ภูกระดึง...เลย  การเดินทางแต่ละครั้งย่อมสร้าง "ความทรงจำ" ที่แตกต่างกันไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน...อีกหนึ่งความทรงจำที่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าตอนสุดท้ายของทุกความทรงจำจะเป็นอย่างไร มันก็คุ้มค่าที่จะคิดถึงและกลับไปเสมอ

    การเดินทางนี้เริ่มตั้นเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เมื่ออากาศหนาวมาเยือนก็พลางนึกถึงวันเก่า ๆ ที่ภูกระดึงไม่ได้ เลยตัดสินว่า...จะกลับไปอีกครั้ง

     เราเดินทางออกจากขอนแก่น 10.00 น. พร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีกสองคนที่ไม่เคยไปภูกระดึงเลยหรือภูอะไรก็ตามมาก่อนเลย ขับรถไปเรื่อยเปื่อยจนเข็มสั้นชี้ที่เลข 12 เราก็เดินทางถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึงพอดี กว่าจะโอ้เอ้ทำอะไรต่าง ๆ นานา กว่าจะติดต่อเรื่องที่พัก ชั่งน้ำหนักกระเป๋า ก็ปาไปเกือบ ๆ บ่ายโมงแล้ว เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงเดียวเจ้าหน้าที่ก็จะปิดทางขึ้นอุทยาน พวกเราจึงเลิกโอ้เอ้ และออกเดินทาง...

     "สองนักเดินทางหน้าใหม่" เดินขึ้นเขามาได้เพียง 200 เมตร ก็เกิดอาการท้อ อยากกลับลงไปข้างล่าง บ่นบ้าง หน้ามืดบ้างจากพิษของความร้อนและความชัน สุดท้ายก็ผ่านซำแฮ่กมาได้อย่างทุลักทุเล

ผ่านซำแฮ่กมาได้ ก็ไม่มีอะไรยาก..

     ความเหนื่อยล้าของเราจะหายไปทันที เมื่อถึงจุดพักตามซำต่าง ๆ เพราะที่นั่นจะมีมินิมาร์ทที่มินิมอล
รอเราอยู่ และที่สำคัญมีน้ำแข็งไสกับแตงโมแช่เย็นด้วย บอกได้คำเดียว...ฟินสุด ๆ ไม่ได้มีเพียงแต่ของกิน
ที่เยียวยาร่างกายและจิตใจเราได้ ยังมีเพื่อนร่วมทางหน้าใหม่ที่เราไม่รู้จักคอยแวะเวียน ทักทายกันตลอดทาง บ้างก็ให้กำลังใจ บ้างก็ให้รอยยิ้ม บ้างก็...ให้ความหวัง...

"อีกนิดนึง...ก็ถึงแล้ว"

เป็นคำปลอบใจที่ค่อนข้างดีทีเดียว แค่คำเดียวก็ทำให้เรามีแรงไปต่อได้แล้ว แต่ไปต่อไปเป็นพัก ๆ เท่านั้น ตลอดทางเราจะได้ยินคำนี้เป็นสิบ ๆ รอบ แต่ทุกรอบก็........ไปไม่ถึงซักที TT 

เวลาผ่านไปจนแสงแดดเริ่มอ่อนลง เป็นเวลา 17.30 น. เราสามคนก็กระเตงกันมาถึงหลังแปจนได้
เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวที่เห็นบรรยากาศรอบ ๆ ตัว อาการเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่เวลาไม่เป็นใจเรามาถึงช่วงค่ำ ๆ เลยต้องรีบเดินไปที่ลานวังกวาง จุดกางเต็นท์ของเราในคืนนี้ 

หลังจากทำภารกิจส่วนตัวและกินข้าวแล้ว พวกเราก็กลับเข้าเต็นท์ ความรู้สึกสุดท้ายของวัน คือ เวลา 22.10 น. เรายัดตัวเองลงในถุงนอน มันอุ่นมาก ...แล้วภาพก็ตัดไป....


นาฬิกาปลุกที่ดังทั้งป่า...

