ทริปนี้เราจะไปตะลอนๆเที่ยวคิวชูเหนือกัน เริ่มต้นวันแรกด้วยการบินจากเมืองไทยตอนตี1 แล้วไปถึงญี่ปุ่น8โมงเช้า พอถึงสนามบินก้อต้องนั่งรถบัสต่อไปยังสถานี Hakata (260เยน) พอไปถึงสถานี สิ่งแรกทีต้องทำคือ เอา JR Pass ที่ซื้อจากเมืองไทยไปแลกเป็นตั๋ว และจองรถไฟสายสำคัญๆที่จะไป จากนั้นนั่งรถไฟต่อไปยังเมือง Nagasaki ใช้เวลา 2 ชม นั่งยาวๆกันไปเลยครับ

ถึงแล้ววววว เมือง Nagasaki เมืองนี้เป็นเมืองท่าที่สำคัญของญี่ปุ่น จึงได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของยุโรป และจีน เข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเอง แต่พอมาถึงเดินออกจากสถานีรถไฟ Nagasaki รู้สึกได้ถึงความเงียบสงบ ไม่พลุกพล่านเหมือนเมืองใหญ่ๆ ชอบมากๆเลยครับ ลองดูบรรยากาศสิ

ที่เมือง Nagasaki ยังคงอนุรักษ์อะไรเก่าๆเอาไว้ ที่เมืองนี้ยังมีการใช้รถรางในการเดินทางอยู่เลย ซึ่งการท่องเที่ยวในเมืองนี้ก้อจะใช้รถรางนี่แหละเป็นหลัก เลยไปซื้อ One Day Pass มาราคา 500เยน มีขายที่ Front ของโรงแรมพอดีสบายเลย แต่รถรางเค้าดูไม่เก่าเท่าไหร่นะ สวยดีซะด้วยซ้ำ

มาถึงเมือง Nagasaki ก้อเกือบเที่ยงล่ะ ท้องร้องจ๊อกๆ เริ่มนั่งรถรางไปยังย่าน China Town ทันที แต่ยังไม่ได้เลี้ยวเข้า China Town เป้าหมายของมื้อนี้คือ เนื้อ Nagasaki อันมีชื่อเสียงนั่นเอง โดยเนื้อNagasakiนั้นมีความพิเศษตรงที่เนื้อมีความสดใหม่ เนื้อสีแดงมีมันแทรก เนื้อหวานอร่อยนุ่มลิ้น กินแล้วแทบละลายในปาก ซึ่งเกิดจากการเลี้ยงแบบปล่อย ถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากสถานที่แวดล้อมสวยงามเป็นธรรมชาติ มีอากาศอบอุ่นในฤดูร้อน และเย็นสบายในฤดูหนาว เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดในการขุนวัว ได้รับการเลี้ยงดูให้อ้วนท้วนสมบูรณ์เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีเลิศ ร้านที่เล็งไว้คือร้าน Matsusyo นั่นเอง

ไปถึงก้อสั่งเนื้อมา 4 ชิ้น แต่ละชิ้นหนัก 100g เห็นแว๊บแรก คิดว่าชิ้นด้านขวาจะเป็นชิ้นที่แพงที่สุด เพราะมีลายไขมันแทรกสวยงามเหมือนเนื้อดีๆที่บ้านเรานิยมกินกัน แต่ทายผิดไปเยอะเลย ชิ้นด้านขวาแพงเป็นอันดับที่3 เลย ชิ้นที่แพงที่สุดคือชิ้นที่ดูดำๆคล้ำๆด้านซ้าย ราคา 9,000 เยน ตามมาด้วนชิ้นด้านบน ราคา 6,000 เยน และชิ้นด้านขวา 4,500 เยน ส่วนชิ้นด้านล่างถูกสุด 3,000 เยน ลองคำนวนราคากลับเป็นเงินไทยละกันครับ อะไรจะแพงขนาดนั้น

พอได้เวลา Chef ก้อจัดแจงเอาเนื้อทั้ง 3 ชิ้นลงกะทะ (เนื้อชิ้นที่แพงที่สุด Chef แยกปรุงต่างหาก สมราคาจริงๆ) ซู่ๆๆๆๆๆ เสียงน้ำมันเดือดๆ พร้อมกลิ่นเนื้อหอมๆลอยเข้ามาแตะจมูก ไม่เป็นอันถ่ายรูปเลย 55555 หิว

ทาด้า!!!!!!!!! เสร็จเรียบร้อยแล้ว หน้าตาออกมาเป็นแบบนี้ เสต๊กเนื้อนางาซากิ ข้างนอกสุก ข้างในแดงๆหน่อย อร่อยสุดๆ ว่ากันถึงเนื้อ 9,000 เยน อย่างที่เห็นคือ เนื้อมันแทบไม่มีมัน แต่พอกัดเข้าปาก แทบละลาย เนื้อนุ่มเหมือนเนื้อที่มันเยอะๆเลย แต่ไม่มีมัน หอมอร่อยมากๆ สมราคาจริงๆ แต่กินเยอะกระเป๋าก้อแบนน๊า

