' ซินจ่าววววว ' สวัสดีทุกคน -/\-
กระทู้นี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การเที่ยวประเทศเวียดนาม(ใต้)ของเราเอง บอกเลยว่าทริปแน่นมาก ทรหด ไม่สบาย ไม่หรูหรา นอนบนรถซะส่วนใหญ่ เพราะเป็นการไปเวียดนาม First time เลยอยากจะไปซะทุกที่เลย
ถึงแม้จะเหนื่อย(มาก) แต่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย

และต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยเพราะเราจำรายละเอียดพวกเรื่องราคาไม่ได้ เพราะตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะกลับมารีวิวเลยไม่ได้จดไว้ แต่ก็หวังว่ารีวิวเราจะพอเป็นประโยชน์กับใครที่ไม่เคยไป และใครที่กำลังมีแพลนจะไปนะ
ใครว่าไม่โดนโกง มาไม่ถึงเวียดนามจริงรึป่าว !? หึหึ ตามเราไปเที่ยวดูววววววว
ความคิดเห็นทั้งหมดในรีวิวนี้เป็น คหสต ของเราทั้งหมด ซึ่งอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมรีวิวนี้

- เพลนการเดินทางของเราในครั้งนี้ เราจะเริ่มกันที่โฮจิมินห์ ไปดาลัด ต่อด้วยญาจาง และมุยเน่ แล้วกลับมาที่โฮจิมินห์อีกครั้งก่อนกลับไทย -

เพื่อไม่เสียเวลา เรามาเริ่มกันเลย !!

ประเทศเวียดนาม มีเมืองหลวงชื่อฮานอย แต่เมืองใหญ่สุดในประเทศคือ ' โฮจิมินห์ ' ซึ่งเป็นเมืองที่เราจะไปกันในทริปนี้

แต่ก่อนเวียดนามแบ่งแยกกันระหว่างเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ เมื่อเวียดนามเหนือยึดได้จึงเปลี่ยนชื่อเป็น นครโฮจิมินห์ ตามชื่อผู้นำเวียดมินห์ คือ โฮจิมินห์ ซึ่งโฮจิมินห์มีชื่อเดิมว่า ไซ่ง่อน (Sài Gòn) ทำให้บางคนก็ยังเรียกโฮจิมินห์ว่าไซ่ง่อน รวมไปถึงสถานที่ต่างๆ เช่น สถานีรถไฟ แม่น้ำ เป็นต้น

. เดินทางโดยเครื่องบินจากประเทศไทย ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ครึ่ง

. คนไทยไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า

. ใช้สกุลเงิน ด่ง/ดอง (VND) 10.000 VND ~ 15 บาท

DAY1: BKK - SGN (Tan Son Nhat International Airport)

DAY2: Da Lat

DAY3: Nha Trang

DAY4: Mui Ne

DAY5: Ho Chi Minh City

________________________________________________________________

DAY 1: BKK - SGN

ช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงต้นเดือนมิถุนา เราเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย ค่าเครื่องไป-กลับคนละประมาณ 2,300 บาท (ไม่รวมค่าโหลดกระเป๋า)

ไฟล์ทเราออกจากกรุงเทพ(ดอนเมือง)เวลา 07.45 น. ถึงสนามบินเตินเซินเญิ้ต 09.15 น.

พอเรารับกระเป๋าแล้ว ออกมาด้านนอก ก็จะเป็นที่ขายพวกซิมการ์ด ขายทัวร์ แลกเงิน ฯลฯ อย่างแรก เราซื้อซิมก่อนเลยเพราะเราจะเอาไว้ใช้เปิดแมพตอนเดินทาง ราคา 100.000 VND (ประมาณร้อยกว่าบาท) จากนี้เราจะหาทางเข้าเมืองกัน มีTaxi/ Shuttle Bus/

และรถบัสเข้าเมือง สาย 109 ราคา 20.000 VND  (30 บาท) สาย 152 ราคา 5.000 VND (7 บาท) ถ้ามีกระเป๋าใหญ่ราคา 10.000 VND

และแน่นอนว่า.. รถบัสเราเลือกนายยยย 5555 สาย 152 จัดไป !! ถูกสุดดด เรานั่งรถบัสมาซักประมาณ 40 นาทีก็มาถึงตลาดเบนถั่น (Chợ Bến Thành: Chợ แปลว่า ตลาด) ซึ่งเราจะลงรถกันที่นี่ ใครมาครั้งแรกไม่รู้จักไม่ต้องตกใจ เพราะตอนเรามาครั้งแรกเราจะรู้ได้เองเลยจากเสียงแตรรถ บีบกันถ้วนทั่วอย่างกับเสียงทักทาย  

เราลงรถแล้ว.. แพลนของเราวันนี้คือ ซื้อตั๋วรถบัสไปดาลัท นอกนั้นฟรีสไตล์ ~~~~~~~~~~

(ขอยืมรูปจาก http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2011/03/E10297415/E10297415.html)

จากที่ศึกษามาเราเลือกเอเจนซี่ของ Vietsea Tourist ร้านของ Vietsea อยู่แถวๆ ตลาดเบนถั่นเลย เปิดแมพแล้วเดินไปที่ร้านเองได้เลย

ได้ตั๋ว Sleeping bus รอบสุดท้ายเวลา 23.10 น. มาเรียบร้อย ราคา 210.000 VND (ประมาณ 315 บาท)

พอจัดการเรื่องตั๋วเสร็จ เราก็ขอฝากสัมภาระไว้ที่ร้านเลย เพราะเราต้องมาขึ้นรถที่หน้าร้านอยู่แล้ว

ถ้าใครไม่อยากจองผ่านเอเจนซี่ก็สามารถจองเองได้ที่ https://futabus.vn/en-US/ (จองล่วงหน้าก่อนวันไปประมาณ 3 สัปดาห์)

ตอนนี้เวลาประมาณ 11 โมงเราตัดสินใจว่าจะไปเดินดูรอบๆ หาอะไรกินและที่นั่งพักก่อนถึงเวลารถออก

ระหว่างที่เราเดินเล่นเราบังเอิญมาเจอร้านขายทัวร์แบบ One Day tour ทัวร์อุโมงค์กู๋จีเวลา 13.30-17.00 น.

