ต้นกำเนิดแห่งความอยากรู้อยากเห็นของผมมาจากการเปิดนิตยสารท่องเที่ยวแล้วไปเจอรูปสวยแปลกของ Lofoten พอลองกูเกิ้ลดูเลยรู้ว่าอยู่ที่นอร์เวย์นู่น แต่พอเวลาหาข้อมูลที่เที่ยวในนอร์เวย์ฉบับภาษาไทย จะไม่เจอข้อมูลเกี่ยวกับ Lofoten แบบที่เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ดังนั้น ผมเลยอยากจะมาแชร์ข้อมูลสุดย้วยของการเดินทางสู่เกาะ Lofoten ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาของผม อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสดินแดนที่มีแลนด์สเคปสุดล้ำแห่งนี้ด้วยกัน…

แผนการเดินทาง


เนื่องจากช่วงสงกรานต์บ้านเรายังไม่พ้นหนาวบ้านเค้าดี ดังนั้น… มันจึงไม่ใช่เวลาที่จะได้ทำกิจกรรมเด็ดๆที่นักท่องเที่ยวเค้าไปทำกันแถวนู้น เช่นการ Hiking, Trekking, ตกปลา, ดำน้ำ, พายเรือ, บลา ๆ ๆ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับ Lofoten ในความคิดผมคือหน้าร้อน แต่เนื่องจากภาระการงานทำให้เราจำเป็นต้องอาศัยช่วงเทศกาลในการไปเที่ยว เพราะงั้น ถ้าใครมีโอกาส ผมแนะนำ Lofoten ช่วงซัมเมอร์น่าจะดีที่สุด…

แผนการเดินทางทริปนี้ง่ายมาก เป้าหมายคือแค่ไปขับรถเล่นบนทางหลวง E10 แล้วก็แวะถ่ายรูปตามข้างทาง เส้นทางนี้ถือเป็น Scenic road ที่นึงของนอร์เวย์ แต่จริงๆก็แอบหวังว่าจะได้ Hiking บ้าง ดูละกันว่าจะได้ไปเดินขึ้นเขาซักที่ไม๊…. อ้าวววว… schedule...มา!


9 Apr 2016 : BKK-Oslo ( via Moscow ) โดย Aeroflot ออกเช้า ถึง Oslo ค่ำ แล้วพักที่แถวๆสนามบิน Gardermoen เลย เตรียมบินไฟลท์ Domestic ตอนเช้าอีกวันนึง

10 Apr 2016 : Oslo- Svolvær ( via Bodø ) โดย SAS และ Widerøe ออกสายๆ ถึง Svolvær บ่าย ถึงแล้วรับรถเช่าที่จองไว้ แล้วพักที่เมือง Kabelvåg ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินเท่าไหร่

11 Apr 2016 : ขับรถชมวิวเรื่อยเปื่อย ย้ายที่พักไปพักที่เมือง Reine ทางตอนใต้ของเกาะ

12 Apr 2016 : ขับรถชมวิวเรื่อยเปื่อย พักที่เดิม

13 Apr 2016 : ขับรถชมวิวเรื่อยเปื่อย ย้ายที่พักไปพักที่เมือง Henningsvaer อันนี้ย้อนกลับมาทางเหนือเพื่อเตรียมตัวกลับ Oslo ในอีกวันนึง

14 Apr 2016 : กลับ Oslo ถึงตอนบ่ายๆ เดินเล่นชมเมืองหลวงของนอร์เวย์

15 Apr 2016 : กลับบ้านกันเถอะ ออกเย็นๆ ถึงกรุงเทพตอนเช้าอีกวันนึง

16 Apr 2016 : ถึงบ้านโดยปลอดภัย… ที่ไม่ปลอดภัยคือเงินในกระเป๋า

ดูแผนแล้ว ไปกันเลย………….


เริ่มจากการขอวีซ่า ผมขอไม่ลงรายละเอียดละกัน เนื่องจากมีรีวิวการขอวีซ่าของนอร์เวย์ในพันทิปอยู่แล้ว สรุปสั้นๆคือ ต้องเข้าไปในเว็บไซต์ https://selfservice.udi.no/ และลงทะเบียนเพื่อให้ได้ User name กับ Password เพื่อใช้ในการกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ รวมถึงการตรวจสอบผลของการยื่นขอวีซ่าด้วย การกรอกแบบฟอร์ม กรอกทีเดียวไม่เสร็จไม่เป็นไร สามารถเซฟแบบฟอร์มที่กรอกเอาไว้ครึ่งๆกลางๆได้ วันหลังกลับมาทำต่อได้อีก กรอกเสร็จแล้วจ่ายเงิน 60 euro โดยตัดผ่านบัตรเครดิต แล้วนัดคิวเข้าไปยื่นเอกสารที่ตึก Alma Link หลังเซ็นทรัลชิดลม ซึ่งจะมีค่าทำเนียมอีก 800-900 กว่าบาทต่อคนนี่แหล่ะ รายละเอียดดูได้ที่นี่ http://www.vfsglobal.com/norway/thailand/thai/