หม่ำเนื้อเสร็จตบด้วยของหวาน ไอติมวนิลากับทาร์ตฟักทอง สรุปแล้วมื้อนี้หมดไป 25,500 เยน นี่ขนาดมื้อแรกนะเนี่ย

อิ่มท้องเสร็จก้อได้เวลาเที่ยวล่ะ นั่งรถรางต่อไปที่ Glover Garden กัน ปกติมาญี่ปุ่นได้ขึ้นแต่รถไฟไม่ว่าจะเป็นบนดินหรือใต้ดิน แต่มาที่เมือง Nagasaki ได้นั่งรถราง ได้อารมณ์ retro ไปอีกแบบนะเนี่ย

ถึงทางเข้า Glover Garden ล่ะ ต้องเสียค่าเข้าด้วย 610 เยน เมือง Nagasaki ถือเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ในสมัยก่อนจึงมีพ่อค้า และชาวต่างชาติมาอาศัยอยู่มากมาย Glover Garden ก้อถูกดัดแปลงมาจากที่อยู่อาศัยของพ่อค้าชาวตะวันออกเก่า โดยเจ้าของเดิมมีชื่อว่า Thomas Glover เป็นชาวอังกฤษ เลยเป็นที่มาของชื่อ Glover Garden นั่นเอง

ด้านในจะเป็นทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆ แต่ไม่ต้องห่วง เดินขึ้นบันไดมาสักพักจะเป็นบันไดเลื่อนแบบในรูปประมาณ 2-3ช่วง ดูจากลักษณะแล้ว น่าจะเป็นบันไดเดินขึ้นเดิม แต่ถูกดัดแปลงมาเป็นบันไดเลื่อน ระหว่างขึ้นสามารถมองออกไปชมวิวเมือง Nagasaki ที่ด้านข้างได้

Glover Garden ถูกจัดทำเป็นรูปแบบสวนกึ่งพิพิฑภัณฑ์ในแบบพื้นที่เปิดโล่ง โดยจะมีสวนแบบตะวันตก และอาคารที่สร้างมาตั้งแต่ยุค 1900 อยู่ 2-3 หลัง อาคารในรูปชื่อว่า Mitsubishi No.2 Dock House ถูกสร้างในปี 1896 เพื่อเป็นที่พักของเหล่าลูกเรือ เห็นแล้วก้อโอโห้ ที่พักลูกเรือนี่ ต้องสวยขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว วิวยังดีมากๆอีกด้วย

จาก Dock House มองลงไปโอ้โห วิวสวยมากๆเลยครับ เห็นเมืองนางาซากิทั้งเมืองเลย แออัดเหมือนกันนะเนี่ย อากาศเย็นๆ วิวสวยๆ เป็นอะไรที่ฟินมากๆ นี่วิวจากที่พักลูกเรือนะเนี่ย

เดินไปเรื่อยๆ ก้อมาถึง Glover House หรือบ้านของ Thomas Glover กันสักที บ้านหลังนี้สร้างเสร็จในปี คศ.1863 โดย Thomas Glover นั้นได้นำความรู้ด้านการต่อเรือ การทำเหมือง และการค้าเข้ามาพัฒนาอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นในยุคนั้นอีกด้วย

ข้างในบ้านของ Thomas Glover เค้าก้อจะจัดเป็นเหมือนพิพิฑภัณฑ์ย่อยๆ มันก้อจะดูเก่าๆหน่อย อย่างห้องนี้ก้อเป็นห้องนั่งเล่น ขอบอกว่าน่าอยู่มากๆเลย

เห็นรูปปั้นตานี่ยืนมองอะไรอยู่ไม่รู้ สวยดีเลยถ่ายมา แต่จริงๆแล้วนี่คือรูปปั้นของ Puccini หนึ่งในสองตัวละครเอกในนวนิยายอันโด่งดังของ John Luther เรื่อง Madame Butterfly ด้วยความที่รอบๆ Glover House มีรูปปั้นที่เกี่ยวกับ เรื่อง Madame Butterfly อยู่ล้อมรอบ บ้านหลังนี้เลยมีชื่อเล่นว่า Madame Butterfly Hous

ช่วงที่ไปยังมีใบไม้แดงอยู่บ้างประปราย ก้อเลยอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปใบไม้แดงอย่างที่เคยฝันไว้นิดๆหน่อย ^ ^

เดินไปเดินมา เจอนี่เลยครับ รูปปั้นจำลองของ Thomas Glover เจ้าของบ้าน Glover House พร้อมเพลทประวัติอยู่ด้านล่าง คุณ Glover นี่ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของเมืองนางาซากิเลย เพราะเป็นผู้นำความรู้เข้ามาพัฒนาเมืองในสมัยนั้น