พอดูเวลาแล้วไปทัวร์กลับมาก็ยังทันกินข้าวและอาบน้ำก่อนขึ้นรถอีก เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ไหนๆ เราก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว เราเลยซื้อทัวร์ซะเลย  (นอกแพลนที่วางมา) ถึงเวลา 13.30 น. ก็มีรถตู้มารับ พร้อมไกด์นำเที่ยว (ตอนจบทริปเตรียมตังไว้ทิปไกด์ด้วยนะ) นอกจากเราก็มีชาวต่างชาติ 6-7 คนเต็มรถพอดี

ระหว่างทางไกด์พาเราแวะร้านของฝากเพื่อเข้าห้องน้ำ ซื้อไอติม กินน้ำ กินขนม
(ร้านของฝากเหมือนเป็นศูนย์หัตถกรรมสินค้าโอท้อปเลย มีคนนั่งทำงานให้ดูกันตรงหน้าเลยทีเดียว)

ตอนแรกคิดว่าจะมาชิลๆ แต่ไม่ชิลเลยยยยยยยย นั่งรถออกนอกเมืองมาเป็นชั่วโมง เมื่อยตูดล้าวววว T T เมื่อไหร่จะถึง นั่งหลับไป 2 ตื่น และแล้วเราก็มาถึง อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi Tunnels) จากนั้นไกด์ก็ลงไปซื้อตั๋วเข้าให้เรา เราไม่ต้องจ่ายเพิ่มใด ๆ

ได้เวลาเดินทัวร์ ก็เดินตามเค้าไปโล้ดดดด ไกด์เล่าประวัติเป็นภาษาอังกฤษ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง 5555 เอาเป็นว่าดูรูปเอาละกันเนอะ

อุโมงค์กู๋จี เป็นฐานทัพของทหารเวียดกงในสมัยสงครามเวียดนาม เอาไว้ซ่อนตัวและดำรงชีพอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน เพื่อพรางตัวต่อสู้กับทหารสหรัฐ มีส่วนที่แสดงค่ายกล หลุมพรางต่างๆ ที่เวียดกงสร้างขึ้นเป็นกับดัก หากมีไกด์ไปด้วยจะชี้จุดที่เราไม่ทันสังเกต (ถ้ามาเองคงตกหลุมกับดักไปแล้ว ฮ่าฮ่า)

ไกด์ให้พวกเราลองลงไปในหลุมใต้ดินขนาดเล็กที่สร้างไว้พรางสายตาข้าศึก อันนี้สนุกกก ผลัดกันลงทีคนละ คนอื่นก็มุงดู

และไฮไลท์ของทัวร์นี้ก็มาถึง.. การลงอุโมงค์จำลองตัวเองเป็นทหารเวียดกงสมัยก่อน อุโมงถ์ยาวราวสิบกว่าเมตร เป็นที่แคบและมืดๆ มีแสงสลัว ไกด์บอกว่าแล้วแต่ความสมัครใจ ใครจะลงหรือไม่ลงก็ได้ ? ไหนๆ ก็มาแล้ว ต้องลงสิฮะ ลุยยยย !!!

(เนื่องจากในนี้มืด เราต้องเดินต่อๆ กัน และบางจุดต้องคลานเข่าด้วย จึงไม่สามารถถ่ายภาพใดๆ ได้)

ข้างในค่อนข้างมืดแม้จะมีไฟเป็นระยะ และอับๆ หน่อย อากาศไม่ค่อยจะมีแต่ก็พอหายใจได้อยู่ ทางแอบแคบๆ คลานกันเป็นขอมดำดินเลยจ้า

หลุดออกมานี่เหมือนผ่านการทดสอบวัดใจอ่ะ ถ้าใครไม่กลัวที่แคบก็น่าลองเข้าไปดู สนุกดี

**ขอแนะนำ อย่าใส่กระโปรงมา / ใครอ้วนหรือกลัวที่แคบผ่านไปเลยยย ถ้าลงไปแล้วมาเปลี่ยนใจออกไม่ได้ละนะ เพราะมีคนอื่นเดินต่อกันมาเป็นขบวน / ใครเป็นโรคหอบหรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจถ้าไม่มั่นใจห็ผ่านเถอะ เพราะแค่เดินรอบๆ ก็แอบเหนื่อยเหมือนกัน ถ้าต้องลงอุโมงที่อากาศน้อยๆ อีกอาจไม่ไหว

 ออกมาจากอุโมงค์แล้วไกด์ก็มีของรางวัลให้เป็น มันต้มมมมมม จิ้มกับถั่วป่นผสมน้ำตาล (คนที่ไม่ลงก็ได้กินนะ 555) มันดูธรรมดามาก แต่ตอนนั้นคืออร่อยมากกก ฟินนนน 

มีลานยิงปืนให้ซ้อมยิงปืนด้วย แต่ส่วนนี้ต้องเสียค่ากระสุนและอุปกรณ์เพิ่มเติม

ก่อนออกมีวิดิทรรศน์ประวัติความเป็นมาฉายให้ดูเป็นภาษาอังกฤษ

แบบจำลองอุโมงค์ที่เราไปลงกัน โอ้ววววมีตั้ง 3 ชั้น

และแล้วก็เป็นอันจบทัวร์อุโมงค์กู๋จีเพียงเท่านี้ เรานั่งรถตู้กลับเข้าเมืองกันเลย หลับยาวววว จนเรามาถึงในเมืองตอนเย็นๆ เวลายังเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาขึ้นรถ เราเลยจะไปเดินเล่นแถวตลาดและหาข้าวเย็นกินกัน

และเราก็เลือกร้านอาหารสำหรับเย็นนี้ได้แล้ววว นั่นคือ Pho 2000 ร้านดังที่ใครๆ มาโฮจิมินห์ต้องมาลอง (ลองครั้งเดียวพอ แอบแพง)

ร้านอยู่ชั้น 2 ตรงมุมถนน ล่างป้าย Casino รูปข้างบนอ่ะ

เราเลือกลอง Pho Bo (Beef noodle soup): เฝอเนื้อ รสชาดก็โอเค เห็นน้ำใสๆ แต่ก็มีรสอยู่ เหมือนก๋วยเตี๋ยวเนื้อต้มจืด

ชามนี้เหมือนก๋วยเตี๋ยวแห้ง แห้งจริงงงงงง น่าจะมีซุปให้หน่อย -3-

ท้องอิ่มแล้วเราก็ออกมาเดินย่อยกัน แถวๆ ตลาด มีถนนคนเดิน ขายพวกของฝาก และเสื้อผ้า

เราเดินตามตรอกซอกซอยมาจนเจอ ของเด็ดดดด กาแฟเวียดนามรถเข็น คือดีย์ คอกาแฟต้องมาลอง

กาแฟเข้นข้นมาก (แต่หวานหน่อย)

และลานเล็กๆ เหมือนลานกิจกรรมเป็นสถานที่ให้คนในเมืองมาพบปะกัน

ใกล้ถึงเวลา เราก็กลับไปอาบน้ำที่ร้านที่เราซื้อตั๋วรถ (ที่ร้านมีบริการห้องอาบน้ำ แต่เราจำไม่ได้ว่ามีค่าบริการหรือเปล่า)

พอเวลา 23.10 น. รถก็มารับ ได้เวลาไปดาลัทแล้วววว เย้ ~~~~~

รถเป็น Sleeping bus 2 ชั้น ตอนขึ้นเราต้องถอดรองเท้า และนำรองเท้าใส่ถุงเข้าไป มีผ้าห่มให้ ค่อนข้างนอนสบายเลย
แอบตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกที่ขึ้นรถแบบนี้ ><
*แนะนำว่านอนชั้น 2 ดีกว่าจะได้ไม่เหม็น (กลิ่นเท้า)

