครบทั้ง 4 ทิศ

การเดินทางเข้าชมพระธาตุดอยสุเทพ มี 2 ทาง คือ เดินขึ้นทางบันไดนาค  ระหว่างเดินเรานับจำนวนขั้นบันไดไปด้วย นับได้ทั้งหมด 306 ขั้น (นับได้เท่าเรากันไหม?) .. ตัวบันไดเป็นปูนมีรูปปั้นนาคเจ็ดเศียรที่หัวบันได นับเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของที่นี่ ..

ถ้าใครมาช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ จะเจอน้องๆชาวเขามาชวนถ่ายรูป เราสามารถให้ทุนการศึกษาน้องๆตามจิตเมตตาได้เลยค่ะ

หรือใครพาผู้สูงอายุมาด้วย แล้วเดินขึ้นบันไดไม่ไหวก็มี รถรางไฟฟ้าให้บริการนะคะ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06:00 น. – 18:00 น. ราคาขึ้น-ลงต่อเที่ยว คนละ 20 บาท (คนไทย) และ 50 บาท (ชาวต่างชาติ) .. หากใครอยากเที่ยวต่อตรงโซนนี้ สามารถขับรถต่อขึ้นไปยังดอยปุยข้างบนต่อได้ ไปดูหมู่บ้านม้ง หรือ สถานีวิจัยที่สูงขุนช่างเคี่ยนได้ค่ะ ..

ระหว่างทางที่เดินกลับไปลานจอดรถ ท้องก็ร้องประท้วงขึ้นมาซะอย่างงั้น เราเลยแวะทานอาหารเช้ากันก่อน เราสั่งขนมจีนน้ำเงี้ยวทานกัน มีไก่ย่าง ไส้อั่วเป็นออเดิร์ฟ ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 440 บาท ตกคนละ 110 บาทค่ะ

จากวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เราขับรถลงมาเส้นทางเดิมเพื่อไปต่อที่วัดพระธาตุดอยคำ เป็นวัดที่มีความสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อเสียงด้านการขอพรและการบนบานในเรื่องของโชคลาภ .. ก่อนจะถึงอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เราไม่ลืมที่จะจอดแวะข้างทางเพื่อซื้อดอกมะลินำไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ .. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า นั่นก็คือ ‘หลวงพ่อทันใจ’ ที่เชื่อกันว่าสามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริงได้

จากนั้น เราขับรถมุ่งหน้ามาทางอำเภอจอมทองเพื่อมา วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีชวด (หนู) วัดนี้มีความสำคัญที่พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุส่วนพระเศียรเบื้องขวา ซึ่งมีความพิเศษแตกต่างจากที่อื่น คือเป็นพระบรมธาตุที่มิได้ฝังใต้ดินแต่ประดิษฐานอยู่ในกู่ภายในพระวิหาร สามารถอันเชิญมาสรงน้ำได้ ในทุกๆ ปีทางวัดจะจัดงานประเพณีขึ้น 2 ครั้งเท่านั้นค่ะ

จากวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เราจะต้องผ่านด่านเก็บเงินของอุทยานก่อนเพื่อจะขึ้นไปยังที่ ค่าผ่านทางอุทยาน รวม 230 บาท รถยนต์คันละ 30 บาท ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท และไม่ลืมประทับตราอุทยานไปด้วยเลยจ้า

สำหรับที่พักในคืนแรกของเรานี้ เราพักกันที่ดอยชัวร์ญ่าวิวสวย ตั้งอยู่บริเวณดอยอินทนนท์ ที่เบื้องหน้าสามารถมองเห็นวิวน้ำตกสิริภูมิได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว ..

ที่นี่มีบริการทั้งบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ สำหรับเต็นท์และสถานที่กางเต็นท์จะไม่รับจอง ต้องเข้ามาสอบถามวันต่อวันเท่านั้นค่ะ ถ้าเป็นช่วง Hign Season แนะนำให้มาก่อนช่วงเย็นค่ะ ห้องน้ำสำหรับคนที่นอนเต็นท์จะเป็นห้องน้ำรวมแยกชายหญิง มีน้ำอุ่นให้ค่ะ