ได้เวลาบ๊ายบาย Glover Garden ล่ะ ก่อนออกเห็นซุ้มประตูสวยดี พร้อมใบไม้แดงๆเหลือง เลยถ่ายมาสักหน่อย จริงๆจุดหมายต่อไปจะไปขึ้น Rope way ไปดูพระอาทิตย์ตกดินบนยอดเขา Inasa แต่เช็คข้อมูลมาไม่ได้ เค้าปิดซ่อมแซมช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนธันวาทุกปีเพื่อซ่อมบำรุง เลยอดเลย

ในประเทศญี่ปุ่นมี China Town อยู่ 3 แห่งด้วยกัน คือที่เมือง Yokohama เมืองโกเบ และเมืองนางาซากินี่เอง ที่ Tokohama จะใหญ่ที่สุด ส่วนโกเบผมเคยไปมาแล้วใหญ่กว่าที่นางาซากินะ

นางาซากิ (Nagasaki) ถือเป็นเมืองหน้าด่านแห่งแรกๆ ของญี่ปุ่นที่ได้เก็บรับวัฒนธรรมจีนเข้ามาในญี่ปุ่น โดยผ่านทางนักเดินเรือชาวโปรตุเกสที่เดินทางค้าขายสินค้าจากยุโรป ผ่านช่องแคบมะละกา มาเก๊า และแผ่นดินใหญ่ของจีน ก่อนที่จะมาขึ้นฝั่งที่ปลายทางในเมืองนางาซากิ ตั้งแต่เมื่อกว่า 420-450 ปีที่แล้ว

หลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชาวจีนในเมือง นางาซากิ เริ่มหนาแน่นจริงจังก็เมื่อ 150-200 ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยประมาณกันว่าในช่วงปี 1800-1850 ประชากรในเมืองนางาซากิ กว่า 1 ใน 3 เป็นชาวจีนที่อพยพเข้ามาประกอบกิจการค้าขาย และรับจ้างแรงงานอยู่ในเมืองท่าแห่งนี้

หน้า China Town จะมีคลองขนาดใหญ่ไหลผ่าน น้ำใสนิ่งมากๆ นิ่งจนเหมือนกระจกสะท้อนท้องฟ้าเลยทีเดียว

มาถึง China Town ที่เมืองนางาซากิแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะชิมขาหมูหมั่นโถวอันเลื่องชื่อ ขาหมูจะติดมันเยอะหน่อย แต่ไม่เลี่ยนเลย กัดเข้าไปปุ๊บ กลิ่นหอมของซีอิ้วกระจายไปทั่วปาก พร้อมกับสัมผัสนุ่มๆของขาหมูที่นุ่มเอามากๆ พร้อมด้วยหมั่นโถว อร่อยสมชื่อจริงๆครับ มีขายกันอยู่หลายร้านเลย ราคาไม่เท่ากัน ผมได้ลองไปสองร้าน ร้านแพงกว่าจะอร่อยกว่านะ

อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของนางาซากิคือ จัมปง นั่นเอง จัมปงดูเผินๆอาจจะเหมือนราเม็ง แต่ว่าเส้นจัมปงให้รสสัมผัสที่แตกต่างจาก ราเม็ง และ อุด้ง Champon หรือ จัมปง เป็นบะหมี่น้ำชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น ประดิษฐ์จากคนจีนอยู่ในนางาซากิ จัมปงจะใส่ผักเยอะมากๆ และเครื่องจะมีหลายอย่างมากๆคือ เนื้อหมู กุ้ง ปลาหมึก คะมะโบะโกะ หอย ผัก และบางครั้งจะมีข้าวโพด น้ำซุปก้อจะเป็นน้ำซุปกระดูกหมู แต่ไม่มันมาก รสชาติอร่อยเลยทีเดียว แถมมาจานใหญ่มากๆ จุกกันไปเลย

ที่สถานีรถไฟนางาซากิได้มีการจัด Christmas Market และมีการจัดตกแต่งประดับไฟไว้อย่างสวยงาม ที่สำคัญคือมีห้างให้เดินด้วย หลังจากเที่ยวกันมาทั้งวันก้อปิดท้ายด้วยการเดินห้างช๊อปปิ้งกันให้เพลิน

เที่ยวช่วงปลายปีก้อมีข้อดีตรงที่ได้ชมการประดับไฟปีใหม่ตามแหล่งสำคัญๆด้วย คุ้มจริงๆครับ ดูต้นคริสมาสต์ต้นใหญ่ที่หน้าสถานีนางาซากิกันอีกที

ทริปนี้ เที่ยวนางาซากิแค่ 1 วัน และพักอยู่ 1 คืนเท่านั้น จริงๆยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายที่เหมือนกัน แต่โปรแกรมคราวนี้ขอแค่นี้ก่อน Bye bye นางาซากิ ไว้มีโอกาสจะกลับมาอีกนะ


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

Voravud Santiraveewan

 วันพฤหัสที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.43 น.

ความคิดเห็น