"เดือนมิถุนายนคือเดือนแห่งฤดูฝน ฤดูของความเขียวขจีของป่าเขาโดยเฉพาะจังหวัดกาญจนบุรีซึ่งมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ และมีอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง อันที่จริงเราเพิ่งจะมาเที่ยวกาญจนบุรีเมื่อเดือน กุมภาที่ผ่านมา แต่ว่าครั้งนั้นเราแค่มาเที่ยววันเดียวแล้วกลับ ไม่ได้ค้างคืน ครั้งนี้มีเวลาว่างตรงกันพวกเรา 6 คนจึงเห็นพ้องกันว่าจะเที่ยวแบบ สองวัน หนึ่งคืน"

วันแรก

พวกเราออกเดินทางจาก กทม ประมาณ 7 โมงเช้า พี่วัต คือผู้ที่มาถึงจุดนัดพบคนสุดท้ายเนื่องจากสับสนเรื่องจุดนัดพบฉะนั้นพี่วัตจึงต้องไถ่โทษด้วยการเลี้ยงเครื่องดื่มพวกเราทุกคน พวกเราเดินทางด้วยรถตู้ส่วนตัว มุ่งหน้าตรงสู่จังหวัดการญจนบุรี เราเกือบทุกคนหลับได้ยาวๆ เพราะจาก กทม ถึงกาญจนบุรีใช้เวลาประมาณ 3 ชม.

เดินทางเข้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี สถานที่แรกที่เราจะไปปักหมุดคือ วัดปากบาง ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงสำหรับหลายๆคนในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ และหลายๆคนมาวัดนี้เพื่อถวายอาหารเพล ทำบุญเพื่อความเป็นศิริมงคล และที่สำคัญมาเยี่ยมชมอุโบสถเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 200 ปี เมื่อพวกเดินทางเข้าสู่บริเวณวัด 


เราต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวัดนี้สะอาดมาก มีการดูแลรักษาอย่างดีเยี่ยม สงบ ร่มเย็น เป็นอีกหนึ่งวัดที่พวกเราจะต้องแนะนำให้ครอบครัวและเพื่อนๆได้มีโอกาสมาไหว้พระทำบุญ

หลังจากกราบไหว้พระขอพรเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ของวัดพาเราเดินเข้าไปยังด้านในของวัด 


ภายใต้สวนป่าไม้สักร่มครึ้ม เราเห็นอุโบสถเก่าหลังหนึ่ง เจ้าหน้าที่อธิบายให้เราฟังถึงประวัติความเป็นมาของอุโบสถแห่งนี้ว่าก่อสร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง 


ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปหลายองค์ แต่สังเกตุดูว่าพระพุทธรูปเกือบทุกองค์มีใบหน้ายิ้ม นี่เป็นวัดแรกของพวกเราทุกคนที่ได้เห็นพระพุทธรูปที่มีใบหน้ายิ้ม เจ้าหน้าที่ของวัดเป็นเจ้าหน้าที่อาสา จึงไม่ค่อยมีข้อมูลมากนัก แต่ก็มีชาวบ้านในละแวกนั้นซึ่งมากราบไหว้พระเช่นเดียวกันได้กระซิบบอกกับเราว่า อุโบสถแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงท้องแก่ และผู้หญิงมีรอบเดือนเข้าไปกราบไหว้พระ พวกเรามองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่ก็ได้คำตอบในทันทีว่าอุโบสถแห่งนี้มีพระมหาอุต และชาวบ้านเชื่อกันว่าผู้หญิงตั้งครรภ์อาจจะมีปัญหาคลอดบุตรยาก ส่วผู้หญิงมีรอบเดือนก็ถือว่าร่างกายไม่สะอาดจึงอนุญาตให้กราบไหว้ด้านนอกเท่านั้น ก็เป็นความเชื่อของท้องถิ่นที่น่าทึ่ง แต่เมื่อเรารู้แล้วก็ควรจะปฏิบัติตามเพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่

หลังจากกราบสักการะพระพุทธรูปในอุโบสถเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางต่อไปยังวัดตะคร้ำเอน เพื่อสักการะหลวงพ่อดำ พระพุทธรูปองค์สีดำสนิท และวัดนี้ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน

เมื่อพวกเราเดินเข้าไปด้านในวัด สังเกตุเห็นว่าสถานปัตยกรรมของวัดแห่งนี้เป็นการผสมผสานจากหลากหลายประเทศ เช่น พะวิหารจะมีลักษณะของขอม และบางส่วนของสิ่งปลูกสร้างก็มีความคล้ายกับศิลปะประเทศลาว จนกระทั่งมีผู้รู้ท่านนึงอธิบายให้เราฟังว่า ท่านเจ้าอาวาสของวัดท่านมีแนวคิดที่จะผสมผสานศิลปะจากหลายแห่งที่ท่านได้พบเห็นมาไว้ที่วัดแห่งนี้เพื่อให้ญาติโยมที่มากราบสักการะได้พบเห็นความหลากหลายของศิลปะ

หลังจากกราบสักการะพระพุทธรูปในอุโบสถ และชื่นชมความสวยงามของภาพวาดบนผนักอุโบสถแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปยังร้านอาหารครัวท่าเรือ เพื่อนของเพื่อนแนะนำร้านนี้เพราะอาหารอร่อย บริการดี สะอาด และราคาสมเหตุสมผล

ร้านอาหารครัวท่าเรือ คือร้านอาหารที่เพื่อนของเราคนนึงแนะนำให้มาลองเพราะอาหารอร่อย และบริการดี ที่สำคัญราคาไม่แพง

รายการอาหารส่วนใหญ่จะขึ้นชื่อเรื่องปลา

แต่ก็มีกุ้งนางชุบแป้งทอดที่เป็นอาหารแนะนำ

เราสั่งอาหารประมาณ 7-8 อย่าง สำหรับ 8 คน ถือว่าราคาอาหารไม่แพงจนเกินไป แต่คุณภาพอาหาร และการบริการถือว่าเป็นร้านที่แนะนำให้เพื่อนๆได้


ออกจากร้านอาหารเราเดินทางไปยัง 


โรงเจเข่งซิ่วตั้ว เพื่อกราบสักการะท่านอาจารย์โหพัฒน์ อดีตเจ้าอาวาสผู้ล่วงลับแต่สังขารท่านไม่เน่าเปื่อย โรงเจแห่งนี้มีชื่อเสียงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอาจารย์โหพัฒน์ เมื่อครั้งที่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นที่รักของชาวบ้านในละแวกนี้ ตราบเมื่อท่านมรณะภาพไปแล้ว และสังขารไม่เน่าเปื่อย 


ทำให้ลูกศิษย์ของท่านที่มีอยู่ทั่วประเทศได้ร่าวมแรงร่วมใจกันทำนุบำรุงโรงเจแห่งนี้ และจัดกิจกรรมเพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่อง และในช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี จะมีการจัดงานทำบุญใหญ่ มีการทำอาหารเลี้ยงดูผู้มาเยือน มีการบริจาคข้าวสาร การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ฐานะยากจนในชุมชน ในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์นั้นเจ้าหน้าที่วัดแนะนำให้พวกเรากราบขอพรจากท่านอาจารย์ได้คนละ 1 ข้อ โดยไม่ต้องทำการบนแต่อย่างใด เพียงแค่ตั้งจิตอธิษฐานพร้อมจุดธุป 5 ดอกเท่านั้น

นอกจากนั้นภายในพระอุโบสถยังมีพระสังกัจจายน์ที่เป็นที่เคารพนับถือในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย พวกเราก็ได้ถือโอกาสกราบสักการะเพื่อเป็นสิริมงคลเช่นกัน

หลังจากกราบสักาการะท่านอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านละแวกนั้นแนะนำให้พวกเราเดินเล่นเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังของศิลปินในท้องถิ่น แล้วก็ให้เราเดินเข้าไปยังตลาดเพื่อลองชิมอาหารขึ้นชื่อจากหลายๆ ร้านเก่าแก่ ซึ่งบางร้านขายมาแล้วไม่น้อยกว่า 50 ปี

ตลอดเส้นทางเราเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปวาดบนผนักอาคาร 


แล้วในที่สุดก็มาหยุดพักที่ร้านกาแฟ ชายสมัย ร้านกาแฟที่มองจากภายนอกแล้วเหมือนเป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่พอเราเดินเข้าไปด้านในจึงพบว่าเป็นร้านใหญ่ที่มีบันไดลงไปชั้นล่าง 