ไฟลท์ผมออกเดินทางตอนสายๆจาก BKK บินด้วย B777-300ER ระยะระหว่างเบาะใช้ได้นั่งไม่ลำบากมาก แต่จริงๆขาไปมีการ over booking เกิดขึ้น เลยโดนอัพเกรดที่นั่งให้โดยปริยาย… บุญตูดจริงๆ… อ่อ… Aeroflot เค้าไม่เสริฟเครื่องดื่มแอลกอฮอลนะ เลยนั่งไปแบบเหงาๆ…

เราถึงมอสโควเย็นๆ บินประมาณ 9 ชม. กว่าๆ มีเวลาต่อเครื่องเกือบๆ 2 ชม. สบายมาก ไปหาร้านนั่งจิบเบียร์รอหน้าเกตเลย ร้านใหญ่ๆแถวนั้นรับบัตรเครดิตหมดแหล่ะ แต่ถ้าร้านเล็กๆนี่ถามเค้าก่อนก็ดีนะ เพราะตอนต่อเครื่องขากลับมีร้านขายไก่ทอดเล็กๆบางร้านไม่รับ จริงๆนะ… ลืมบอกไป ไฟล์ทจาก BKK จะลงที่สนามบิน SVO มอสโควที่ Terminal F เราจะต้องเดินไป Terminal E เพื่อรอต่อเครื่องไป Oslo ทางเดินเชื่อมของ Terminal ก็ง่ายๆมีป้ายบอก ไม่ต้องกลัวหลง จาก SVO บินไป Oslo ใช้เวลาประมาณ 2:30 ชม. บินกับ A320 ที่นั่งแคบหน่อย ถึง Oslo ตอน 2 ทุ่มนิดๆ…. คืนแรกผมพักที่ Park Inn By Radisson Oslo Airport อยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสารประมาณ 300 เมตร ทางเดินจาก Terminal ไปโรงแรมมีกระจกกันลมกันฝนให้ ห้องพักมาตรฐานสมกับราคาที่จ่ายไป อาหารเช้าใช้ได้เลย… เตียงนุ่มมาก… จริงๆมันนุ่มมากทุกที่เลยในทริปนี้


ตำแหน่งของเกาะ Lofoten ในนอร์เวย์


ตื่นมาวันที่สองของการเดินทาง นี่ยังไม่ได้เริ่มเที่ยวเลย ใจเย็นๆ วันนี้เราจะบินไป Lofoten ละ จริงๆวิธีการไป Lofoten มีหลายแบบ มันขึ้นกับว่าเราเริ่มจากที่ไหน บางคนเริ่มจาก Bergen ก็มีวีธีนึง เริ่มจาก Tromso ก็มีอีกวิธีนึง เอาแบบหลักๆนะ คือมันมีรถบัสไปถึง แต่อันนี้ไม่นิยม มันนานไป แล้วก็มีเรือไปถึง มี Ferries กับ Express Boats ให้เลือก ตามลิ้งค์นี้เลย http://www.torghatten-nord.no/english/default.aspx ซึ่งส่วนมากคนจะขึ้นจากท่าเรือที่ Bodø แต่ถ้าเดินทางโดยเครื่องบิน จะมีสนามบิน 2 ที่บนเกาะ Lofoten ให้เลือก และนอกจากนั้นยังสามารถขับรถจาก Tromso ไปได้โดยมีระยะทางประมาณ 400 กว่า km. … สำหรับผม เวลามีน้อย บินไปเลยเร็วที่สุดละ เริ่มจากสนามบิน Gardermoen หรือ Oslo airport หรือ Oslo Lufthavn คืออันเดียวกันทั้งหมดแหล่ะ มันเหมือนเป็นชื่อจริง ชื่อเล่น และชื่อที่เพื่อนเรียกอ่ะ ซึ่งมันจะไม่มีไฟลท์บินตรง ต้องต่อเครื่องที่ Bodø และเปลี่ยนเป็นสายการบิน Widerøe คือสายการบินเดียวที่ขึ้นลงอยู่บนเกาะ Lofoten เวลาซื้อตั๋วสามารถซื้อในเว็ปของ Widerøe หรือ SAS เว็ปไหนก็ได้ แล้วแต่ชอบ

บรรยากาศที่สนามบิน Oslo


ระหว่างทางจาก Oslo ไป Bodø

บนเกาะ Lofoten จะมีสนามบิน 2 ที่ คือ Svolvær และ Leknes ผมเลือกลงที่ Svolvær เพราะจะได้ขับรถเลาะลงทิศใต้ของเกาะโดยผ่านเมืองหลายๆเมืองได้ด้วย แต่ไม่ว่าจะเลือกสนามบินไหน มันก็ต้องบินมาจาก Bodø เหมือนกัน