อัตราค่าบริการของคนที่สนใจมากางเต็นท์ (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง เช็คข้อมูลกับทางที่พักอีกทีนะคะ)
1. ผู้ที่นำเต็นท์และเครื่องนอนมาเอง ค่าบริการสถานที่คนละ 100 บาทต่อคืน เด็กต่ำกว่า 10 ปีไม่คิด
2. เช่าเต็นท์ของที่พัก (ไม่เก็บค่าบริการสถานที่ มีเจ้าหน้าที่กางเต็นท์ให้)
       - เต็นท์ขนาดเล็ก นอนได้ 2 คน ราคา 200 บาทต่อคืน
   - เต็นท์ขนาดกลาง นอนได้ 3 คน ราคา 500 บาทต่อคืน
   - เต็นท์ขนาดใหญ่ นอนได้ 4 คน ราคา 600 บาทต่อคืน
3. ค่าเช่าอุปกรณ์เพิ่มเติม (ปกติจะได้ชุดเครื่องนอนคนละชุดๆละ 100 บาท)
       - ผ้านวมผืนใหญ่ ผืนละ 50 บาท
       - ผ้าห่มผืนเล็ก ผืนละ 30 บาท
       - ที่รองนอน ผืนละ 50 บาท ใหม่/พิเศษ ผืนละ 80 บาท
       - หมอน ใบละ 10 บาทต่อคืน

อย่างของพวกเรา เช่าเต็นท์หลังใหญ่ 600 บาท มาทั้งหมด 4 คน ชุดเครื่องนอน 400 บาท สรุปจ่ายทั้งหมด 1,000 บาท หารกันสี่คนตกคนละ 250 บาท เท่านั้นเองค่ะ .. สามารถชาร์จแบตได้ที่บริเวณส่วนกลางนะคะ

หากสนใจบ้านพักที่ดอยชัวร์ญ่า สามารถโทรสอบถามได้ที่ 0819517446 , 0843711220
Website : http://www.doisureyacamping.com
Facebook : ดอยชัวร์ญ่าวิวสวย
ปล. เนื่องจากโรคระบาด Covid-19 ทางที่พักขอปิดกิจการอย่างไม่มีกำหนดนะคะ

พอเราได้พื้นที่กางเต็นท์ ตั้งเต็นท์เรียบร้อยแล้ว เราก็ออกไปเที่ยวกันต่อ โดยที่ต่อไปที่เราไปกันก็คือ น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย น้ำตกวชิรธารอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์

ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่น้ำเริ่มน้อยแล้วค่ะ แต่ก็ยังสวยสะดุดตาอยู่ ถ้าเป็นช่วงหน้าน้ำจะเป็นน้ำตกที่มีความแรงมาก น้ำกระเซ็นตลอดเวลา บางช่วงไม่สามารถเข้าใกล้น้ำตกได้เลย ระมัดระวังกล้องกันด้วยนะคะหากกล้องไม่ได้กันน้ำ เวลาไปถ่ายก็เดินระวังๆนะ เพราะ พื้นอาจมีตะไคร่น้ำเกาะอาจทำให้ลื่นล้มได้ง่าย

ส่วนมื้อเย็น เราคงพลาดไม่ได้กับเมนูหมูกระทะ วันนี้เราเลือกทานที่ร้านที่ชื่อว่า สบายดี สี่องศา อยู่ใกล้ๆกับที่พักเรานี่เอง ชุดเล็ก (2-3 คน) 360 บาท ชุดใหญ่ (4-5 คน) 500 บาท มื้อนี้เราก็หมดไป 895 บาท อิ่มกันจนแน่นเลยค่ะ สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ เจอกันพรุ่งนี้นะคะ เราจะพาไปเที่ยวไหนกันต่อ รอชมได้เลยค่ะ


วันที่สองของการเดินทาง : 9 กุมภาพันธ์ 2563

ตอนเช้ามืดตี 4 เป็นเวลาที่เราลุกจากที่นอนในเต้นท์ เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังกิ่วแม่ปาน วันนี้เป็นวันหยุดยาว รวมถึงมีกิจกรรมปั่นจักรยานขึ้นดอยอินทนนท์ ทำให้การเดินทางค่อนข้างจะลำบากนิดหน่อย ทางอุทยานฯไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวขึ้นไป เราจึงต้องรอรถที่ทางอุทยานฯจัดรับ-ส่งเท่านั้น

เมื่อขึ้นมาถึงตรงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นกิ่วแม่ปาน อากาศข้างบนนี้หนาวมาก โชคดีที่เตรียมชุดกันหนาวมาพร้อม วันนี้ฟ้าปิดเลยทำให้เรามองไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น และไม่เจอทะเลหมอกนะจ๊ะ