และมีระเบียงทางเดินต่อเนื่องไปยังริมแม่น้ำเพื่อชื่นชมบรรยากาศอีกด้วย สถานที่แห่งนี้ดูจะเหมาะกับเหมียว และ แซมมี่มากที่สุดเพราะทั้งสองคนชอบการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ (ถ่ายรูปตัวเอง)

เราสั่งเครื่องดื่มกันทุกคน และเพราะวันนี้อากาศค่อนข้างร้อน การพักเหนื่อยพร้อมเครื่องดื่มเย็นเป็นความคิดที่ดี

นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือของหวาน เราสั่ง 2 อย่างนี้มาลอง พวกเราส่วนใหญ่ชอบ วาฟเฟิล กับ ไอศครีม

แต่ส่วนตัวเราชอบเมนูนี้มากกว่า

หลังจากพักเหนื่อยและจัดการกับเครื่องดื่มและของหวานเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อเพื่อเข้าไปยังตลาดตามคำแนะนำ

ตลอดเส้นทางมีของกินเล่น ที่เราอดไม่ได้ที่จะต้องลองชิม

เครื่องดื่มสมุนไพร น้ำเก๊กฮวย น้ำจับเลี้ยงช่างเข้ากันกับ เกี๊ยวทอดกรอบ

เดินต่อไปไม่ไกล เราก็มาถึงร้านข้าวเกรียบปากหม้อในตำนาน ร้านเจ๊นุ๊ย

พวกเรายืนดูวิธีการทำก๋วยเตี๋ยวปากหม้ออย่างชำนาญอย่างเพลิดเพลิน แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือวิธีการเสิร์ฟ และภาชนะที่เราใช้ใส่ข้าวเกรียบปากหม้อ 


เพราะทางร้านใช้เพียงใบตองหนึ่งชื้นวางลงบนโต๊ะไม้ แล้ววางข้าวเกรียบปากหม้อลงบนใบตองในการเสิร์ฟ จากนั้นเราก็ตักน้ำจิ้มราด แล้วตักข้าวเกรียบเข้าปาก พร้อมกับผักกาดหอมสดๆ

อร่อยจริงๆ

มีไส้หลากหลายให้เราเลือก

และราคาเพียงตัวละ 2 บาท เท่านั้น แต่อยากแนะนำว่าต้องเผื่อเวลาในการมาลองชิมร้านนี้เพราะมีโต๊ะเดียวเท่านั้น และโต๊ะนั่งได้ครั้งละ 5 คน เท่านั้น ถ้าหากโต๊ะไม่ว่างก็ต้องนั่งรอคิวกันก่อน แต่ถ้าจะซื้อกลับไปทานที่บ้านก็ได้เช่นกัน ส่วนตัวเราชอบไส้หน่อไม้ แต่ที่เด็ดที่สุดก็เห็นจะต้องยกให้น้ำจิ้มที่มีทั้งรส เปรี้ยว หวาน เค็ม และเผ็ด และขาดไม่ได้คือกระเทียมเจียวหอมๆ สดใหม่

หลังจากทุกคนได้ลองชิมแล้วเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อเข้าเช็คอินที่โรงแรมเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเย็นนี้เราจะได้กินอาหารบนแพ บนแม่น้ำกัน


โรงแรมที่เราเลือกพักในครั้งนี้คือ โรงแรมยูโรเทล เป็นโรงแรมขนาดเล็ก ราคาไม่แพง แต่สภาพโดยรวมแล้วดีเกินราคา พนักงานต้อนรับเป็นกันเองอย่างมาก

ห้องพักก็สะอาด ดูใหม่ ฟรีไวไฟ และน้ำดื่ม 2 ขวด มีตู้เย็นขนาดเล็กเผื่อใครต้องการซื้อเครื่องดื่มจาก 7-11 เข้ามาแช่ก็ได้

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนเล็กน้อย แต่เนื่องจากพวกเราเพลิดเพลินกับขนม และเครื่องดื่มที่ตลาดตลอดช่วงบ่าย มื้อเย็นจึงขยับให้ช้าลง ซึ่งมีผลทำให้บางคนแอบงีบหลับไป