จาก Oslo มา Bodø บินโดย SAS เครื่อง B737-700 ประมาณ 1:30 ชม. ผมบินออกมาตอนสายๆ บนไฟลท์มีเสิร์ฟชากาแฟหรือน้ำเปล่า ถ้าอยากกินโค้กหรือขนมนู่นนี่ก็ต้องซื้อเพิ่มเอง พอมาถึง Bodø ก็รอต่อเครื่องแป๊บเดียวเลย ประมาณ 15-20 นาทีก็เรียกขึ้นเครื่องละ แต่ยังพอมีเวลาให้ซื้อแซนวิชนั่งกินเพลินๆแถวๆเกตเป็นมื้อเที่ยงได้อยู่ คราวนี้บินต่อกับ Widerøe ด้วยเครื่อง DHC-8 100 series เป็นเครื่องใบพัด บินแค่ 30 นาทีก็ถึงแล้ว บนเครื่องแจกช็อคโกแล็ตอันเล็กๆมากินแก้ขมปาก ขาไปคนน้อยเค้าเสิร์ฟกาแฟด้วยนะ แต่ขากลับคนเต็มลำไม่เสิร์ฟ คงจะเสิร์ฟไม่ทันเหอะ ไฟลท์ครึ่งชั่วโมงเอง


ต่อเครื่องที่สนามบิน Bodø

สนามบิน Svolvær ( ที่เห็นไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้น จริงๆแล้วมีเจ้าหน้าที่ของสนามบินยืนอยู่ใกล้ๆครับ มองหน้าขออนุญาติกันแล้ว ฮ่า ๆ ๆ )

วันแรกบน Lofoten


สายพานลำเลียงกระเป๋าสไตล์มินิมอล



พอถึง Svolvær นี่เป็นสนามบินที่เล็กมาก ประมาณเซเว่นสามคูหา พอเดินเข้าตัวอาคารมาก็เจอเคาน์เตอร์รถเช่า เราก็ติดต่อรับรถที่จองไว้ ของ Avis

บรรยากาศทึมๆ ฟ้าปิดตลอดวัน มืดหม่นจนหมดกำลังใจจะถ่ายรูปเลยอ่ะ

รถที่ได้มาเป็น Suzuki Vitara ตัวใหม่เลย สภาพใหม่สุดๆ ชอบมาก…. ได้รถแล้วเราก็มุ่งหน้าเข้าไปตั้งหลักที่ที่พักวันแรกก่อน ชื่อว่า Kabelvåg Apartment คะแนน 9.5 จากบุ๊คกิ้งดอทคอมเลยนะ เรื่องเส้นทางไม่ต้องกลัวหลง เนื่องจากในรถมี GPS ติดมากับรถให้เลย ฮ่า ๆ ๆ เมือง Kabelvåg นี่มันก็อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน Svolvær ที่เรานั่งเครื่องมาลงอ่ะนะ พอไปถึงที่พัก มีโพสต์อิทแปะไว้หน้าประตูว่า Welcome และเสียบกุญแจคาเอาไว้… easy มากๆ หลังจากจัดการกับข้าวของเสร็จก็หันไปเห็นเอกสารแจ้งเงื่อนไขการจ่ายเงินวางไว้บนโต๊ะ เค้าแจ้งว่าจะเก็บค่าที่พักเป็นเงินสด ดีที่แลกตังค์มาเผื่อไว้…. แล้วเราก็ออกไปขับรถเล่นชมวิวกัน….


แวะจอดถ่ายรูปตามข้างทางครับ

บรรยากาศหน้าบ้านพักที่ Kabelvåg Apartment

จริงๆกะว่าจะขับไปหาของกินด้วย แต่แวะถ่ายรูปนู่นนี่จนเย็น แล้วมันเป็นวันอาทิตย์ไง ร้านค้าทั้งหลายมันปิดเร็วจริงๆ แต่โชคดี… ที่บ้านสั่งให้พกหมูทอดถุงใหญ่จากร้านครัวอินเตอร์มาด้วย สั่งเค้าให้ทอดมาแบบแห้งๆนะ หมูทอดแห้งๆนี่มันอยู่ได้หลายวันเหมือนกันนะ ตอนแรกคิดว่ามันจะมีกลิ่นตุ่ยๆ แต่ไม่มีเลย มันปกติมาก คงเป็นเพราะอากาศมันเย็นมากอ่ะนะ แล้วอันที่จริงเค้าห้ามเอาหมูทอดเข้าประเทศรึป่าว? อันนี้ยังไม่รู้จนถึงทุกวันนี้… ใครรู้มาบอกที