กิ่วแม่ปาน เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้น มีเส้นทางเดินเป็นวงรอบระยะทาง 3.2 กิโลเมตร ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,200 เมตร ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โดยที่ทำการเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานนี้ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาลงทะเบียนได้ตั้งแต่ เวลา 06.00 น. - 16.00 น. และจะมีไกด์นำทาง โดยจะมีค่าไกด์ 200 บาทต่อกลุ่ม จ่ายให้กับไกด์ในตอนท้าย เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน - 31 พฤษภาคม ของทุกปี .. ส่วนเดือนอื่นๆจะปิดเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว

กิ่วแม่ปาน เดินง่ายไม่ยาก อาจจะมีหอบบ้างเล็กน้อย ใช้เวลาในการเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน อุณหภูมิตอนเช้าของวันนี้ที่กิ่วแม่ปาน อุณหภูมิ 12 องศาเชลเซียส พูดทีควันออกปากกันเลยทีเดียว อากาศค่อนข้างแห้ง ควรมีน้ำดื่มพกไปจิบระหว่างเดิน และหยิบไม้ค้ำติดไปด้วยเพื่อให้เดินง่ายขึ้น คนใดมีปัญหาสุขภาพหรือโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคหัวใจ โรคหอบ ไม่แนะนำนะคะ




เดินมาได้สักแป๊บยังไม่ทันได้เหนื่อย เราก็เริ่มได้ยินเสียงคล้ายๆกับเสียงของน้ำตกดังมาแว่วๆ เสียงที่ได้ยินนั้นมาจาก น้ำตกลานเสด็จ นี่เอง .. น้ำตกลานเสด็จ เป็นน้ำตกเล็กๆ กลางป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ พบในช่วงแรกของการเดินทางเข้าสู่เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน น้ำตกแห่งนี้ไม่อนุญาติให้ลงไปเล่นน้ำนะ ได้แค่ชมและถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกกันอย่างเดียว
ตามเส้นทางเดินจะมีแผ่นป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับผืนป่ากิ่วแม่ปานอยู่ทั้งสิ้น 21 จุด และมีที่ให้นั่งพักตลอดเส้นทาง หากใครที่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือเดินไม่ไหว สามารถแวะนั่งพักและจิบน้ำคลายเหนื่อยได้ ไม่ต้องรีบ เอาที่ร่างกายไหว มีแรงแล้วค่อยเดินต่อ

หลังจากที่บุกป่าฝ่าดงกันเสร็จแล้ว เราก็จะออกมาพบกับสันของกิ่วแม่ปาน ตรงจุดนี้จะเจอกับทุ่งหญ้าสีเหลืองทองตัดกับแสงแรกของพระอาทิตย์ยามเช้า (ถ้ามาในช่วงฤดูหนาว) โบกพัดไปมาตามแรงลม



เดินไปตามทางอีกนิดก็จะพบกับจุดไฮไลต์ของกิ่วแม่ปาน นั่นคือ จุดชมวิวทิวทัศน์ ที่เรามักจะเห็นจากภาพต่างๆในโชเชียล ที่ปีนขึ้นไปนั่งถ่าย ราวกับลอยอยู่บนท้องฟ้า .. ตัดภาพกับมาที่ปัจจุบันค่ะ ตอนนี้เค้าห้ามปีนป่ายแบบนั้นแล้วนะคะ ระวังโดนปรับ เค้าติดกล้องวงจรปิดไว้ด้วยนะ หึหึ รักษากฏระเบียบกันด้วยนะเออ เพื่อความปลอดภัยของตัวนักท่องเที่ยวเอง ..