ขอนอนก่อนละนะ แล้วเจอกันที่ ' ดาลัท ' ราตรีสวัสดิ์

________________________________________________________________

DAY 2: Da Lat

ตามตารางเวลารถ เราจะถึงขนส่งที่ดาลัทประมาณ 06.00 น. แต่เราไปถึงจริงๆ ตอนตี 4 ได้ หลังจากลงมาจากรถ จะมีรถตู้ และmini bus ให้เราเลือกไปต่อ (ถ้าใครจองที่พักมาแล้ว ที่พักอาจนำรถมารับที่นี่) สายประหยัดอย่างเรา mini bus สิฮะ 5555 รถรอคนขึ้นสักพักก็ออกจากขนส่งไปที่ดาลัท ระหว่างทางต้นไม้เยอะ บรรยากาศดีมาก มีบ้านคนประปรายตามทาง รู้สึกเริ่มตื่นเต้นแล้วว

ตอนมาถึงดาลัทคือเช้ามากกกกกก

ความประทับใจแรก: คนขับ mini bus ถามชื่อที่พักของเรา แล้วเค้าก็พาเราไปส่งถึงหน้าโรงแรมเลย (ใจดีสุด) ตอนแรกนึกว่าต้องไปเดินหาที่พักเองซะแล้ว

เรามาถึงในเมืองดาลัทประมาณตี 5 กว่าๆ รถมาส่งเราที่หน้าที่พัก แต่เพราะมันยังเช้าตรู่โฮสเทลยังไม่เปิด เราเลยรออยู่หน้าโฮสเทลสักพักแล้วลองกดกริ่งดู พอดีเค้ามีคนนอนเฝ้าอยู่ข้างล่างแล้วเหมือนเค้าได้ยินเราคุยกันด้วยเลยเปิดประตูมาดู เราเลยได้เข้าไปข้างใน แต่เนื่องจากเรามาเช้ามาก ห้องเราแขกยังไม่ออกต้องรอหลัง 12.00 น. ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เราเลยขอว่างของแล้วขอใช้ห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันไปก่อน

ที่พัก Ken’s house backpackers Downtown Da Lat, VN เราเลือกแบบห้องแยก จำราคาไม่ได้แต่ไม่เกิน 1,000 แน่นอน

(ขอยืมรูปจาก https://www.priceline.com)

ได้ล้างหน้า แปรงฟันแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลย เราออกมาเดินหาข้าวเช้ากินตอนประมาณ 06.30 น. ดีที่แถวที่พักเรามีร้านเปิดแล้ว (คนเยอะด้วย ขนาดยังเช้าอยู่ น่าจะมาเจอร้านเด็ดเข้าแล้ว อิอิ)

เราลองมากินอาหารพื้นเมืองกัน ได้ขนมปังไส้แฮม น้ำเต้าหู้ และกาแฟมาลอง ๆ


ชอบบบบบบบบบบบบ ทั้งขนมปังทั้งกาแฟเวียดนามเลย อากาศที่นี่ตอนเช้าๆ นี่ประมาณ 20 องศา ได้กินขนมปัง+น้ำเต้าหู้ร้อนๆ คือมันดีย์มากกกก 

เรานั่งกินข้าวเช้ารอเวลาสายๆ เดินกลับไปที่พัก ตอนนี้ที่พักเราเปิดแล้วแต่ห้องยังไม่เสร็จ เราเลยตัดสินใจจะออกไปเที่ยวกันก่อนแล้วค่อยกลับมาเช็คอิน เพื่อไม่ให้เสียเวลา การเดินทางเที่ยวในดาลัทมีหลายวิธีจะ ซื้อทัวร์/Taxi/เช่ามอไซต์ ก็ได้

เราชอบเที่ยวเอง เราเลยเลือกเช่ามอไซต์ขับกันเองดีกว่า ที่พักเรามีรถมอไซต์ให้เช่า ราคา 100.000 VND /วัน (~150 บาท) +เติมน้ำมันเอง

สถานที่แรกที่เราจะไปคือ .. วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda) เป็นวัดพุทธในนิกายเซน แบบญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนเทือกเขาเฟืองฮว่าง (Phượng Hoàng Hill) โดยเราต้องนั่ง cable car ขึ้นไป ค่าขึ้นกระเช้า ไปอย่างเดียว 50.000 VND / ไป-กลับ 70.000 VND เราขี่มอไซต์มาจอดที่จอดรถด้านล่าง แล้วไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้า

เวลาตอนนี้ประมาณ 07.20 น. ซึ่งกระเช้ารอบแรกจะเปิด 07.30 น. เราเลยเดินเล่น ชมวิวอยู่บริเวณด้านล่างก่อนเพื่อรอเวลา

(วิวข้างล่างคือดีมาก อากาศก็ดีด้วย โอ่ยยยย แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ยังไม่ทันถึงจุดสุดยอดเลยยยยยยย)

ถึงเวลาเปิดกระเช้า ดีที่เรามาแต่เช้าคนเลยยังไม่เยอะเท่าไหร่ (หรอออออออออ ) ดันมาเจอทัวร์ ต่อคิวกันยาวเลย

แต่ก็ไม่ได้นานมาก สักแปบก็ถึงคิวเราขึ้นกระเช้าแล้ววว

(ขออณุญาตหน้าสดตลอดทั้งทริปนะฮะ )

ระหว่างนั่งกระเช้าก็นั่งชมวิว ซึมซับความเขียวขจีของต้นไม้ และท้องฟ้าไปเพลินๆ

และเราก็มาถึงวัดข้างบนกันแล้ว ภายในบริเวณวัด สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก

แต่แล้วฝนก็ดันตกลงมา เราเลยต้องหาที่หลบฝนและรอฝนหยุดอยู่สักพัก พอฝนหยุดเราก็เดินเล่นต่ออีกหน่อย บรรยากาศภายในวัดร่มรื่นมาก บวกกับอากาศหลังฝนตกทำให้ต้นไม้ชุ่มฉ่ำ มีกลิ่นดิน กลิ่นใบไม้ใบหญ้า สดชื่นมากกกกก ฟินนนนน-///////////-

เราเดินเรื่อยๆ มาตามทางจนออกมาบริเวณนอกวัด มาเจอร้านค้าข้างทางมากมาย ขายผัก ผลไม้ มันเผา ฯลฯ