หลังจากที่ไม่ประสพความสำเร็จกับการหาของกินข้างนอก เราก็กลับบ้านพัก ประมาณ 19:00 ได้มั้ง พอจอดรถก็เจอพี่เจ้าของอพาร์ตเม้นต์มารอเก็บค่าที่พักอยู่ จ่ายเงินสดนั่นแหล่ะ แกเขียนใบเสร็จเตรียมมาไว้ให้เลย พร้อมกับอธิบายว่า Check out ไม่เกินเที่ยงนะจ๊ะ ออกมาแล้วล็อคบ้านให้ด้วย แล้วเอากุญแจไปเก็บที่นี่นะ โอเคนะ บัยย์… so convenient แท้ๆ

บ้านพักแถวๆนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น Rorbuer คือประมาณบ้านชาวประมงอ่ะครับ มันก็คือๆกันกับ Apartment, Lodge, Cabin ประมาณนี้แหล่ะ มันไม่เหมือนโรงแรมนะ คือเรากินอะไรก็ต้องล้างเก็บครัวให้เค้าด้วย ข้าวเช้าไม่มีให้ สุดท้ายก่อนเช็คเอาท์ก็ควรเก็บขยะไปทิ้งให้ด้วยจะดีมาก

วันแรกใน Lofoten ก็แค่นี้แหล่ะ สองทุ่มก็อาบน้ำนอนละ


วันที่สองใน Lofoten


วันนี้เราจะย้ายที่พักไปที่เมือง Reine ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะ ระยะทางจาก Svolvær ประมาณ 120 km. แต่เราก็ไม่ได้ขับกันไปตรงๆหรอก มันมีที่ๆเราอยากไปถ่ายรูปแต่ต้องขับรถย้อนไปทางเหนือประมาณ 40 km. ไปที่ Grunnfør เพื่อถ่ายรูปแค่นั้น

ป้อม รปภ แห่ง Grunnfør ( อันนี้ตั้งชื่อเอง )


เสร็จแล้วก็มุ่งหน้าลงใต้เป้าหมาย Reineเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าลงใต้เป้าหมาย Reine ( ซึ่งที่ Reine นี่แหละที่ผมแอบหวังไว้ว่าจะได้ไป Hiking เดินขึ้น Reinebringen เพราะมันมีจุดชมวิวระดับเวิลด์คลาสบนยอดเขา ดูข้อมูลจุดที่สามารถ Hiking ใน Lofoten ได้เป็นสิบๆจุดในลิงค์นี้ http://rando-lofoten.net/index.php/en/the-hikes ) การขับรถร้อยกว่ากิโลเมตรแถวนี้ใช้เวลานานกว่าปกติเพราะมัวแต่แวะถ่ายรูปนี่แหล่ะ เวลาแวะต้องเล็งที่จอดให้ดีหน่อย เพราะถนนที่นี่มันไม่ค่อยมีไหล่ทาง จะมีบางช่วงที่ไหล่ทางมีพื้นที่พิเศษสามารถจอดได้ จริงๆจุดประสงค์เค้าน่าจะทำไว้เผื่อฉุกเฉินรถเสียด้วย เวลาจอดก็จอดแนบๆหลบๆนิดนึง เราแวะไปเรื่อยๆ แวะกินข้าวกลางวันที่เมือง Leknes แล้วซื้ออาหารสดเตรียมทำกินตอนมื้อเย็นด้วย อันที่จริงไม่อยากทำกินเองหรอก แต่ซื้อเผื่อๆไว้กลัวหาร้านกินข้าวไม่ได้อีก หลังจากนั้นก็เดินทางต่อ


แวะไปเรื่อยๆระหว่างทาง

อารมณ์ประมาณ Mirror lake เต็มไปหมดเบย

แลนด์สเคปแบบพื้นผิวดาวเสาร์ ( คิดเอาเอง )

แลนด์สเคปแบบพื้นผิวดาวพลูโต

จุดชมวิวเมือง Ramberg

เมืองหัมน้อย Hamnøy ( ผู้ก่อตั้งเป็นคนอีสานครับ.... หลอก )

วิวจากที่จอดรถหน้าทางเข้าหมู่บ้าน Reine มุมบังคับเลยครับรูปนี้

ถึง Reine ก็ประมาณ 17:00 นู่น อากาศนี่คือปิดตลอด มีฝนปรอยๆบางช่วง และบางช่วงมันก็ตกลงมาเป็นน้ำแข็งเม็ดเล็กๆ หนาวสะใจกันเลย


อยู่ที่ Lofoten 4 คืน มีแค่วันเดียวที่ท้องฟ้าเปิด ที่เหลือคือบรรยากาศทึมๆ ฝนมั่ง หิมะมั่ง น้ำแข็งเม็ดกลมๆเล็กๆตกลงมามั่ง อากาศก็อยู่ประมาณ -5 ถึง 5 องศา C หมูทอดมันถึงไม่เสียไง แต่ถ่ายรูปออกมาก็มืดๆงี้แหล่ะ