ในที่สุด พวกเราก็ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร วันนี้เราจะลองชิมร้าน ธาราบุรี เพราะเพื่อนเราแนะนำ

รายการอาหารและราคาไม่แพงจนเกินไป

เราสั่งอาหารรายการปลาเป็นหลัก


เมนูมะระผัดไข่เค็ม เป็นเมนูที่เราชอบมากที่สุด เพราะปกติเคยกินแต่มะระผัดไข่ธรรมดา พอใช้ไข่เค็มก็ให้รสชาติอีกแบบ มะระไม่ขมจนเกินไป พี่วัต ผู้ซึ่งออกตัวเป็นคนแรกเมื่อพนักงานนำอาหารจานนี้มาเสิร์ฟ “แกสั่งอะไรมากินเนี่ยะ ไม่เห็นน่ากินเลย” แต่เมื่อลองชิมแล้วกลับชอบ และอร่อยกับเมนูนี้มากกว่าคนอื่น

ทอดมันเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้

ส่วนนี่คืออาหารกินเล่น ยำสามกรอบ รสชาติครบเครื่อง อร่อยใช้ได้

เราสั่งอาหารประมาณ 7 อย่าง เฉลี่ยคนละประมาณ 300 บาท ก็ไม่แพงจนเกินไป แต่รสชาติและคุณภาพอาหาร รวมถึงการบริการถือว่าใช้ได้ น่าเสียดายที่ฝนตกลงมาก่อนที่เราจะกินอาหารเสร็จ ทำให้เราต้องย้ายโต๊ะเข้ามาด้านในห้องอาหาร ทำให้เราไม่ได้ดื่มด่ำกับวิวแม่น้ำยามค่ำคืน

พวกเราจัดการกับอาหารทุกจาน อิ่มจนพุงกาง ก็ได้เวลากลับเข้าโรงแรมเพื่อพักผ่อนเอาแรง เพราะเรายังมีรายการอีกยาวสำหรับวันพรุ่งนี้

วันที่ 2

เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแต่เช้าเพราะเราอยากไปลองชิมร้านเด็ดที่ตลาดแทนที่จะกินอาหารเช้าที่โรงแรม เราขับรถออกจากโรงแรมมาประมาณซัก 15 นาที ก็เห็นมีร้านขายอาหารตอนเช้าที่คนท้องที่เค้ามากินกัน มีทั้งต้มเลือดหมู โจ๊ก หมูปิ้งข้าวเหนียว กาแฟโบราณ ขนมครก และอื่นๆ จอดรถได้ พวกเราก็ตรงดิ่งเข้าไปหาที่นั่งทันที หลังจากสั่งอาหารจานหลักของแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว 


ต่างคนก็ต่างเดินดูรอบๆเพื่อหาอาหารจานสาธารณะ (อาหารสำหรับทุกคน) ต้องยอมรับว่าหมูปิ้งร้านนี้อร่อยมาก หมูนุ่มและมีรสชาติการหมักซอสที่กำลังดี และที่ขาดไม่ได้คือกาแฟโบราณ


หลังจากเรียบร้อยกับอาหารเช้า เรามุ่งหน้าสู่สถานที่เช็คอินสุดท้ายของทริปนี้ คือ ต้นจามจุรียักษ์ ที่ยังไม่มีพวกเราคนใดได้ไปเที่ยวชม ทั้งๆที่หลายๆคนต่างก็พูดถึงต้นไม้ต้นนี้

เราใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็เดินทางมาถึงต้นจามจุรียักษ์ ที่นี่มีการบริหารจัดการและดูแลต้นไม้ต้นนี้อย่างดีเยี่ยม มีการทางเดินทำด้วยไม้รอบๆบริเวณโคนต้นเพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเยียบยำราก และโคนต้นเพราะจะทำให้มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นได้ สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ ปลายของกิ่งแต่ละกิ่งนั้นเน้มลงสู่พื้นแต่ก็ไม่ได้แตกลงพื่น กลับชูขึ้นจากพื้น

ภายใต้ต้นไม้ยักษ์นั้นมีร่มเงาจากใบไม้ ทำให้การเดินรอบต้นไม้บนสะพานไม้นั้น พร้อมกันเก็บภาพมากมายเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลานานมาก เพราะความสวยงามของต้นไม้ที่เราสามารถถ่ายรูปได้ทุกมุม