เดินต่อลงไปอีกนิดก็จะเจออีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่มักจะมีนักท่องเที่ยวมาขอพรให้สมหวังกับความรักอย่าง ผาแง่มน้อย ที่เกิดจากความบัญเอิญของธรรมชาติที่หินที่อยู่บนผากิ่วแม่ปานหักแล้วกลิ้งลงมาอยู่กับหินด้านล่างทำให้มีลักษณะคล้ายกับรูปหัวใจ และถ้าโชคดีอาจจะได้เห็นกวางผาที่เป็นสัตว์สงวนหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ตามริมหน้าผาแห่งนี้ด้วย

ถัดมาตามทางอีกหน่อย เราจะได้พบกับพืชที่หายากมากชนิดหนึ่ง นั่นคือ ต้นกุหลาบพันปี จะเติบโตในเขตที่ชุ่มชื้นและมีอากาศที่หนาว ออกดอกปีละ 1 ครั้ง ในช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนมกราคม-กลางเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น ดอกมีสีแดงสด จนได้ชื่อว่า ‘ราชินีแห่งอินทนนท์
ปล. ภาษาเขียนไม่แน่ใจระหว่าง ‘กุหลาบพันปี’ และ ‘กุหลาบพันปลี’ อันไหนที่เขียนถูกกันแน่ ผู้รู้ช่วยให้คำแนะนำที .. ถ้าหากใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สำหรับตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่เราจะสามารถมองเห็น “พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” .. พระมหาธาตุเจดีย์ที่ตั้งคู่กันสององค์นี้ มีความสำคัญมากๆ เพราะเป็นพระมหาธาตุคู่พระบารมี ของรัชกาลที่ 9 และพระราชินี และเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุอยู่บนยอด

เราเริ่มเดินตอนประมาณ 7 โมงเช้า และเดินมาถึงจุดเริ่มต้นประมาณ 9.30 น. ทำเวลาได้ดีเหมือนกันแหะ ..
สถานที่ต่อไป เราต้องเดินมาขึ้นรถเหลืองที่จะพาเราไปถึงจุดสูงสุดแดนสยามกันค่ะ .. ยอดดอยอินทนนท์เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย สูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ 2,565 เมตร มาถึงตรงจุดนี้ก็ต้องไปถ่ายรูปกับป้ายจุดสูงสุดในสยามกันหน่อย ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันสุด ๆ ช่วงเทศกาลนี่ถึงกับต้องต่อคิวกันถ่ายรูปเลยทีเดียว แต่วันนี้ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ถึงการเดินทางขึ้นมาในวันนี้จะลำบากสักหน่อย เพราะ ไม่สามารถนำรถส่วนตัวขึ้นมาได้ นักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็ถอดใจกลับกันไป ทำให้เราถ่ายรูปได้แบบไม่ต้องรอคิวเลย แช๊ะๆ เสร็จแล้วพวกเราก็จะไปกันต่อค่ะ

วันนี้คนที่ขึ้นมาเที่ยวบนยอดดอยน้อยจริงๆ ทำให้เรามาแวะเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาแบบไม่มีคนเลยค่ะ ป่าแวมไพร์นี้เป็นของพวกเรา เย้ๆ .. อ่างกา เดินง่ายสบายมาก ภายในมีสะพานไม้ให้เดินระยะทางเกือบ 300 เมตร เวลาเดินให้อารมณ์แบบป่าฝน อากาศเย็นสบาย เหล่าบรรดามอส ไล่ขึ้นตามขอบและราวจับของสะพาน เป็นจุดถ่ายรูปที่น่าสนใจมากทีเดียว





หลังจากเราดื่มด่ำกับธรรมชาติและอากาศที่หนาวเย็นจนหน่ำใจ เราก็ถึงเวลาโบกมืออำลาดอยอินทนนท์แล้วล่ะ เรานั่งรถเหลืองกลับมาตรงบริเวณที่เราจอดรถเอาไว้ อื้อหื้อ! อุณหภูมิข้างล่างนี้ร้อนมากจ้า เปลี่ยนขาสั้นแบบด่วนๆ .. โอเค! ออกเดินทางกันต่อ ทริปเชียงใหม่ของเรายังไม่จบ รอบนี้ใช้ชีวิตบนรถยาวๆประมาณ 2 ชั่วโมง ขับจาก อช.ดอยอินทนนท์ ไปที่ ม่อนแจ่ม กันจ้า ใช่แล้ว ! คืนนี้เราจะไปฟินๆบนม่อนแจ่มกัน ตามมาต่อได้เลย!
สำหรับที่พักคืนที่สองของเรา เราเข้าที่พักที่ ไร่ภูสวรรค์ กว่าจะมาจบที่นี่ได้ เราหาที่พักอยู่หลายม่อนเลย แต่อย่างว่าม่อนที่ดังๆ กับวันหยุดยาวแบบนี้คงจะจบยาก แต่สุดท้ายโชคชะตาก็ส่งให้เรามาได้ที่พักที่นี่ ‘ไร่ภูสวรรค์’ รีบโอนเงินมัดจำ 50% ไปก่อนเลยค่ะ เราจองเป็น เต็นท์กระโจม VIP มีห้องน้ำส่วนตัวทุกหลัง ราคาหลังละ 2,000 บาท หมูกระทะชุดละ 500 บาท สามารถซื้อเครื่องไปเติมเองได้ สรุปต้องจ่าย 2,500 บาท ตกคนละ 625 บาท