ที่พักที่ Reine นี่เจ๋งมาก ตอนจองมาใน Booking.com ผมเข้าใจว่ามันเป็นประมาณรีสอร์ทลักษณะเป็นบ้านชาวประมง มีหลายหลังหลายยูนิต แต่ที่ไหนได้ มันคือบ้านหลังเดียวโดดๆเลย ชื่อ Maybua มี 2 ห้องนอน 2 ห้องนั่งเล่น มีกุญแจเสียบอยู่ที่ประตูตามสูตร


Maybua

ข้างนอกดูบ้านๆ แต่ข้างในแจ่มมากนะฮะ

มื้อเย็นนี้ตกลงว่าเราทำอาหารกินเอง เนื่องจากเห็นว่าครัวของบ้านพักเค้าแจ่มดีอยากลองสัมผัส… กินข้าวเสร็จยังไม่ค่ำเลยแต่ก็ออกไปไหนไม่สะดวกละ หิมะตกปรอยๆ ช่วงกลางเมษาที่นี่กว่าจะมืดก็สามทุ่มนู่น เจ้าของที่พักส่งอีเมล์มานัดแนะเรื่องจ่ายตังค์ อีเมล์กันไปมาหลายรอบเหมือนกัน เพราะพี่แกไม่ค่อยว่าง แกติดนัดช่างทำผม… สุดท้ายแกบอกว่าพรุ่งนี้ค่ำๆไปจ่ายตังค์ได้ที่ปั๊มน้ำมันแห่งเดียวใน Reine แกทำงานอยู่ในมินิมาร์ทในปั๊มถึงสี่ทุ่ม…. นี่เราพยายามมากในการตามไปจ่ายตังค์แก


วันที่สามใน Lofoten

ตื่นมาวันนี้ฟ้ามีความเกือบสดใส แต่ก็เมฆมากอยู่ดี เราไม่รีบตื่น ดำเนินแนวทางตามวิถีคนขี้เกียจ กินมื้อเช้าแบบง่ายๆ Muesli กับนม ไข่ต้ม แล้วก็มีกล้วยที่ซื้อไว้เมื่อวาน วันนี้ช่วงเช้าดูอากาศแล้วก็ยังไม่น่าจะได้ Hiking ขึ้น Reinebringen ที่มีความสูงสี่ร้อยกว่าเมตรอยู่ดี เลยคิดว่าไปถ่ายรูปที่เมือง Å ดีกว่า เมืองนี้มีข้อดีอยู่อย่างนึงสำหรับชาวเมือง คือเวลากรอกที่อยู่ในเอกสารนี่เขียนสั้นมาก ( ไม่เกี่ยว ) ทางหลวงสาย E10 จะสิ้นสุดที่เมืองนี้ด้วย ( จริงๆคือมันเริ่มต้นที่เมืองนี่ถ้านับตามหลักกิโล แต่เวลาพูดว่ามันเป็นจุดสิ้นสุดแล้วจะได้ฟิลลิ่งที่ดีกว่า ) และทางหลวง E10 นี่จะสิ้นสุดอีกฝั่งนึงที่สวีเดนนู่นเลย


วิวหน้าบ้าน Maybua ตอนเช้า

ระหว่างทางไป Å

ระหว่างทางไป Å

บ้านน้อยกลอยใจที่ Å

จุดเริ่มต้นทางหลวง E10

เสร็จจากเมือง Å ผมย้อนขึ้นเหนือ กะไว้ว่าจะไปถ่ายรูปเล่นที่เมือง Nusfjord คือทริปนี้เรื่อยเปื่อยมาก อยากไปไหนก็ไป ระหว่างทางแวะกินเบอร์เกอร์ปลาที่ Anitas Sjømat เป็นร้านดังแถวๆนี้ ไส้เบอร์เกอร์นี่อารมณ์ประมาณลูกชิ้นปลาที่ใส่ในก๋วยเตี๋ยวแถวบ้านเรานั่นแหล่ะ แต่มันนิ่มๆกว่า



ตอนนี้หิมะเริ่มตก เรายังคงเดินหน้าไป Nusfjord นี่คิดไปถึงขั้นที่ว่ากะจะไปหาข้าวเย็นกินแถวนั้นเลยนะ ปรากฏว่าหิมะมันลงหนักขึ้นเรื่อยๆ เราขับรถกันไปถึงแล้ว แต่ลงไม่ไหวอ่ะ หิมะยังคงตกแบบจริงจังต่อเนื่อง นอนรอดูเชิงในรถเกินครึ่งชั่วโมงอีก แต่ดูแล้วหิมะไม่หยุดแน่ เลยตัดสินใจกลับที่พักดีกว่า ถึงที่พักยังไม่สี่โมงเย็นเลยมั้ง



รอหิมะหยุดตกอยู่ในรถ ที่ Nusfjord

ระหว่างทางเข้าหมู่บ้าน Nusfjord น้ำนี่เป็นวุ้นเลย

แวะแถวบ้านหัมน้อยอีกครั้ง หิมะกำลังหยุดเพื่อจะตกต่ออีกละลอกใหญ่

วันนี้ก็ทำอาหารเย็นกินเอง ใน Reine นี่มีร้านอาหารอยู่ร้านนึงนะ อยู่นี่สองคืนแต่ไม่ได้ลองเลย เสียใจ….


