ตุรัดตุเรงตะเรงกันไปจอร์เจีย เที่ยวจอร์เจีย ตะวันตกเฉียงเหนือ ep 4

Gori - Mestia -Ushguli

ยังจำได้มั๊ยค่ะ ว่าเราไปเที่ยวมา 3 EP แล้วขออนุญาติรื้อฟื้นความทรงจำ 

ตุรัดตุเรงตะเรงกันไป... จอร์เจีย 15วัน 4หมื่นสอง รวมทุกอย่าง  

EP 1

ตุรัดตุเรงตะเรงกันไป... จอร์เจีย 15วัน 4หมื่นสอง รวมทุกอย่าง EP.2 

EP 2

จอร์เจีย ตุรัดตุเรงตะเรงกันไป...จอร์เจีย EP. 3 

จอร์เจีย EP 3

ไปต่อกันเลยค่ะ

เก้าโมงกว่าๆ เดวิทก็มารับพวกเราเพื่อเดินทางไปยัง Mestia ขอบอกก่อนจาก Gori ไป. Mestia เราต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมงในการเดินทาง แนะนำให้หาเพลงไปฟังด้วยหรือจะเป็นคลิปตลกเอาไปเปิดแก้เซ็งก็ดีนะคะ

ระหว่างทางชะนียักษ์นักกินแบบอีหล้าก็ชวนเพื่อนๆ แวะข้างทางตลอดเวย์ ตั้งแต่ร้านขายขนมปังหวานๆ ( sweet bread ) ทำกันสดๆข้างทางเหมือนไก่ย่างวิเชียร หรือหนูนาย่าง  แต่นี้เป็นขนมปังที่ชิ้นใหญ่ มีน้ำเชื่อมที่ทำจากต้นสนให้เราลองเลือกซื้อเพิ่มอีกด้วย

แม่ค้าตัวจริงจะคอยโบกรถที่ขับผ่านไปมาให้แวะมาซื้อ

แม่ค้าตัวปลอมพยายามจะดบกหนุ่มจอร์เจียให้เข้ามาอยู่ในใจตลอด 

รถเคลื่อนขบวนไปได้ซักพัก ผลไม้สดๆหลากหลายสีสันมองแล้วสวยงามน่ากิน ทั้งเชอรี่แดง เชอรรี่เหลือง ราสเบอรรี่ ลูกพีช ลูกพลัม เรดเคอแรน ราคาก็ถูกกว่ามะเขียบ (น้อยหน่า) แถวบเนาอีหล้าอีก งานนี้พวกเราแทบจะอาบผลไม้แทนการกิน

ผลไม่หลากหลายราคากินได้สบายสบาย 

เชอรรี่สดๆใหม่ๆ จัดพวงมาซะสวย

ผลไม้ที่ว่าเปรี้ยวแล้ว เจอท่าแอคแบบนี้ยอมแพ้ดีกว่า

เสบียงทั้งขนมผลไม้ มีครบหมดแล้วพวกเราก็ตุรัดตุเรงตุเรงกันไปต่อ บางช่วงของการเดินทางต้องผ่านเทือกเขา แม่น้ำลำธาร ธรรมชาติที่แปลกตาไปจากบ้านเมืองเรา ดูแล้วก็เพลินๆดี

เกือบทุ่มแล้วขบวนรถของอีหล้าก็ตุรัดตุเรงตะเรงมาถึง Mestia สังเกตง่ายๆเลยคะก่อนเข้าเมืองจะเห็นหอคอยโบราณกระจายกันอยู่ทั่วเมือง แถมฝนตกปรอยๆเพิ่มความเย็น เสียงเพลงจากสมองก็สั่งการออกมา ... อยากจะลืมใครซักคนที่หยาดฝนพร่างพรมพริ้วมา สายน้ำที่ล่วงหล่นปนเคล้าหยาดน้ำตา กลับไปคิดถึงคราแรกที่เราพบกัน

ถึงที่พักแล้วลงจากรถเถอะแม่ มัวแต่ทำมิวสิคอยู่นั่นแหละ เสียงที่ปลุกอีหล้าให้ตื่นจากภวังค์ กำลังเคลิ้มๆอยู่ในโหมดจินตนาการล้วนๆ โดนสกัดเต็มๆ ลูกหนอลูก