ที่ไร่ภูสวรรค์นี้ตั้งอยู่อีกฝั่งจากม่อนต่างๆ ทำให้ได้วิวภูเขาที่ไม่มีอะไรมาบดบัง เพราะเป็นที่พักที่อยู่สูงพอสมควร ทางขึ้นอาจจะชันและแคบหน่อยๆ ค่อยๆขับขึ้นมานะคะ .. ที่พักมีทั้งหมด 8 หลัง 4 หลังแรกจะเป็นบ้านไม้ไผ่ อีก 4 หลังทีเหลือจะเป็นเต็นท์ .. เราน่าจะเป็นคนพักกลุ่มสุดท้าย เพราะ ที่พักจะปิดให้บริการในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้แล้วค่ะ เพราะปัญหาเรื่องเอกชนเข้ามาบุกรุกพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน คาดว่าจะกลับมาเปิดอีกทีคงจะประมาณเดือนตุลาคม รอฟังข่าวได้จากทางเพจเฟซบุ๊คอีกทีนะคะ

พอถึงช่วงของ Golden Time พวกเราจึงออกมาเดินถ่ายรูปเล่นกันค่ะ ตรงจุดนี้เป็นมุมเช็คอินที่ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ .. ที่พักเราอยู่ใกล้ๆกับบ้านภูหมอกด้วย เลยไปขอยืมโลเคชั่นถ่ายรูป ^^

พอพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไป อากาศเย็นก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ถึงเวลาฟินกับหมูกระทะ หน้าเต็นท์ของเราแล้ว โอ้ย! บรรยากาศมันได้ ฟินสุดๆไปเลย ไม่อยากกลับกรุงเทพแล้ววววว ~


วันสุดท้ายของการเดินทาง : 10 กุมภาพันธ์ 2563

เป็นธรรมดาทุกครั้งที่มาเที่ยว เราไม่เคยนอนตื่นสายเลย .. อย่างวันนี้ เราตื่นมาตอนประมาณตี 5 ครึ่ง เพื่อออกมาตั้ง Timelapse พระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าเต็นท์เรา อากาศตอนเช้าก็ยังหนาวอยู่เลย เห็นมองลางๆฟุ้งๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นทะเลหมอก