พูด ( พิมพ์ ) เรื่องทำอาหารแล้ว จะบอกว่าที่พักแนวๆ Lodge หรือ Cabin พวกนี้จะมีเครื่องปรุง, น้ำมันพืช และอาหารแห้งบางอย่างที่นักท่องเที่ยวคนก่อนหน้าเราทิ้งเอาไว้ ดูวันหมดอายุดีๆ เอามาใช้ได้ จะได้ไม่ต้องซื้อของจุกจิกพวกเกลือหรือพริกไทยให้เปลือง นี่บ้านที่พักนี่มีข้าวสารที่ยังไม่ได้แกะกล่องด้วยนะ ส่วนเครื่องใช้ในห้องน้ำก็เช่นกัน คือมันเป็นของเหลือจากนักท่องเที่ยวคนก่อนๆ ถ้าไม่สะดวกใจจะใช้ก็ควรเตรียมไปด้วย เดี๋ยวจะเสียเวลาไปวนรถหาซื้อสบู่แชมพูเปล่าๆ

กินข้าวเสร็จ นั่งเล่นพอหัวค่ำเราก็ออกไปจ่ายตังค์ค่าที่พักตามนัด พี่เจ้าของบ้านพักแกเป็นเจ้าของปั๊มกับมินิมาร์ทแห่งเดียวใน Reine ด้วย มีเครื่องรูดบัตร สบายมาก คืนนี้หิมะลงหนักมาก ขาวโพลนเลย

วันที่สี่ใน Lofoten

ตื่นเช้ามาวันนี้เจออากาศแจ่มใส ฟ้านี่โล่งเลย พอฟ้าเปิดนี่ทุกอย่างสดใสมาก วิวเดิมแต่อลังการกว่าเดิมเยอะ วันนี้ต้องเช็คเอาท์ จริงๆคือการออกมาแล้วเสียบกุญแจคาไว้ที่ประตูเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ เราจะย้ายไปนอนคืนสุดท้ายบนเกาะที่เมือง Henningsvær ย้อนกลับไปใกล้ๆเมือง Svolvær เพื่อเตรียมกลับไป Oslo ในอีกวันนึง


วิวเดิม หน้าบ้าน เพิ่มเติมคือความสดใสครับ ถ้าไม่มีวันที่ฟ้าเปิดแบบนี้ ทริปนี้คงมีแต่รูปมืดๆอ่ะ

รูปฟ้าใสๆกับราวตากปลาแห้งครับ : กลิ่นแถวๆนั้นก็ประมาณตลาดบ้านเพครับ

ขออนุญาตลงภาพท่าบังคับซ้ำครับ

ผมยังไม่ลืมเรื่อง Hiking นะ แต่หิมะที่ตกเมื่อคืนหนามาก ดูทรงแล้วไม่น่าจะเดินขึ้นได้ เลยตัดใจละ ขับรถถ่ายรูปเล่นเหมือนเดิมดีกว่า ระหว่างทาง เราจะแวะ Nusfjord อีกครั้ง จะแวะถ่ายรูปดูนู่นนี่นิดหน่อย... หรา



นี่ระหว่างทางแถวๆร้าน Anitas Sjømat

แวะเมือง Hamnøy อีกครับ

อันนี้อีกฝั่งถนนครับ

สะพานเท่ๆ แถวทางแยกจาก E10 แถวๆเมือง Fredvang

วิวเดิมอีกแล้วครับ แต่ความแจ่มคูณสิบ

ถึง Nusfjord อีกครั้งครับ พอได้ลงไปเดินเล่นถึงรู้ว่าร้านอาหารปิดในช่วงหน้าหนาวครับ

แล้วก็แวะ Eggum ที่เป็นหอเรดาห์สมัยสงครามโลก ที่นี่เคยเป็น Coffee shop นะ แต่เหมือนเจ๊งไปแล้ว วันนี้แวะกระจาย ฟ้าเปิดตลอดวัน