ที่พักของเราด้านหลังติดแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่าน Mestia โรงแรมเพิ่งเปิดใหม่ราคา 800

บาทพักได้ 2 คน มีฮีทเตอร์รวมอาหารเช้า งานดีมากอีหล้าแนะนำ riverside mestia ให้เพื่อนๆมาพักเลยคะ แถมวิวมองดูคอหอยยามค่ำคืนมันช่างน่าหลงไหลชวนให้ค้นหาเป็นยิ่งนัก

สายหน่อยพวกเราก็เดินทางไปที่ในเมืองของ Mestia เพื่อไปติดต่อรถที่จะเดินทางไปเมือง Ushguli พวกเราเหมารถราคาประมาณ 300 ลารี

จาก Mestia ถึง Ushguli ระยะทาง 47 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณเกือบ 4 ชั่วโมง สาเหตุว่าเจอวิวก็ถ่ายเจอดอกไม้ก็จอด แต่ละคนงัดท่าเด็ดมาโชว์สกิลเทพของการเป็นนางแบบรุ่นใหญ่ แม่เจ้าอีหล้าเข้าใจหัวอกคนเป็นช่างภาพก็ทริปนี้แหล่ะ

ยังไม่พอขับๆมาเจอลำธารและคอหอย ภาพเหมือนในเทพนิยาย เรื่องอะไรจะปล่อยไปโดยไม่ถ่ายภาพความทรงจำเก็บไว้ แถมมีน้องหมาและเด็กน้อยที่กำลังผ่านมานับว่าเป็นภาพประกอบที่เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับภาพหลัก

ยิ่งขับไปเรื่อยๆทางยิ่งยากลำบากเพิ่มขึ้น แต่ที่น่าแปลกใจคือเราเห็นฝูงผีเสื้อตลอดเส้นทาง อย่าให้มีข้อสงสัยในชีวิต ขอจอดไปดูหน่อยสิว่าผีเสื้อมาดอมดมอะไร

ว่าแล้วเราก็พุ่งตรงไปทีผีเสื้อนับร้อยนับพันที่มาดม...ขี้วัว... ถึงจะเป็นขี้แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับอีหล้าและผองเพื่อนเลย เพราะการได้ถ่ายรูปกับผีเสื้อมันคุ้มเกินคุ้มทั้งสวยทั้งสดใส สุดยอดจริงๆ

มาถึง Ushguli หมู่บ้านเล็กๆ สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2100 เมตรจากระดับน้ำทะเล บนที่ราบเชิงเขา Shkhara ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขา Greater Caucasus โดยได้รับการรับรองจาก Unesco ให้เป็นชุมชนมรดกโลก มี 4 หมู่บ้านย่อยแฝงตัวอยู่

เราพักที่ Angelina Guesthouse 1 คืน ราคาไม่แพงมากรวมอาหารเย็นและอาหารเช้าตกคนละ 900 บาท ห้องนอนทุกห้องมองออกไปจะเห็นหอคอยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตามแบบชนเผ่า Svaneti ที่เป็นนักรบ หอคอยพวกนี้สมัยก่อนเป็นที่สำหรับเอาไว้เฝ้ามองสอดส่อง และป้องกันผู้บุกรุก แถมมีพาหนะคู่ใจเป็นม้านิลมังกร ไม่ใช่ ม้าทั่วไปที่คนแถวนี้นิยมใช้ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน คิดดูสิถ้าเราหลุดเข้าไปอยู่ในยุคเก่าชีวิตเราจะตื่นเต้นและท้าทายขนาดไหน

ช่วงที่ไปเดือนมิถุนายนอากาศเย็นสบาย ต้นไม้สีเขียวชะอุ่ม ดอกไม้เริ่มเบ่งบาน ดูมีชีวิตชีวา