ที่นี่มีอาหารเช้า คือ ข้าวต้มและชาหรือกาแฟ ตักได้เต็มที่เลย อาหารเช้าจะเริ่มตอน 7.00 น. - 10.00 น.
ก่อนเราขับรถลงมาจากม่อนแจ่มเพื่อเข้าตัวเมืองเชียงใหม่กัน เราเลยขอแว๊ปไปถ่ายรูปเล่นทิ้งทวนสักเล็กน้อย อากาศตอนเช้าสดชื่นมากๆเลยค่ะ
                           หากใครสนใจที่พักไร่ภูสวรรค์ สามารถโทรสอบถามได้ที่ 0987514347
                                              Line ID : phusawan06414
                                                   Facebook : ไร่ภูสวรรค์
พอมาถึงตัวเมือง เราไปแวะซื้อของฝากกันที่ตลาดวโรรส แต่หาที่จอดยากมากๆ เราเลยใช้วิธีการวนรถเอา .. เราซื้อของฝากด้วยความเร่งรีบแล้วก็รีบกระโดดขึ้นรถเพื่อไม่ให้การจราจรติดขัด ของฝากส่วนใหญ่ที่ซื้อก็คงไม่พ้น น้ำพริกหนุ่ม แคปหมู แน่นอน ลำขนาดเจ้า~
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ไม่ลืมแวะไปสั่งยาแก้ไอแผนโบราณที่ร้าน สล่ามองโอสถ เป็นร้านขายยาแผนโบราณที่ได้รับความนิยมจากชาวเชียงใหม่ และเป็นยาคู่พระวรกายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า .. ยาแก้ไอสูตรนี้ขายดีจนหน้าร้านไม่มีขาย ต้องสั่งจองล่วงหน้าไว้เท่านั้น .. ยาแก้ไอขนานนี้ดีนักแล เราซื้อมาโหลนึง 300 บาท
เนื่องจาก มีเวลาเหลือเราเลยไม่อยากไปนั่งแก่วที่สนามบิน เราเลยแวะไปทิ้งเวลากันที่ร้าน Iberry Garden ร้านไอศกรีม Home Made ชื่อดังย่านนิมมานของพี่โน๊ต อุดม ตั้งอยู่ในซอยนิมมานเหมินท์ 17 และเป็นสาขาเดียวในจังหวัดเชียงใหม่ .. ที่จอดรถหน้าร้านค่อนข้างน้อย ต้องอาศัยหาที่จอดภายในซอยแล้วเดินมาหน่อย .. เราสั่ง ice-cream set 8 ลูก สามารถเลือกรสชาติได้ แต่รสที่ต้องลองเลยที่ทางร้านแนะนำก็จะเป็น Loacker, มะม่วงพริกเกลือ, Feel Good, ฝรั่งแช่บ๊วย ใครชอบรสชาติไหนสามารถคอมเมนต์แนะนำกัน ได้นะคะ .. แล้วเราก็สั่ง Blueberry Cheese Cake , Green Tea Roll มาทานด้วยกันกับเครื่องดื่มอีกคนละแก้ว
และสายมะม่วงอย่างเราก็ไม่พลาดกับเมนู Mango Crepe Cake และ Fresh Mango ไม่รู้ว่าทำไมชอบมะม่วงนักหนา แค่สึกว่าได้ทานแล้วมันสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนจะอำลาก็อย่าลืมถ่ายรูปเป็นที่ระทึก เอ้ย! ที่ระลึกกับ Dom Girl VS Dom Boy และ Dom Dog นะคะ ตอนที่เราไปเป็นสีฟ้าแล้วค่ะ มุมประจำที่ทุกคนต้องไม่พลาด

ด้วยสถานการณ์ Covid-19 ที่กำลังระบาดหนักในประเทศไทยอยู่ขณะนี้ ทางร้านปิดให้บริการชั่วคราว ตามนโยบายมาตราการควบคุมโรคระบาดนะคะ
ถึงเวลาเดินทางสู่ท่าอากาศยานเชียงใหม่สักที .. ขากลับเราเลือกกลับสายการบิน Air Asia .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 13.25 น. ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 14.45 น. ค่ะ .. ขออำลาทริปนี้ด้วยภาพปีกเครื่องบินตำแหน่งที่นั่ง 29F ค่ะ
เชียงใหม่’ เป็นจังหวัดที่เราว่ามันมีเสน่ห์มากๆ กลายเป็นอีกหนึ่ง Destination หลักของเหล่านักเดินทางไปซะแล้ว มีที่เที่ยวหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเที่ยวในเมือง เที่ยวคาเฟ่ เที่ยวดอย เที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติต่างๆ เป็นอย่างที่หลายๆคนบอกไว้จริงๆค่ะ ‘เชียงใหม่’ ครั้งเดียวไม่เคยพอ .. 


ขอบคุณ SONY A6500 + Lens 16-70mm  F/4 และ Iphone 11
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr + Snapseed

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand

และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ

.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..

สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 4 คน)

ค่ารถตุ๊กๆไป บขส. 100 บาท
ค่าตั๋ว บขส.999 เส้นทาง กรุงเทพฯ - บ้านท่าตอน 3,472 บาท
เหมารถแดง 200 บาท
ค่าเช่ารถ Avis + น้ำมัน 3,896 บาท
ค่าอาหารเช้า 440 บาท
ค่าผ่านทางอุทยาน 230 บาท
ที่พักดอยชัวร์ญ่า 1,150 บาท
หมูกะทะร้านสบายดี สี่องศา 895 บาท
ค่าไกด์กิ่วแม่ปาน 200 บาท
แวะซื้อของที่แมคโคร 920.75 บาท
ที่พักไร่ภูสวรรค์ 2,500 บาท
Iberry 325 บาท
ค่าเครื่องบิน 6,856 บาท

รวมทั้งสิ้น 21,185 บาท (ตกคนละ 5,296 บาท)

In My Eye

 วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 20.26 น.

ความคิดเห็น