สุดท้ายก็เดินทางมาถึงที่ Henningsvær นี่จะว่าไปแล้วมีความเป็นเมืองมากกว่า Reine อีก พอจะเห็นคนเดินไปเดินมาบ้าง มีร้านขายของ มีร้านอาหาร มีผับ ที่พักคืนนี้ไม่มีกุญแจ แต่ใช้รหัสผ่านซึ่งทางที่พักส่งอีเมล์มาแจ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เปิดโรมมิ่งแพ๊คเกจมาจะสะดวกดีฮะ เผื่อต้องติดต่อนู่นนี่ พูดถึงบัตรเครดิตอีกอย่าง ถ้าใช้ PIN code จะสะดวกกว่า เช่นการเติมน้ำมัน ก่อนมาขอ Pin มาให้เรียบร้อย บ้านเราส่วนใหญ่ไม่มีใครจำ PIN code ของตัวเองหรอก อย่าลืมขอล่วงหน้า 5 วันทำการนะฮะ


Henningsvær

พระอาทิตย์กำลังตกที่จุดชมวิวของเมืองครับ มีหอไอเฟลด้วย.... หลอก

ตลาดบ้านเพ สาขา Henningsvær

บ้านร้างล่าท้าผี แถวๆที่จอดรถปากทางเข้าหมู่บ้าน Henningsvær



วันสุดท้ายที่ Lofoten

กินข้าวเช้า เช็คเอาท์ แล้วเดินทางไปสนามบิน Svolvær ก่อนคืนรถที่สนามบินต้องเติมน้ำมันเต็มถังไปคืน ปั๊มสุดท้ายก่อนถึงสนามบินห่างจากสนามบิน Svolvær ไม่ถึง 10 km. ตอนคืนรถไม่มีเจ้าหน้าที่รับรถนะ เค้าให้เอารถไปจอด แล้วมาหย่อนกุญแจใส่กล่องที่เคาน์เตอร์รถเช่าที่ Oslo


การนั่งรถไฟเข้าเมืองจากสนามบินจะมีรถไฟ 2 แบบ คือของ Flytoget กับของการรถไฟนอร์เวย์ NSB ซึ่งอย่างหลังถูกกว่าครึ่งนึง คือราคา 92 NOK ต่อคน ซึ่งมันนั่งแค่ประมาณ 20 นาทีเอง และรถก็ค่อนข้างโล่งครับ มีรถไฟสาย R10, R11 และ L12 ที่วิ่งผ่าน Oslo S กับสนามบิน Oslo Lufthavn


อันนี้รถไฟของ Flytoget ฮะ ซึ่งเราไม่ได้ขึ้น เราซื้อตั๋วของ NSB จากตู้อัตโนมัติ ใช้บัตรเครดิตกด pin code ซื้อตั๋วได้ครับ

ที่พักที่ Oslo เราเลือก Scandic Byporten อยู่หน้าสถานีรถไฟ Oslo S เลย ห้องไม่ไหญ่มาก แต่ก็ไม่แคบขนาดโรงแรมแถวเมืองใหญ่ๆในญี่ปุ่น อาหารเช้าเพอร์เฟค ดีมากๆ ถ้ากินสายหน่อยเป็นมื้อน้องๆ Brunch ได้สบายๆ อันนี้แนะนำเลย



ออกจากสถานี Oslo S หันขวาจะเจอ รร. เลยครับ

นี่คือการมา Oslo ครั้งแรก สำหรับผมมันผิดความคาดหมายไปมาก มันดูไม่ต่างจากเมืองใหญ่ๆในยุโรปทั่วๆไปอ่ะ ผมไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอะไรเท่าไหร่ที่นี่

ที่นี่เราไม่มีแผนอะไร เดินไปเรื่อยๆ แวะช๊อปปิ้งที่ ZARA นิดนึงคนไทยหยั่งเยอะ ผมแวะซื้อเสื้อยืด Hard Rock Café แป๊บนึง แล้วก็เดินไปหาของกินกัน พอดีมีเพื่อนแนะนำร้านอาหารไทย ( คือภรรยาอยากกิน ) ที่อยู่ใกล้ๆ Rådhuset หรือ Town Hall ของ Oslo ชื่อร้าน Blue Siam ที่นี่อาหารไทยแท้ๆ มีเมนูลับสำหรับคนไทยคือ เป็นพวกยำ หรือ ส้มตำน้ำตกด้วย…. อาหารจานใหญ่มาก ราคาพอๆกับไปกินอาหารอย่างอื่น… คือแพงพอกัน ฮ่า ๆ ๆ หลอกเล่น กินสองคน อาหารสามอย่าง 505 NOK นี่ก็ราคาปกติแถวนี้แหล่ะ