อะโวคาโด้ววววววววว อยากกินนนนนน แต่ไม่รู้จะกินยังไงเลยไม่ได้ซื้อ -^-

มีอันนี้ที่พอจะกินได้เลย ลองซะหน่อยละกัน เหมือนเค้าจะเรียกว่าพิซซ่าเวียดนาม

มันเป็นแป้งปิ้ง โรยกุ้งแห้ง แล้วก็เครื่องเทศอะไรไม่รู้อ่า แต่รสชาดคือกุ้งแห้งแหละ พอกินได้ แต่ไม่กินก็ได้ 55555

ไม่มีอะไรแล้วเราว่าเราลงไปข้างล่างกันดีกว่า จะได้ไปที่อื่นต่อ เนื่องจากเราซื้อตั๋วกระเช้ามาแบบเที่ยวเดียว เราเลยถือโอกาสลองนั่งTaxi ลงไปที่จอดรถละกัน รถที่เรานั่งเป็น Taxi มิเตอร์คล้ายบ้านเรา ต่างแค่คนขับอยู่ข้างซ้าย แปบเดียวก็ลงมาถึงที่จอดรถ ไวกว่านั่งกระเช้าแฮะ (แพงกว่าด้วย 5555)

สถานที่เที่ยวแห่งที่ 2 .. พระราชวังฤดูร้อน เบ๋าได่ (Bao Dai’s Summer Palace) เป็นที่ประทับของจักรพรรดิเบ๋าได (Emperor Bao Dai) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2476

ตั๋วค่าเข้าชมราคา 15.000 VND

เราต้องใส่ถุงผ้าหุ้มเท้าด้วย เพื่อรักษาพื้นและความสะอาด

ห้องที่เปิดให้เราชมจะมีบัลลังก์จักรพรรดิ ห้องทรงงาน ห้องบรรทม ห้องอาหาร รวมถึงส่วนที่พักของพระมเหสี ซึ่งภายในพระราชวังไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป มีแค่บางส่วนเท่านั้นที่ถ่ายได้

มีคอสตูมให้ถ่ายรูปกับฉากห้องด้วย แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

สวนภายในพระราชวัง

จบทัวร์พระราชวังฤดูร้อนด้วยตัวเอง เดี๋ยวเราไปต่อที่สถานที่ต่อไป

ออกจากพระราชวังฤดูร้อน เบ๋าได่ แล้ว เราตกลงกับเพื่อนว่าจะกลับไปเช็คอิน และพักผ่อนสักหน่อยก่อน ตั้งแต่มาจากโฮจิมินห์ นอนรถนอนมา จนตอนนี้ยังไม่ได้หยุดอยู่กับที่เลย 5555  ระหว่างทางขี่รถกลับที่พัก เราหันไปเห็นโบสถ์ เลยบอกเพื่อนให้จอด ๆ ๆ ๆ แล้วแวะดูแปบนึง

สถานที่นี้เรียกว่า St. Nicholas Cathedral  เป็นโบสถ์สไตล์โรมัน มีลักษณะเป็นหอคอยยอดแหลม ตอนเราไปโบสถ์ปิด เข้าไปข้างในไม่ได้ เลยแค่ได้เดินดูรอบ ๆ

เราขี่รถออกมาสักระยะหนึ่ง เห็นมีจุดชมวิวข้างทางเลยแวะจอดรถดูหน่อย

และขี่รถต่อ ลงมาถึงบริเวณทะเลสาบ เห็นคนหาบของขาย แล้วเกิดอยากกินขึ้นมาเลยขอแวะลงหน่อย (จะถึงที่พักไหมวันนี้ ?)

ข้าวโพดปิ้ง 10.000 VND

พอละ จะกลับที่พักจริงๆ ละนะ ไม่แวะแล้ววววววววว

เราเช็คอิน เอาของไปเก็บ อาบน้ำ และเข้านอนเลย 555.. หลับกันจนถึงเย็น

ตื่นมาประมาณ 16.00 น. เราแพลนไว้แล้วว่าจะไปสถานีรถไฟดาลัด (Dalat Train Station) กัน ขี่รถออกจากตัวเมืองมาประมาณ 20-30 นาที

สถานีรถไฟดาลัด นับว่าเป็นแลนมาร์คของดาลัดเลยก็ว่าได้ ด้วยความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมสไตล์ Art Deco และความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้ทุกคนที่มาดาลัดต้องแวะมาเยี่ยมชมกัน

บรรยากาศข้างในสถานี

เดินทะลุเข้ามาจะเป็นส่วนรางรถไฟ

สายฮิพเตอร์รางเท้าแตะต้องมา ;)

เราเดินถ่ายรูปเล่นกันสักพัก ก็มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เข้ามาถ่ายรูปกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ เราเลยออกไปที่อื่นต่อดีกว่า (ไปเที่ยวต่อ ไม่รอละน้าาาาาาา)

ออกจากสถานีมาเจอลุงขายไอติม เย้ ๆ ไอติม 10.000 VND อร่อยย

จากสถานีรถไฟ เราจะไปต่อกันที่ทะเลสาบบบบบบ (ที่เราแอบแวะตอนขากลับจากโบสถ์)

ทะเลสาบซวนเฮือง (Xuan Huong Lake) เป็นที่ที่ไม่ว่าจะไปไหนเราต้องขี่รถผ่านที่นี่ตลอด เพราะว่ามันตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัดเลยจ้าา

เราหาที่จอดรถและลงมาเดินสำรวจรอบ ๆ ทะเลสาบกัน

(ข้างล่างโดมทองๆ นี้มีบิ๊กซีด้วย ต้องขี่รถอ้อมไปลงทางด้านหลังจะมีป้ายบอกทางลงอยู่ มีห้างในดาลัดดดดดด ไม่ธรรมดาเลยเมืองนี้)

รอบๆ บริเวณทะเลสาบจะมีพ่อค้า แม่ขายหาบของมาขายกัน บางเจ้าก็ตั้งร้าน วางเก้าอี้เล็กๆ ให้นั่งกินกันริมทะเลสาบเลย เป็นสถานที่ที่เหมาะมากสำหรับการมานั่งชิลและชมวิถีชีวิตของชาวดาลัด เพราะเราจะได้เห็นภาพของชาวบ้านที่มาปิกนิก ขี่จักรยาน ปั่นเป็ด และวิ่งจ๊อกกิ้งกัน

เต้าฮวยน้ำขิง คล้ายๆของบ้านเราแต่น้ำขิงของที่นี่จะหวานกว่า อร่อยๆ ต้องลอง

เรานั่งชมวิวอยู่ริมทะเลสาบจนใกล้ค่ำ ก็ถึงเวลาอาหารเย็น .. เย็นนี้เราจะพาไปกินแหนมเนืองที่ไม่ใช่แหนมเนือง

