ใน Partที่สองนี้ เราจะไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกวกันต่อนะครับ ส่วนที่เหลือจะเป็นในส่วนของน้ำตกซะส่วนใหญ่ สมกับคำกล่าวอยู่ว่า九寨归来不看水,黄山归来不看山 แปลได้ว่า หากได้เห็นจิ่วจ้ายโกวแล้วจะมิอาจแลสายน้ำใดๆ หากได้เห็นหวงซานแล้วจะมิอาจแลขุนเขาใดๆ

*ภาพชุดนี้ผมได้ไปก่อนที่อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกวจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2560 นะครับ


Pearl Shoals (珍珠滩) หรือ เนินไข่มุก ลักษณะเป็นพื้นที่บริเวณกว้างๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายน้ำบางๆที่ไหลลงมาจากยอดเขา เปรียบเสมือนเป็นม่านน้ำขนาดกว้างมากๆ น้ำไหลแรงไม่ใช่เล่นเลย

Pearl Shoals (珍珠滩) หรือ เนินไข่มุก ยังเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Journey to the West อีกด้วย

ในบางช่วงที่น้ำตื้นมากๆ เราจะเห็นตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่ใต้น้ำสีเขียวๆสวยงาม

Pearl Shoal Waterfall (珍珠滩瀑布) หรือ น้ำตกไข่มุก เป็นน้ำตกที่มีความใหญ่โต และความยาวมากๆเลยครับ ที่เห็นในภาพนี่คือส่วนนึงของน้ำตกเท่านั้น ลองดูขนาดเทียบกับตัวคนด้านล่างดู ว่าใหญ่โตแค่ไหน ที่สำคัญ ถ่ายรูปยากมากๆ เพราะคนเยอะสุดๆ

น้ำตกไข่มุก เป็นน้ำตกที่เรียกได้ว่า สวยที่สุดในอุทยานจิ่วจ้ายโกวแห่งนี้เลยทีเดียว ด้วยความกว้าง และขนาดที่ใหญ่โต เค้าจะทำทางเดินให้เราเดินเลียบน้ำตกลงไป โดยทางเดินจะค่อยๆลดหลั่นลงไปตามชั้นของน้ำตก เป็นการทำทางเดินที่เดินเข้าถึงน้ำตกง่าย และไม่ทำให้สูญเสียทัศนียภาพของน้ำตกอีกด้วย

ช่วงท้ายๆของ Pearl Shoal Waterfall (珍珠滩瀑布) หรือ น้ำตกไข่มุก จะเป็นทางเดินไม้ เลียบไปกับน้ำตก ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของน้ำตก จะเห็นได้ว่า ภาพทั้งสี่มุมอย่างกับเป็นคนละน้ำตกกันเลยทีเดียว

Tiger Lake ทะเลสาบเสือ เป็นอีกหนึ่งทะเลสาบที่มีอยู่มากมายในอุทยานจิ่วจ้ายโกว น้ำค่อนข้างจะนิ่งมาก เหมือนกระจกสะท้อนใบไม้เปลี่ยนสีลงในผืนน้ำเลย

The Shuzheng Waterfall (树正瀑布) เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่สวยงามของอุทยานจิ่วจ้ายโกว น้ำตกจะไกลลงมาตามชั้นหินที่ลดหลั่นลงมาหลายชั้น ก่อให้เกิดเป็นม่านน้ำขนาดแตกต่างกันมากมาย โดยสามารถเดินมาได้จากทางทะเลสาบเสือ

The Shuzheng Waterfall (树正瀑布) ถือได้ว่าเป็นน้ำตกแห่งแรกจากน้ำที่ไหลมาทางแม่น้ำ Zechawa ที่ไหลเข้าสู่ทะเลสาบ Shuzheng ต่อไปยังทะเลสาบแรด และทะเลสาบเสือต่อไป

The Shuzheng Waterfall (树正瀑布)ถือได้ว่าเป็นสถานที่เที่ยวแห่งสุดท้ายของอุทยานจิ่วจ้ายโกวของทริปนี้แล้ว ซึ่งก้อปิดท้ายได้อย่างสวยงามจริงๆ

จิ่วจ้ายโกว (Jiuzhaigou) แปลว่า หุบเขาเก้าหมู่บ้าน ได้ชื่อมาจากหมู่บ้าน Tibetan ทั้ง 9 ที่อยู่ภายในหุบเขานั่นเอง ซึ่งตอนนี้เราก้อกำลังจะเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านทิเบตแล้ว ที่เห็นอยู่นี่คือ กงล้อมนตรา หรือ กงล้ออธิษฐาน (Prayer Wheel) ประกอบด้วยวัตถุทรงกระบอกที่สามารถหมุนได้ ด้านข้างจะประดับไปด้วยตัวอักษรที่เป็นมนตราศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำว่า โอม มณี ปัทเม ฮัม ซึ่งเขียนด้วยภาษาธิเบตโบราณ เชื่อกันว่า การท่องมนตรานี้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นการสะสมผลบุญให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น และยังเป็นการแผ่ส่วนบุญกุศลให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นการก่อให้เกิดกรรมดีในชาติภพใหม่ ชาวธิเบตเชื่อว่าทุกครั้งที่กงล้อนี้หมุน เท่ากับเป็นการสวดมนต์ได้ ๑ จบ ดังนั้นผู้ที่ทำการสวดมนต์และหมุนกงล้ออธิษฐานไปพร้อมๆ กัน จะเป็นตัวช่วยเพิ่มพูนบุญกุศล ชำระบาปกรรมด้วยกรรมดี

ระหว่างที่เดินไปหมู่บ้านทิเบต จะเห็นวิวหุบเขาเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี สีสันหลากหลาย สวยงามสุดๆครับ