อีหล้าและผองเพื่อน เดินไปชมโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่ด้านบนสุดของหมู่บ้าน มีฉากหลังเป็นเทือกเขาคอเคซัสที่ยังอยู่มีหิมะปกคลุม มองย้อนมาที่หมู่บ้านเขียวขจี บ้านแต่ละหลังมีสีส้มอิฐบ้างสีน้ำตาลบ้างตัดกับความสูงต่ำของหอคอย เอาไปเลยค่ะ 10 คะแนนรัวๆ ใครชอบใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์อีหล้าแนะนำ

ระหว่างทางเจอเด็กๆส่งยิ้มกันปิ๊งๆ แวะร้านขายของที่ระลึกซื้อโปสการ์ด และของจุกจิ๊กอีก2-3 อย่าง อุดหนุนชาวพื้นเมืองกันซะหน่อย คนที่นี่พอเห็นหน้าตาเอเซียแบบพวกเรา ต่างเข้ามาพูดคุยและทักทาย ทำให้ทริปนี้เต็มปรี่ไปด้วยความสุข

เดินเที่ยวหมู่บ้านที่สูงสุดในยุโรปสูดอากาศบริสุทธิ์ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายสบายๆ เสร็จแล้วอีหล้าก็อยากเลยรู้ประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน Ushguli ซักหน่อยเสียดายเราเดินไปจนถึงหน้าพิพิธภัณฑ์แล้วแต่ดันปิด สงสัยคงต้องกลับมาใหม่ช่วงมีหิมะเต็มๆเขาบอกว่าจะสวยแถมยังสามารถเล่นสกีได้อีกด้วย แค่คิดก็คุ้มค่าแก่การกลับมาใหม่จริงๆ

ขากลับจาก Ushguli เราแวะหอคอย Tower of Love เล่ากันว่าเป็นเรื่องราวของนักรบเผ่า Svaneti และสาวน้อยคู่รักที่....”จงเติมความจำกัดความที่คุณต้องการจินตนาการใส่ลงไป “

1.นักรบอาจกลับมาครองรัก

2.นักรบอาจไม่กลับเพราะตายระหว่างสงคราม

3.นักรบไปรบเกิดอุบัติเหตุความจำเสื่อมเลยไปรักกับหญิงเผ่าอื่น

4.ยิ่งจินตนาการยิ่งสนุกเปิดรับความคิดใหม่ๆมันท้าทายดี

คนขับเข้าบอกว่าถ้าอยู่ต้องการมีใครซักคนยูต้องไปอธิษฐานขอพรกับ Tower of Love

ตอนได้ยินนี่อีหล้าและผองเพื่อนกระดี๊กระด๊ากันสุดฤทธิ์เข้าไปขอทั้งตะโกนดังๆให้ฟ้าได้ยินขอให้ลูกมีขรัวซักทีเถอะลูกรอมาหลายฝนผ่านหนาวมามากแล้ว ขอให้ส่งใครซักคนมาซักที ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้อีหล้ายังคงสเตตัสโสดสนิทอย่างพอเพียง

ทริป Mestia และ Ushguli อีหล้าและผองเพื่อนชอบมาก นอกจากจะได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างไกลชิดแล้ว เรายังได้ทำกิจกรรมหลากหลายร่วมกัน แถมเรียนรู้ผู้คนแถวนี้ที่มีความภาคภูมิใจกับบรรพบุรุษที่เป็นนักรบคอยดูแลและคุ้มครองเมือง Mestia

ปล. ช่วงที่อีหล้าไปเป็นช่วงก่อนซัมเมอร์ต้นไม้เริ่มเบ่งบานที่สำคัญขี้วัวเหม็นมากยิ่งตอนฝนตกพร่ำๆ ขมคอนักเชียว นี่แหล่ะชีวิตเราจะลุยไปได้อย่างไรถ้าไม่เจออุปสรรค

เที่ยวกับอีหล้า อีหล้าพาลุย

ทริปหน้าตะลุยใน Tbilisi เมืองหลวงของจอร์เจียที่ช่วงนั้นอากาศจะร้อนนิดๆ และเป็นช่วงประท้วงรัฐบาล ดูสิว่าอีหล้าและผองเพื่อนจะรอดหรือล่วงบนถนนแห่งประชาธิปไตยในจอร์เจีย

Elahpalui

 วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 14.10 น.

ความคิดเห็น