มีพี่ที่รู้จักกันแนะนำมาว่าต้องไปโดน !! อ่ะ ๆ ลองไปดู

เราทำการเปิดแมพเสิร์ชชื่อร้าน และก็มาเจอจนได้ ! (ร้านค่อนข้างหายากนิดนึง) ร้านจะเปิดตอนเย็น เพราะกลางวันเป็นร้านปริ้นป้าย หรืออะไรสักอย่าง บรรยากาศหน้าร้าน //เห็นแบบนี้แต่ลูกค้ามาเรื่อยๆ โต๊ะนี่ไม่ว่างเลยนะ (ทั้งร้านมี 3 โต๊ะ ที่ไม่ว่างเพราะกินเสร็จแล้วไม่ยอมลุกกันสักที 5555 หยอกๆ )

ร้านขายแหนมเนืองเมนูเดียว เพราะฉะนั้นไม่ต้องเลือก สั่งไปเลย 1 ชุด 2 ชุด แล้วเค้าจะจัดให้เรามาเป็นชุดให้เราเอง ราคาชุดละ 40.000 VND (1 ชุด กิน 2 คน กำลังดี)

หน้าตา ' แหนมเนืองเวียดนาม ' แผ่นแป้งที่ใช้ห่อเป็นแผ่นสามเหลี่ยม เครื่องเคียงที่ใส่ในแหนมเนืองคือไม่เหมือนที่กินที่ไทยเลย จะมีที่เหมือนกันแค่กล้วยดิบ แตงกวา และมะม่วงดิบ แต่วิธีการหั่นและการห่อก็ต่างกันอยู่ดี รวมถึงน้ำจิ้มด้วย ของเวียดนามนี่คือน้ำจิ้มถั่วเลยค่ะะะะ

มาสอนเรากินด้วย น่ารักอ่ะ (แม่ค้าหรอ? เปล่า.. เราเอง ฮี่ฮี่)

ห่อๆ ม้วนๆ โรลเป็นก้อนแล้วก็กิน พอกินเข้าไปแล้ว.. เอออออ มันดีย์ คือรสชาดดีเลยอ่ะ อร่อยยยยยยยยยย สัมผัสคือจะกรอบๆ กรอบผักหรือหมูแผ่นทอดไม่รู้ รวมกับน้ำจิ้มถั่วและหมูปิ้งนั้นเข้ากันดีเหลือเกิน ถ้าไม่เชื่อ ก็หาทางมาลองกันเองนะ ดีย์ 9/10 (หักคะแนนหาร้านยาก)

พออิ่มแล้วเราจะไปเดินย่อยอาหารกันที่ถนนคนเดินตรงลานกลางเมือง

เดินๆ ไปเห็นขนมปังหน้าตาหน้ากินแล้วอยากลอง คิดเสร็จก็เดินเข้าไปหน้าร้านเลย หยิบจานคีบๆ ขนมปังใส่จานมาลองอย่างละชิ้น และสั่งน้ำเต้าหู้ที่แม่ค้า (น้ำเต้าหู้มีให้เลือกหลายรสแบบผสมงา ชาเขียว ฯลฯ) จากนั้นเราก็ไปหาโต๊ะนั่งในร้าน แล้วแม่ค้าจะตักน้ำเต้าหู้มาให้เรา

บอกเลยว่า.. ไม่น่าอยาก 55555 คือมันก็กินได้แหละ แต่ไม่กินดีกว่า รสชาดขนมปังแต่ละอย่างไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ กินไปบ่นไปจนหมด ฮ้าาาาา

เราไปเดินเล่นชมบรรยายกาศกันสักพักก็กลับเข้าที่พัก ระหว่างทางกลับแอบแวะร้าน Windmills Coffee คาเฟ่เล็กๆ

กินชอคโกแลตร้อนก่อนนอนด้วย ฟินๆ 

อากาศทำไมดีแบบนี้ ยังไม่อยากกลับเข้าที่พักเลย แต่ต้องรีบไปนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นมาขึ้นรถแต่เช้า -*-

แล้วทริป 1 วันในดาลัดก็จบลงอย่างสวยงาม
(ยังอยากอยู่ต่อๆๆ คราวหน้าถ้ามีโอกาสมาอีกจะแพลนให้อยู่ดาลัทหลายๆ วันเลย ><)

________________________________________________________________

DAY 3: Nha Trang

สวัสดีเช้าวันที่ 3 ~~~ เรายังอยู่กันที่ดาลัด แต่ว่าเราจะอยู่ถึงแค่ช่วงเช้าวันนี้เท่านั้น เพราะเราได้ทำการจองตั๋วรถบัสไปที่ 'ญาจาง' เป็นที่เรียบร้อย

เรามารอขึ้นรถบัสกันอยู่หน้าบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้)  ถึงเวลารถก็มารับและมุ่งหน้าสู่ญาจาง

ระหว่างทาง รถแวะร้านอาหารและของฝากให้เราลงไปซื้อขนม เข้าห้องน้ำ

เวลาประมาณ 11.00 น. ก็เดินทางมาถึงญาจาง แพลนของเราที่นี่คือ '' มาเดินเล่น '' แพลนมาแค่นั้นจริง ๆ 5555 แค่อยากมาเห็น เที่ยวกันเอง ชิลๆ และจองตั๋วรสบัสนอนไปมุยเน่ไว้เลยสำหรับคืนนี้ เราจองตั๋วไปมุยเน่ที่บริษัททัวร์ที่เราลงรถ เพราะจะได้ฝากของเค้าไว้ได้ จากนั้นก็ออกเที่ยวเลย

เราเปิดแมพเดินตามทางมาเรื่อย จนมาถึง.. ทะเลลลลลลลลลล๊ !!! เย้ ๆ ๆ ๆ ๆ

บรรยากาศริมหาด เด็กเล่นน้ำ คนนอนแอบแดด~

บาร์ขายน้ำ ~

เราเดินตามชายหาดไปเรื่อย ๆ แวะถ่ายรูปบ้าง อะไรบ้างไปเรื่อย

แล็วก็หาที่นั่งเล่น (นอนเล่น) อย่างชิลลลลล อยู่ริมทะเลกันจนเย็น

พอท้องเริ่มหิวก็ไปเดินหาอะไรกิน จนไปเจอร้านอาหารเป็นแนวร้านข้าวราดแกง ก็ได้เมนูนี้มา เฝอหมูย่าง คือดีย์~~~~~~

กินเสร็จเราก็เดินต่อไปเรื่อย จนมาเจอร้านริมทาง มันคืออะไร ไม่คิดเยอะ เดินเข้าไปนั่งแล้วหยิบเมนูมาดูเลยจ้า

มันคืออะไรใครรู้มั่ง? o.O

เค้าหยดแป้งลงไปแล้วก็ใส่หมู ใส่กุ้ง ใส่ไข่ ทาด้าาาา ออกมาเป็นแบบนี้ เหมือนขนมครกแต่ก็ไม่ใช่ เป็นอาหารคาว

เราลองสั่งแบบใส่ไข่มา ปรากฎว่า มันดีๆๆ ๆ ๆ น้ำจิ้มอร่อย กินกับไอ่แป้งๆ นี่อร่อยเลย ชอบๆ 10/10 ไปเลย

หลังจากกินเสร็จเราก็ไปเดินเล่นชมเมืองต่อ พอใกล้ถึงเวลาขึ้นรถก็กลับไปอาบน้ำที่ร้านที่เราฝากกระเป๋าไว้ รอรถมารับ

เราออกจากญาจางประมาณ 20.30 น. และจะไปถึงมุยเน่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ..