ไม่ว่าจะเป็นรูปเดี่ยว

รูปคู่

รูปหมู่

รูปเบื้องหน้า และรูปเบื้องหลัง

และรูปเบื้องหลัง (รูปนี้พี่วัตถ่าย) ที่พวกเราพยายามทำความเข้าใจจุดประสงค์ของตากล้อง น้องแซมมี่มีประชดพี่วัตนิดหน่อยว่า "พี่ไม่ไว้หน้าหนูเลยนะคะ" 


หลังจากเก็บภาพประทับใจได้มากมาย พวกเราก็ออกเดินทางจากต้นไม้ยักษ์เพื่อกลับ กทม แต่เนื่องเพื่อนคนหนึ่งของเราต้องการกาแฟเข้าสู่ร่างกาย และระหว่างทางจากต้นไม้ถึงถนนเส้นหลักมีร้านกาแฟร้านนึงซึ่งเป็นที่กล่าวขานอย่างกว้างขวาง Mulberry Mellow ซึ่งมีพื้นที่นั่งดื่มกาแฟกว้างขวางมาก ทั้งในสนามหญ้าที่มีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงา หรือในห้องแอร์ที่มีการตกแต่งสวยงาม ถูกใจสาวกเซลฟี่ และ กรุ๊ปฟี่ทั้งหลาย (รวมถึงพวกเรา)

เพื่อนของเราได้กาแฟ พวกเราได้รูปสวยๆ พร้อมกับเค้กกล้วยหอมหนึ่งชิ้น พวกเราทั้งหมดก็กลับขึ้นรถ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับ กทม เพื่อนคนหนึ่งแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดให้เราไปลอง

ร้านก๋วยเตี๋ยวนี้ชื่อ ร้านเจี๊ยะเตี๋ยว ชัดเจน ว่า ร้านกินก๋วยเตี๋ยว เป็นร้านขนาดกลาง แต่มีการตกแต่งสวยงาม สะอาดสะอ้าน มีการแบ่งเป็นโซนห้องแอร์และด้านนอก เนื่องจากพวกเรามาถึงเร็วจึงได้โต๊ะในห้องแอร์ (อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน)

เราเริ่มสั่งอาหารของแต่ละคน

เราได้เมนูบะหมี่ผัดกระเพราเนื้อรสชาติจัดจ้าน ต้องยอมรับว่ากระเพราอร่อยมากจริงๆ รสชาติเข้มข้น เนื้อและเส้นบะหมี่คุณภาพดี ทำให้ทุกอย่างลงตัว

พี่กุ๊กไก่สั่งก๋วยเตี๋ยวหลอด หน้าตาดี แถมรสชาติก็เยี่ยม มันคือก๋วยเตี๋ยวหลอดที่ใส่หมูตุ๋นแทนหมูสับ และน้ำจิ้มก็รสชาติสุดยอด

พี่วัตสั่งเกาเหลาเอ็นแก้วกับเนื้อหมูตุ๋น ก็อร่อยเด็ดเช่นกัน

น้องกุ๊กสั่งข้าวเนื้อทอดกระเทียม อันที่จริงเราก็อยากสั่งเมนูนี้แต่ว่าเราชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากกว่าข้าว แต่ก็ยังรู้สึกเสียดาย เพราะข้าวเนื้อทอดกระเทียมก็รสชาติสุดยอดเหมือนกัน

พี่วัตสั่งเกี๊ยวซ่า และเกี๊ยวทอดกรอบมาให้พวกเรากินเล่น ยอมรับเลยว่าทั้งสองเมนูอร่อยมาก แต่เนื่องจากเกี๊ยวซ่าสั่งมาเป็นจานแรกและความไวของเรายังสู้สมาชิกอื่นไม่ได้ ถ่ายไม่ทัน กินหมดซะก่อน

ในส่วนของเครื่องดื่มนั้น เน้นเสิร์ฟน้ำสมุนไพร จำพวก น้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ ชา โอเลี้ยงก็มี ไม่ว่าใครจะสั่งอะไร เราลองชิมทุกอย่าง เผื่อคราวหน้าพาเพื่อนกลุ่มอื่นมาเที่ยว หรือมาเที่ยวกับครอบครัวจะได้แนะนำได้ สรุปอร่อยทุกอย่าง

ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวเพื่อเดินทางกลับ กทม พี่กุ๊กไก่แนะนำให้เราแวะอีกวัดหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างเส้นทาง ชื่อ วัดโพธิ์เย็น เนื่องจากเป็นวัดแบบจีน แต่มีสถาปัตยกรรมแบบทิเบต 


เป็นวัดที่คนไทยนิยมมากราบไหว้ขอพร ไหนๆก็มาแล้ว พวกเราก็เลยแวะอีกหนึ่งวัดก่อนกลับ

วัดโพธิ์เย็น เป็นวัดเล็กๆ อยู่ในชุมชนตลาดลูกแกที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2495 และถือว่าเป็นพระอุโบสถแห่งแรกในประเทศไทยฝ่ายมหายานในพระพุทธศาสนาที่มีพัทธสีมาถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ 


ภายในมีพระปฏิมากรพระศากยมุนีพระพุทธเจ้าประดิษฐานเป็นพระประธาน ด้านนอกของพระอุโบสถ มีภาพฝาผนังเป็นสัญญลักษณ์อำนวยพร เพื่อให้ผู้ที่มากราบไหว้สักการะมีความร่มเย็นเป็นสุข น้องเมย์ผู้ซึ่งเป็นอาสาสมัครให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัดสำหรับผู้มาเยี่ยมเยียน แนะนำให้พวกเราถ่ายรูปกับภาพวาดนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคล

หลังจากกราบไหว้ขอพร และเยี่ยมชมความงดงามของวัดกันเรียบร้อยแล้ว น้องแบงค์ผู้ซึ่งกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา ได้เอ่ยขึ้นว่าถ้าหากได้เครื่องดื่มที่ทำให้สดชื่นดับกระหายซักแก้วก็คงดี พวกเราจึงเดินออกจากวัดเพื่อมองหาร้านเครื่องดื่ม บริเวณนี้ไม่มี 7-11 เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นร้านค้าของชาวบ้าน ขายของหลากหลาย 


แต่โชคดีของน้องแบงค์เดินออกจากวัดมาไม่นานก็พบร้านเครื่องดื่มโบราณที่ทุกคนในกลุ่มรู้จักดีในชื่อ น้ำจรวด เป็นเครื่องดื่มรสและกลิ่นผลไม้ผสมโซดา ตอนนี้ไม่ใช่แค่น้องแบงค์ที่ต้องการเครื่องดื่ม แต่กลายเป็นว่าทุกคนต้องการเครื่องดื่มเย็นซ่านี้ด้วยเหมือนกัน ต่างคนจึงต่างสั่งเมนูของตัวเอง

เจ้าของร้านเป็นน้องผู้หญิงหน้าตาน่ารัก อัธยาศัยดีมาก นอกจากทำเครื่องดื่มให้กับพวกเราแล้วยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชน และตลาดกับพวกเราอีกด้วย อันที่จริงการที่คนในชุมชนภูมิใจและให้การต้อนรับผู้มาเยือนจากต่างถิ่นแบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกสนุกกับการมาเยี่ยมชม แล้วก็อยากแนะนำบอกต่อให้คนอื่นๆมาเที่ยวชมอีกด้วย

เสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทางกลับกันจริงๆเสียที

กาญจนบุรีทริปนี้พวกเราเที่ยวชมสถานที่ที่พวกเราทุกคนยังไม่เคยมีใครไปมาก่อน ซึ่งทำให้พวกเรารู้สึกว่า จังหวัดกาญจนบุรีแห่งนี้ ไม่ใช้จังหวัดที่มาครั้งเดียวแล้วเพียงพอ ต่อให้เรามา 5-6 ครั้ง แต่ถ้าหากเราค้นหาสถานที่ใหม่ๆ ลองอาหารการกินใหม่ๆ กิจกรรมใหม่ๆ เราก็สามารถมาเที่ยวที่จังหวัดซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆครั้งได้โดยไม่เบื่อ ที่สำคัญการมาเที่ยวกับเพื่อนหลายๆกลุ่ม ถึงแม้ว่าเราจะไปเที่ยวในที่เดิมๆ แต่เราจะได้ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ต่างกันออกไปอย่างแน่นอน

TipOnTheRoad

 วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 08.49 น.

ความคิดเห็น