เวลา ตี 5 เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นให้ออกมารวมกันที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว กว่าเราจะรู้สึกตัว...เขาก็เดินไปกันแล้ว พวกเราเลยรีบเดินฝ่าความมืดและอากาศหนาวตามไปติด ๆ ที่ผานกแอ่นเรานั่งมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าได้ไม่นานก็เริ่มมีแสงลอดผ่านม่านหมอกออกมาทีละน้อย ๆ จนแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้า ช่างเป็นภาพที่ประทับใจมาก ๆ

สาย ๆ หน่อย หลังจากทำภารกิจส่วนตัว ทานอาหารเช้า และห่อข้าวเที่ยงเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มเดินทางตามเส้นทางที่อยากไป โดยไม่มีการวางแผนใด ๆ พวกเราตัดสินใจเลือกเส้นทางน้ำตกวังกวาง เพราะถือคติที่ว่า "มาแล้วต้องเอาให้คุ้ม"

ผลของการถือคตินั้น คือ เดิน เดิน และเดิน เอาเป็นว่า เดินจนเกินคุ้ม !

แต่ข้อดีของการเดิน คือ ได้สัมผัสวิวที่แปลกใหม่ จะว่าไปก็คุ้มเหมือนกันนะ

ตอนที่มาภูกระดึงครั้งแรก เมื่อ 9 ปีที่แล้ว มิชชั่นที่บูมสุด ๆ ที่ทุกคนที่มาต้องทำในตอนนั้นคือ "ตามหาต้นเมเปิล" ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นต้นเมเปิลจะมีอยู่แค่แถว ๆ น้ำตกถ้ำใหญ่ ตอนนั้นเราและนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ ก็ตื่นเต้น ตามหาต้นเมเปิลกันใหญ่เลย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า...ทำไมต้องตามหา... 

แต่ตอนนี้ไม่ต้องตามหาให้ยากแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ปลูกไว้ที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลย

หลุดจากโซนน้ำตกมาได้ก็เจอกับอีกโลก...ทุ่งหญ้าป่าสน...ไกลสุดลูกหูลูกตา บวกกับแดดตอนเที่ยงวัน
บอกได้คำเดียว "ร้อน" ระดับความร้อนแรงของแดด SPF 50+ ก็เอาไม่อยู่จ้า

ผ่านทุ่งหญ้า ผ่านนป่าสน ผ่านร้อน ผ่านแดด มาถึงจนถึง...ผาหล่มสัก โลโก้และแลนด์มาร์คของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เราแวะปูเสื่อนอนฟังเสียงลมปะทะหน้าผา ประมาณ 30 นาที ก็ออกไปถ่ายรูปที่หน้าผา ก้อนหินที่ยื่นไปตรงหน้าผาดูเหมือนจะไม่น่ากลัว (แค่ดูเหมือนนะ) พอไปอยู่ตรงจุดนั้นจริง ๆ ก็ต้องมีขาสั่นกันบ้างแหละ 

จุดที่ชอบที่สุด คือ ผาเหยียบเมฆ ตอนช่วงเย็น ๆ ทุกครั้งที่มาเราจะต้องมานั่งตรงนี้สักพักหนึ่ง รู้สึกว่ามันดูสงบ ว่างเปล่า แต่สวยงาม อารมณ์เหมือนได้เยียวยาตัวเองจากเรื่องต่าง ๆ แต่ก็หยุดพักได้ไม่นาน เพราะชีวิตเราต้องเดินต่อ...

จุดสุดท้ายที่มาถึงและเป็นจุดสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ คือ ผาหมากดูก เรามาถึงช่วงพระทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี ก็ได้ฟิลสวย ๆ โรแมนติกอีกแบบเหมือนกัน และแล้ววันดี ๆ ก็สิ้นสุดลงพร้อมกับภาพถ่ายสุดท้ายของวัน...


เช้าวันเดินทางกลับ...

หลังจากตักตวงบรรยายกาศและความทรงจำดี ๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาบอกลา "ภูกระดึง" อีกครั้ง

หลายครั้ง...มีหลายคนบอกว่า "ภูกระดึง...ครั้งหนึ่งในชีวิตก็เกินพอ" 

แต่สำหรับ "เรา" และใครอีกหลายคน ๆ "ภูกระดึง...แค่ครั้งหนึ่ง...คงไม่พอ" 

การเดินทางเป็นการอ่านหนังสือที่ไม่มีตัวหนังสือ แต่มีความรู้สึก โดยเฉพาะรู้สึก...คิดถึง...

แล้วพบกันใหม่ "ภูกระดึง"

rove with me : เที่ยวไปเรื่อย

 วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.05 น.

ความคิดเห็น