ไม่มีคำไหนจะบรรยายสำหรับวันนี้ มันเหมือนจะไม่มีอะไร (ก็ไม่มีจริงๆ แหละ 5555) แต่มันรู้สึกสบายๆ ชิลๆ อย่างที่สุด ไม่ต้องคิดว่าจะทำอะไร ไม่ต้องขี่รถไปเที่ยวไหน อยู่นิ่งๆ เฉยๆ สูดอากาศริมทะเล ฟังเสียงคลื่น นอนบนหาด เอาเท้าเขี่ยๆ ทรายเล่น แค่นี้ก็ฟินแล้ว~~~~~~~~~~ บรรลุจุดประสงค์ของเราคือ การมาเดินเล่น จริงๆ ฮ่าฮ่า

สำหรับใครที่จะมา เราแนะนำว่ามาพักที่นี่สักคืนดีกว่า จะได้เล่นน้ำทะเล และพักผ่อนได้มากกว่านี้ด้วย แต่เวลาเราจำกัดเลยมาชิลได้แค่นี้จริงๆ -*-

________________________________________________________________

DAY 3: Mui Ne

มาถึงมุยเน่ก็มีเรื่องเลยจ้าาาาาาาาา (ใครอยากรู้อ่านสปอยเอานะ)

เนื่องจากเราไม่ได้เช็คกำหนดการเดินทางของรถบัสไว้ล่วงหน้า เราออกจากญาจาง 20.30 น. และมาถึงมุยเน่เวลา 02.00 น. ...  ตี 2 !!!

พอรถมาจอดที่บริษัททัวร์ที่เป็นจุดลงรถปุบ คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปตามโรงแรมที่ตัวเองจองไว้ปับ แต่.. เราไม่ได้จอง !!!! อ่าวววว เอาแล้วไงทีนี้ เหลือแค่เรากับเพื่อนอยู่ที่จุดลงรถ เรามองซ้ายมองขวา เห็นพี่ที่บริษัททัวร์นั่งอยู่ที่โต๊ะ เราเลยไปถามเรื่องทัวร์ทะเลทรายและทำการจองตอนนั้นเลย (ไม่มีการจองล่วงหน้าใดๆ) ได้ทัวร์เรียบร้อย แต่ทัวร์จะเริ่มตอนตี 4 ครึ่ง .. {{ อีก 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราจะไปสิงสถิตที่ไหนดีล่ะทีนี้ ,,คิดในใจ }} ระหว่างที่คิดตาก็เหลือบไปเห็นโต๊ะพร้อมเก้าอี้ หึหึ เราเลยบอกพี่ที่บริษัททัวร์ว่าขอรออยู่ตรงนี้จนถึงเวลาทัวร์ได้มั๊ย? จังหวะนี้มันต้องได้แล้วหละ ไม่มีที่ไปแล้ววววว พี่ที่ทัวร์ก็เสนอว่าเปิดห้องมั๊ย? เดี๋ยวหาให้ แต่เราคิดว่าอีกแค่ 2 ชั่วโมงเองเปลืองเงิน รอมันตรงนี้แหละ ! พี่เค้าก็โอเค แล้วแต่น้องเลยจ้าาาา คนเวียดนามนี่ใจดีจริงงงง 5555  และแล้วเราก็มีที่พักผ่อน .. ของีบแปบ

ทัวร์ทะเลทรายจะเริ่มในอีก 5 4 3 2 1 .. . Go !!! (ขณะนี้เวลา 04.30 น.)

เรากำลังมุ่งหน้าไป ' White sand ' ทะเลทรายขาว กันด้วยรถจี๊บ (jeep) ขออนุญาตภาพเบลอ เพราะรถขับไวจริงๆ ไวจนผมพันกันเลย

พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว

เรานั่งรถจนมาถึงทางเข้าทะเลทราย จากนี้ต้องเดินต่อเพื่อไปขึ้นเนินทะเลทราย หรือถ้าใครไม่สะดวกเดินเค้ามีบริการรถ ATV

ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม (คิดว่าเราจะเช่ามั๊ย?) และแน่นอนว่าเราเดินค่ะะะะะ

เดินตามกันมาเร็วววววว

คือปกติเดินบนทางเรียบก็เหนื่อยแล้ว แล้วนี่ต้องมาเดินบนทราย ขึ้นเนิน และเวลาเช้าตรู่ อื้อหือออออออ ยอดเนินทรายอยู่ไหน? ฮาโหลลลล

พระอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว ยังเดินไม่ถึงยอดเนินเลยจ้า

เห็นยอดริบๆ นั่นม้ายยย

ทำไมโกง -0- คนอื่นเค้าเดินกันมา จะขับรถขึ้นมาทำไมไม่บอกกกกก จะได้ติดมาด้วย โถ่วววววววว

เมื่อเราเดินกันจนมาถึงบนยอด บางส่วนก็กำลังจะลงแล้ว ฮ่าฮ่า

บนนี้มีกิจกรรมที่สนุกสุดๆ คือการสไลด์บอร์ด โดยไม่ใช้บอร์ด 5555 สรุปคือสไลด์ตัวเองลงไป ..จ้าาาาา สไลด์ลง แล้วต้องเดินขึ้นมาอีก

มีความนั่งชิลเล่นกับน้องหมา

เราเดินเล่น หามุมถ่ายรูปกัน ซึ่งต้องอาศัยทักษะการหลบหลีกนิดหน่อยให้ถ่ายยังไงไม่ติดคนอื่น 5555

พอซึมซับบรรยากาศทะเลทรายและแสงแดดจนพอใจแล้ว เราก็จะไปต่อกันอีกทะเลทรายหนึ่ง คือ ' Red sand '

เราเดินกลับมาที่รถ เพื่อจะไปทะเลทรายแดงกันต่อ

เรามาถึง Red sand กันในช่วงเวลาหนึ่งอึดใจเดียว (ประมาณ 15 นาที) มันไม่ได้ไกลกันหนิหน่า ยังไม่ได้งีบเลย -^-

เท่าที่ดูความต่างของ White sand และ Red sand ที่สังเกตุเห็นได้คือ สีของทราย.. ตามชื่อเลย white sand เม็ดทรายจะสีขาวละเอียด red sand เม็ดทรายจะสีออกส้มๆ และหยาบกว่าหน่อย