ถึงล่ะ หมู่บ้านทิเบต แต่ปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นแหล่งช๊อปปิ้งขายของพื้นเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นที่ระลึก ด้านในจะประกอบไปด้วยร้านต่างๆมากมาย ของขึ้นชื่อที่นิยมซื้อกันจะเป็นหวีที่ทำมาจากเขาของตัวจามรี ทางร้านบอกว่าหวีแล้วจะไม่เกิดไฟฟ้าสถิต ทำให้หวีผมได้อย่างราบลื่น

ตามสไตล์หมู่บ้านทิเบต จะมีธงมนตรา (Prayer Flag) ติดอยู่เต็มไปหมด ธงมนตรามีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ก่อนสมับพุทธกาล โดยนักบวชในลัทธิบอน ซึ่งบูชาภูตผีวิญญาณ ได้ย้อมผืนผ้าเป็นสีต่างๆตามความเชื่อในเรื่องความสมดุลของธาตุทั้งห้า สีที่ใช้กับธงมนตรามี 5 สี บอกความหมายถึงธาตุทั้ง 5 และจัดเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย หรือจากล่างขึ้นบนก็ได้ เริ่มจากสีเหลือง หมายถึง ดิน, สีเขียว หมายถึง น้ำ, สีแดง หมายถึง ไฟ, สีขาว หมายถึง ลม และสุดท้ายเป็นสีฟ้า หมายถึง อากาศธาตุ

ราวพุทธศตวรรตที่ 12 ในสมัยกษัตริย์ซงซัน กัมโป พุทธศาสนาจากอินเดียและจีนเริ่มมีอิทธิพลในทิเบตมากขึ้น กูรูรินโปเช หรือคุรุรินโปเช ผู้ซึ่งนำพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในทิเบต ผสานความเชื่อเรื่องวิญญาณในวัฒนธรรมทิเบตแต่ดั้งเดิม เข้ากับพุทธศาสนานิกายมหายาน บางข้อความบนผืนธงมนตราที่เห็นในปัจจุบัน ก็เป็นของกูรูรินโปเช ที่มีเนื้อความเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ความทุกข์ ความเจ็บป่วย และสภาพธรรมชาติ ธงมนตราจึงเป็นความเชื่อเรื่องวิญญาณในลัทธิดั้งเดิมของชาวทิเบต ผนวกเข้ากับการเผยแผ่พระสูตรในพระพุทธศาสนาวัชรยานหรือตันตระยาน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชาวพุทธทิเบตถึงทุกวันนี้

ในช่วงค่ำ เราก้อได้ไปชมการแสดงท้องถิ่นในชื่อว่า Tibet Show ซึ่งเป็นการแสดงของชาวทิเบตพื้นเมืองมาร่ายรำทำเพลง และมีนักร้องชื่อดังชาวทิเบตมาทำการแสดงด้วย เป็นอันจบวันที่3 อันยาวนาม วันนี้วันเดียวเที่ยวคุ้มค่ามากๆ

ตอนแรกเข้าใจว่าโอกาสชมความสวยงามของจิ่วจ้ายโกวคงหมดลงล่ะ เพราะวันนี้เราต้องนั่งเครื่องบินกับไปยังเฉิงตู แต่ระหว่างทางนั่งรถกลับวิวสวยมากๆ ไม่เหมือนเมืองจีนเลย พยายามถ่ายภาพผ่านกระจกรถอยู่นานแต่ก้อไม่สวย แต่แล้วเค้าก้อจอดรถให้เราลงไปถ่ายรูปกับแป๊ปนึง ภาพทิวเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สวยมากๆ

ภาพที่เห็นเป็นอาคารโบราณสไตล์ทิเบต จากที่สอบถามน่าจะเป็นโรงแรม ฉากหลังเป็นภูเขาที่มีต้นสนขึ้นเต็มไปหมด และมีหิมะเกาะขาวโพลนไปหมด เป็นฉากที่งดงามมากจริงๆ

ภาพสุดท้ายก่อนที่เราจะลาจิ่วจ้ายโกวไป เป็นสถานที่ๆสวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ ถ้ามีโอกาสจะขอกลับไปอีกสักครั้งนึง

กว่าจะเดินทางกลับมาที่เฉิงตูก้อเป็นเวลาค่ำล่ะ หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกเราก้อได้มาเที่ยวต่อยังตลาดในตัวเมืองเฉิงตู ตลาดนี้จำชื่อไม่ได้จริงๆว่าชื่อตลาดอะไร แต่มีอะไรแปลกๆให้เราดูมากมายเลย

ตลาดแห่งนี้มีของกินแปลกๆมากมาย เราจะเห็นภาพกระต่ายตัวเป็นๆอยู่ในกรงรอถูกนำมาทำอาหาร แม้กระทั่งไก่ฟ้าตัวสวยๆก้อยังมี ยังแปลกใจอยู่ว่ามันกินได้ด้วยเรอะ ที่อึ้งที่สุดคือ ตัวอะไรไม่รู้ตัวเล็กๆเค้าใส่อยู่เต็มกาละมัง หน้าตาคล้ายๆแมงป่อง แล้วมีกันทุกร้านเลย ดูอยู่ได้สักพักต้องรีบเดินหนี ที่นี่เค้ากินกันแปลกประหลาดจริงๆ

สภาพพ่อครัวที่กำลังปรุงอาหารอยู่ในตลาดแห่งนี้ คงได้แต่เดินชมของแปลกๆ ไม่กล้าที่จะลงไปนั่งกินจริงๆ


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

Voravud Santiraveewan

 วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.16 น.

ความคิดเห็น