Rådhuset หรือ Town Hall ของ Oslo

อาหารในร้าน Blue Siam

วันกลับ

ไฟล์ทกลับเราบ่ายๆแก่ๆนู่น เช็คเอาท์ 10:30 กะว่าจะมาเดินเล่นที่สนามบิน ปรากฏว่าที่สนามบินคิวยาวทุกสเต็ป สงสัยเป็นวันศุกร์แล้วก็กำลังจะเปิดงานหลังจากหยุดสงกรานต์มาหลายวันด้วย ( ไม่เกี่ยว ) จุดที่พีคสุดคือ Immigration ขาออก ที่นี่เอาเคาน์เตอร์ Immigration เป็นด่านสุดท้ายก่อนเข้าเกต คือนึกถึงคุณกำลังซื้อของใน Duty Free กันอย่างเพลินเลย แล้วนึกได้ว่า เฮ้ย นี่เรายังไม่ได้ผ่าน Immigration แล้วพอลองเดินไปดูแถว Immigration แล้วเจอคิวหยั่งยาวอ่ะ แล้ว Immigration ขาออกนี่ช้ามาก พี่แกถามนู่นนั่นนี่เยอะมาก โถ…นี่กำลังจะกลับแล้วค้าบพี่ค้าบ…

จบรีวิวดีกว่าครับ เหนื่อยแล้ว มีแถมข้อมูลให้ด้านล่างอีกนิดหน่อยละกัน...


ภาคผนวก

เรามาดูงบประมาณที่ใช้กันไปในทริปนี้กัน…. รายการตามด้านล่างคือค่าใช้จ่ายของ 2 คนเลยนะ ผมเปลี่ยนหน่วยให้เป็นเงินบาท และปัดเศษให้เป็นตัวเลขกลมๆเพื่อให้ดูแล้วเข้าใจง่าย

หมายเหตุ : เรื่องของงบประมาณอย่าไปยึดติด อย่าไปคิดว่าอันนั้นแพงไปอันนี้ถูกไป ผมเชื่อว่าพวกเราทั้งหลายสามารถจัดการงบประมาณในการเที่ยวให้เหมาะกับความต้องการของตัวเองได้ จุดที่ดีที่สุดคือจุดที่เราแฮปปี้ที่สุดนะเออ….

ค่าตั๋ว Aeroflot 2 คน 43470 บาท อันนี้ Bkk-Oslo-Bkk ต่อเครื่องที่ Moscow

ค่าตั๋ว SAS and Widerøe 2 คน 34200 บาท อันนี้ Oslo- Svolvær ( Lofoten )-Oslo ต้องต่อเครื่องที่ Bodø ด้วย

ค่าที่พัก 6 คืน 34200 บาท เท่าค่าตั๋ว Domestic เลยแฮะ

ค่ารถเช่า 15600 บาท ( Avis : Suzuki Vitara with automatic transmission )

ค่าน้ำมัน 3440 บาท

ค่ากิน+ซื้อของนิดหน่อย 17700 บาท

ค่าทำ Visa 6500 บาท อันนี้คนละ 60 euro แล้วรวมกับค่าทำเนียมตอนยื่นเอกสารอีก

รวม คชจ งานนี้ 155110 บาท…. สำหรับทริป 7 วัน ถ้ามันดูแพงให้หารสองคิดเป็นต่อคนจะสบายใจขึ้นนะ ฮือออ


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

สิ่งที่ควรเตรียมไปด้วยเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

1. ขอ Pin code บัตรเครดิต จะทำให้สะดวกกว่าเวลาเติมน้ำมัน, ใช้ซื้อตั๋วรถไฟที่ตู้อัตโนมัติเวลาไม่มีแบงค์ย่อย

2. เปิด Data Roaming package มาด้วยก็ดี อันที่จริงที่พักมี Wifi ทุกที่เลย แต่ทุกครั้ง…ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าที่พักของเราจะถูกส่งมาทางอีเมล์ เช่นรหัสเปิดประตู การนัดกันเพื่อจ่ายค่าที่พัก


ค่าอาหารการกิน

1. ร้านอาหาร เฉลี่ย 125-250 NOK ต่อจานไม่รวมเครื่องดื่ม

2. แซนวิชตามร้านสะดวกซื้อ เฉลี่ย 50 NOK ขึ้นไป

3. Hot dog ตามปั๊ม 35-50 NOK

4. โค้ก, น้ำเปล่า 25-30 NOK ขึ้นกับว่าซื้อที่ไหน สนามบิน ซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อ

5. ไข่ 6 ฟอง 25-30 NOK

6. นมสด 1 liter 15-18 NOK

7. น้ำมันเบนซิน 14.XX NOK ต่อลิตร


VAT

มีหลายเรท 8%-25% ที่เจอในทริปนี้

ส่วนการขอคืนภาษีที่สนามบิน จะต้องแจ้งร้านค้าที่เราซื้อของมาด้วย ว่าเราจะของ Tax Refund ทางร้านจะออกเอกสารมาให้ แล้วเราเอามายื่นที่เคาน์เตอร์ Tax Refund ที่สนามบิน

Touchchom Na Nongkai

 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.04 น.

ความคิดเห็น