ที่นี่มีกิจกรรมสไลด์กระดานกันจริงจังมาก อย่างกับมีการแข่งขันเลย

เราเดินถ่ายรูปเล่นกันแปบนึงก็ลงแล้ว เพราะแดดเริ่มร้อน

ระหว่างทางลงมาเจอแม่ค้าหาบของมาขาย ก็ขอแวะอุดหนุนหน่อย

ได้ขนมมา เหมือนสาคู แต่เป็นสาคูไส้กุ้งแห้ง .. ตั้งแต่มานี่เมนูไหนไม่เป็นถั่ว ก็กุ้งแห้งนี่แหละ 5555555 ที่บอกนี่ไม่ได้จะบอกว่าไม่อร่อยนะ คือมันอร่อยอยู่ แต่เริ่มคิดแล้วว่าคนเวียดนามนี่ชอบถั่วกับกุ้งแห้งจริงๆ ดีที่เราชอบกินทุกอย่างเลย

จากทะเลทรายแดงเราจะไปต่อกันที่ ... ' Mui Ne Fishing Village '

พี่คนขับรถพาเรามาแวะดูวิถีชีวิตชาวประมงของที่นี่ (แต่.. ไหนเรือ? เค้าออกไปหาปลากันหมดแล้วหรอ? ทำไมตอนคนอื่นมามีเรือจอดริมทะเลกันเต็มละ เรามาผิดฤดูหรอ?? )

เราเดินเลาะๆ ทางเดินข้างบนมาจนเจอแม่ค้าขายของทะเล เจอปูววววว ว อยากกิ๊นนน ที่นี่เค้ามีบริการนึ่งอาหารทะเลให้เลยด้วยนะ แต่เราไม่ได้กินเพราะเดี๋ยวต้องไปเที่ยวต่อ -*-

เรากลับไปขึ้นรถเพื่อจะมุ่งหน้าไป ' Fairy Stream ' ต่อ

เดี๋ยวเราจะไปเดินหา Fairy stream กัน พี่คนขับพาเรามาส่งที่ทางเข้า แล้วเค้าก็ปล่อยเราลงไปเดินเอง

เราต้องเดินตามลำธารนี้ไปเรื่อย ๆ

จนมาถึงตรงนี้ เย้ ๆ ถึงแล้วววววว ลำธารนางฟ้า ? ใช่มั๊ย? Fairy Stream = ลำธารนางฟ้า ไง 555

มาเพื่อมาถ่ายรูปจริงๆ +เดินเล่นด้วยอ่ะ

หมดแล้วสำหรับทริป 1 วันในมุยเน่ " White sand, Red sand, Fishing village และ Fairy Stream "
ทุกที่ที่ไปวันนี้แปลกหูแปลกตาไปหมด นั่งรถเพลินมาก ทั้งเหนื่อยด้วย ทั้งสนุกด้วย
เป็น 1 วัน (จริงๆ ทัวร์ใช้เวลาแค่ 5 ชั่วโมงเอง ฮ่าาาา) ที่คุ้มจริงๆ

เราออกจากลำธารนางฟ้าประมาณ 8 โมงครึ่ง และกลับไปที่ขึ้นรถบัสเพื่อนั่งรถกลับโฮจิมินห์กันต่อเลย ((ไม่มีหยุดพักเลยจ้าาา))
แล้วเจอกันที่ ' โฮจิมินห์ ' นะ

________________________________________________________________

DAY 4 1/2: Ho Chi Minh city

กลับมาที่โฮจิมินห์แล้วค่าาาาาา เราออกจากมุยเน่ตอนประมาณ 9 โมง มาถึงโฮจิมินห์ตอนบ่ายๆ จากนั้นก็ไปเช็คอินโรงแรมที่เราจองไว้ที่

' Yellow House Saigon Hotel ' อาบน้ำและพักผ่อน (จริงๆคือเข้านอนเลย เหนื่อยย 555)

(ที่พักสำหรับคืนนี้ http://yellowhousesaigonhotel.com/)

พอถึงเวลา 17.00 น. เราก็ตื่นออกมาเดินเล่น หาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นวันนี้ เสิร์ชรีวิวจนมาเจอร้านนี้ ' Secret Garden Home-cooked Vietnamese Restaurant ' เป็นร้านอาหารบน rooftop พิกัด 158 Pasteur, Bến Nghé, Quận 1, Hồ Chí Minh, Vietnam

(หน้าตาทางเข้า ถ้าไม่ได้ดูรีวิวมานี่ไม่กล้าเข้าไปนะ พูดเลยยยยยย)

เราต้องเดินเข้าประตูนี้ ตึกมันเป็นเหมือนแฟลชที่มีคนอาศัยอยู่กันเป็นห้องๆ เราก็เดินไปเลยไม่สนใจข้างทาง ขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ ประมาณ 4 ชั้น  

พอมาถึงร้านข้างบน เฮ้ยยยย ทำไมมันต่างจากทางเข้ามาอย่างนี้ ~~~~ ร้านตกแต่งดีมาก ฟีลเวียดนามเก่าๆ

พนักงานก็รีบเข้ามาต้อนรับและถามเราว่า ได้จองโต๊ะมาหรือเปล่า.. เราตอบไปว่าไม่ได้จองมา พนักงานก็ทำท่าทีมองหาโต๊ะให้ โชคดีมีโต๊ะว่างอยู่สำหรับ 2 คนพอดี พอไปนั่งที่โต๊ะเราก็มองรอบๆ เห็นโต๊ะส่วนใหญ่มีป้าย reserved คิดว่าปกติร้านนี้อาจจะต้องจองมาก่อน แต่พอดีเรามาไว ถ้ามาช้ากว่านี้อาจพลาดได้

ขอดูเมนูก่อน.. ร้านนี้เป็นร้านอาหารเวียดนามใต้ เมนูก็จะเป็นอาหารเวียดนามเลย แต่แอบคล้ายๆ บ้านเราเหมือนกันนะ พวกเมนูผัดหมูใส่ผัก เราสั่งนู้นนี่ไป 3-4 อย่าง

ขออนุญาตลงภาพอาหารค่ะ เมนูแรกเลย.. น้ำตะไคร้ ไม่ได้ดีแค่ดีไซน์การใส่น้ำไว้ในขวดแก้วนะ แต่รสชาดน้ำก็ดีด้วย

อาหารค่อยๆ ทยอยออกมา เรากินอาหารไปด้วย เพลิดเพลินกับบรรยากาศไปด้วย มันฟีลกู๊ดมากกก

ถึงร้านจะค่อนข้างลึกลับหน่อย (ที่จริงไม่หน่อยเลยยยย ลึกลับเกิ๊นน) แต่มันดีย์มาก บรรยากาศดี แอบโรแมนติคผสมบูติคหน่อย ๆ ชอบมาก ให้คะแนน 10 10 10 ไปเลย

พออิ่มแล้วเราจะไปเดินเล่นกันต่อ..

บรรยากาศตอนกลางคืน อากาศกำลังสบายเลย เดินเล่นเพลินๆ

ก่อนจะกลับเข้าที่พัก เราไปแวะซื้อพวกน้ำกับขนมไปตุนที่ห้องไว้กินตอนดึกๆ กันที่ supermarket ในห้าง Vincom center

ได้ของกินเรียบร้อย ก็กลับเข้าที่พักได้ 

เวลาของวันนี้ก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ได้ตั้งแต่มุยเน่มาจนถึงโฮจิมินห์
และพรุ่งนี้เราจะเดินเที่ยวในเมือง 'โฮจิมินห์' กันนนนนนน

________________________________________________________________

DAY 5: Ho Chi Minh city

อรุณสวัสดิ์.. วันสุดท้ายที่เวียดนาม เราใกล้จะต้องจากกันแล้วววว ไฟล์ทกลับกรุงเทพของเราคือคืนนี้เวลา 21.35 น.

ก่อนออกไปเที่ยวเราตื่นไปกินข้าว กลับมาเก็บกระเป๋าและเช็คเอ้าห้องไว้เลย จะได้ไม่เสียเวลาออกไปแล้วกลับมาเก็บของอีก

วันนี้จะเป็นการทัวร์ Ho Chi Minh City Sightseeing ด้วยตัวเองงงงง โดยการเปิดแมพไปสถานที่ต่างๆ กิกิ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราออกไปเที่ยวกันเลย

1. พิพิธภัณฑ์ศิลปกรรม : Ho Chi Minh City Museum of Fine Arts (Open 08.00 - 18.00)

2. ตลาดเบ๊นถั่ญ : Ben Thanh Market หรือ Chợ Bến Thành (Open 07.00 - 19.00)

ขายพวกอาหารแห้ง ข้าวของ เสื้อผ้า และของฝาก รวมไปถึงบริเวณรอบๆ ตลาดด้วย

3. อนุเสาวรีย์ลุงโฮ : President ho Chi Minh Statue หรือ Tượng chủ tịch Hồ Chí Minh

บริเวณข้างอนุเสารีย์จะเป็นพวก shop ของแบรนด์เนม

4. โรงละคร Saigon Opera House (Municipal Theatre)

5. โบสถ์นอร์ทเธอดาม : Notre-Dame Cathedral of Saigon

6. ไปรษณีย์กลางเมืองไซ่ง่อน : Saigon Central Post Office

เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ก่อสร้างช่วงปี 1886 - 1891 ออกแบบโดย Gustave Eiffel สถาปนิกชาวฝรั่งเศส ผู้ที่ออกแบบหอไอเฟล และอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ แต่หลังจากนั้น 23 ปีก็มีการออกแบบและก่อสร้างใหม่โดยสถาปนิก Villedieu ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแบบอย่างสถาปัตยกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่งดงามที่สุดในเวียดนามที่มีหน้าต่างทรงครึ่งวงกลม ว้าวววว ว

บรรยากาศภายในไปรษณีย์

ทั้งหมดนี้เป็นสถานที่ที่เราเดินเที่ยวกันแบบชะโงกทัวร์ในวันนี้ ฮ่าฮ่า ส่วนตัวเราคิดว่าเวียดนามใต้มีสถาปัตยกรรมที่เป็นสไตล์ยุโรปผสมผสานกับตะวันตกเยอะมาก ซึ่งเป็นตึกแบบที่มีไม่มากในบ้าน ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปซะทุกที่ ทั้งคนเวียดนามก็อัธยาศัยดี ตลอดเวลาที่เที่ยวรู้สึกค่อนข้างประทับใจมาก (ถ้าไม่นับตอนโดนโกงบ้าง) ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เราอยากมาเรื่อยๆ เลย

ถึงเวลาต้องกลับไทยแล้ว..  See you agian ' Vietnam '

___________________________________________________________

ขอขอบคุณทุกคนมากๆ ค่ะ ที่ติดตามมาจนถึงวันสุดท้าย ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆ และทุกคอมเม้นต์ที่ร่วมแบ่งปันกัน :>

สุดท้ายนี้.. แทนคำขอบคุณที่ตามกันมา เราทำสรุปค่าเดินทางทั้งหมดคร่าวๆ ให้ รวมค่าเดินทางและค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ เป็นเงินไทย = 3,320 บาท 😄

อ่อ อีกเรื่องที่ลืมแชร์.. ประสบการณ์การโดนโกง และเกือบโดนโกง (อยู่ในสปอยนี้)

[Spoil] ประสบการณ์เกือบโดนครั้งที่ 1 ที่โฮจิมินห์ ตอนเย็นวันที่เราไปเดินเล่นกันแถวลานตรงตลาดเบ๊นถั่ญ มีคุณลุงขี่สามล้อมาชวนให้เราไปนั่งรถชมเมือง พยายามเอาสมุดที่คนเขียนแนะนำนั่นนี่มาให้ดู แต่สุดท้ายเราไม่ไป แล้วตอนกลับมาไทย เราเปิดไปเจอกระทู้ที่มีคนบอกว่าโดนโกงค่าสามล้อชมเมือง ที่ตอนแรกตกลงราคานึงแต่พอนั่งเสร็จคิดอีกราคานึง ในใจคิดว่าดีนะที่เราไม่ไปไม่งั้นอาจโดนเหมือนกระทู้นี้ก็ได้.. แต่อาจจะมีสามล้อดีๆก็ได้ แค่เราไม่เสี่ยงดีกว่า

ครั้งที่ 2 นี่คือโดนเลย ตอนที่อยู่ดาลัด เช้าวันที่จะเดินทางไปมุยเน่ เราคิดว่าต้องไปขึ้นรถบัสที่สถานีรถบัส เราเลยเรียกแท็กซี่มิเตอร์ไปจากที่พัก ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอดีว่าเราเข้าใจผิด รถบัสที่เราจะขึ้นไม่ได้มารับที่นี่ แต่ไปรับที่หน้าบริษัททัวร์แถวที่พักเราเลย เราเลยต้องนั่งรถแท็กซี่กลับไปที่พักอีกรอบ ระยะทางเท่ากันเป๊ะ แต่แล้วราคามันไม่เท่ากัน คือต่างกันเท่าตัวเลย เลยคิดได้ว่าเราน่าจะโดนโกงมิเตอร์แล้วละ แต่คิดในทางที่ดีคือ เรามาถึงเวียดนามแล้วสินะ 5555 เพราะมีแต่คนบอกมาว่าถ้าไปแล้วไม่โดนโกงคือไปไม่ถึง นี่ถึงแล้วจ้าาาา และเรื่องราคาของเล็กๆ น้อยๆ ยิบย่อยที่เราปล่อยไป ถือซะว่ามาเที่ยวสนุกๆ ถ้าใครมีโอกาสมาก็ระวังกันเอาเองนะ ไม่รู้จะแนะนำยังไง ฮ่าฮ่า

Wanderlyn

 วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 11.18 น.

ความคิดเห็น