ในวันที่6นี้ เราจะเดินทางจากเมือง Beppu กลับไปเที่ยวกันต่อที่ Fukuoka นะครับ


ทริปนี้ไม่มีเวลาออกไปถ่ายแสงเช้าแสงเย็นเลย แต่เมื่อคืนก่อนเล็งไว้ล่ะ สวนสาธารณะข้างๆโรงแรมนั่นเอง ถามทิศ ถามมุมพระอาทิตย์ขึ้นกับ front โรงแรมล่ะ วันนี้เลยตื่นแต่เช้าออกไปรอถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น ไปได้เส้นโค้งอะไรไม่รู้ กะสระเล็กๆมาประกอบฉาก 55555

อีกสักรูปกับ สวนสาธารณะข้างโรงแรม Bokai ในเมือง Beppu ก่อนที่จะกลับไปอาบน้ำแต่งตัว รอดู set อาหารเช้าว่าจะเป็นยังไง ระหว่างถ่ายรูปมีคุณลุงจูงน้องหมาออกมาเดินเล่นด้วย คุณลุงแกหันมาทักด้วย แต่ด้วยความที่เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยไม่ได้คุยกัน

ชุดอาหารเช้าของโรงแรม Bokai ถึงจะไม่อลังการงานสร้างเท่าอาหารเย็น แต่ก้อหรูหราไม่ใช่น้อย มื้อนี้มี นัตโตะ หรือถั่วเน่าญี่ปุ่นมาให้ด้วย แต่กินไม่ไหวจริงๆ 55555

ก่อนออกจากเมือง Bappu ก้อต้องไปลองของขึ้นชื่ออีกอย่างของเมือง Beppu นั่นก้อคือการอบทรายร้อนครับ พื้นที่บริเวณเกาะคิวชูอยู่ในบริเวณที่ใกล้กับภูเขาไฟ ทำให้ทรายร้อนมีแร่ตุและวิตามินมากมายที่ดีต่อสุขภาพ คนคิวชูเค้านิยมการอบทรายร้อนมาก นอกจากเรื่องผิวสวย แล้ว ยังเชื่อกันอีกว่าการอบทรายร้อนจะทำให้ระบบต่างๆภายในร่างกายเราดีขึ้นด้วย วันนี้เราจะมาอบทรายร้อนกันที่ Beppu Sand Bath กันครับ

Bappu Sand Bath จะมีพื้นที่อยู่ติดทะเลเลย ทำให้อบทรายร้อนไปด้วย ชมวิวทะเลไปด้วยได้ หลังจากจ่ายค่าบริการ 1,030 เยนเสร็จเรียบร้อย เค้าจะให้เราเปลี่ยนเป็นชุดยูกาตะ แล้วก้อเดินเข้าพื้นที่อบทรายได้เลย ทรายที่นี่จะเป็นสีดำสนิทเลย เจ้าหน้าที่จะขุดหลุมตื้นๆไว้รอ พอเราเข้าไปถึงก้อนอนลงไปเลย เค้าจะมีหมอนไม้ไว้รองศรีษะด้วย พอนอนเสร็จเจ้าหน้าทีก้อจะกลบทรายทับตัวเรา ก้อจะอุ่นๆ หนักๆทรายนิดนึง อบได้สัก 10-15 นาที ก้อเดินเข้าห้องน้ำไปล้างตัว แล้วเข้าไปแช่ออนเซ็นต่อได้เลย ออกมาเสร็จตัวเบาสบาย หายปวดเมื่อยเป็นปลิดทิ้ง

ได้เวลาบ๊ายบายเมือง Beppu ล่ะ นั่งรถไฟต่อไปยังสถานี Hakata ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เสร็จแล้วก้อเอาของไปเก็บโรงแรม และเตรียมตัวเที่ยวในเมือง Fukuoka กัน

นั่งรถไฟจากสถานี Hakata ไปลงสถานี Kidonanzoimmae เพื่อจะไปเที่ยววัด Nanzoin กัน วัดนี้ไม่ไกลจากใจกลางเมือง Fukuoka มากนัก นั่งมาประมาณ 20 นาที แต่บรรยากาศดูเงียบๆวังเวง ไม่ค่อยมีคนยังไงไม่รู้

วัด Nanzoin เป็นวัดที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักนัก แต่จริงๆแล้วมีอะไรที่น่าสนใจอยู่ในวัดนี้มากมาย และวัดนี้ยังดึงดูดนักแสวงบุญให้เดินทางมาที่นี่ในแต่ละปีกว่า 1 ล้านคนเลยทีเดียว เนื่องจากวัดนี้ เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของเส้นทางแสวงบุญของนิกายชินกอน(Shingon)ของท่าน Kobo Daishi มีระยะทาง 44 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 วัน

เดินเข้ามาจากหน้าวัด Nanzoin อีกนิด จะเจอรูปปั้นหน้าตาน่ากลัวอยู่ เบ้อเร่งเลย ตรงนี้เค้าให้อธิษฐาน แล้วเดินวนเสา 3 รอบ

ในวัด Nanzoin จะมีรูปปั้นเล็กๆแบบนี้วางไว้ทั่วไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความหมายอะไรหรือเปล่า

ในวัด Nanzoin เค้าวาง layout แปลกๆดี มีศาลเจ้า จุดโน้นจุดนี้ย่อยๆกระจายเต็มไปหมดเลย

ข้างๆทางในวัด Nanzoin จะมีแบบนี้ตลอดเลย พระพุทธรูปวางเรียงรายไปหมด แล้วจะมีต้นไม้บ้าง ตะไคร่น้ำบ้างขึ้นเต็มไปหมด

เดินไปเดินมา ในที่สุดก้อมาเจออาคารหลักของวัด Nanzoin สักที หน้าตาก้อคล้ายๆศาลเจ้าทั่วๆไปของญี่ปุ่นครับ

เดินไปเดินมาเหมือนจะทั่ววัด Nanzoin แล้ว แต่ยังไม่เจอไฮไลท์ที่เห็นจากใน Internet เลย จนเริ่มจะใจเสียกันว่ามาผิดที่หรือเปล่า แต่เอ๊ะ อะไรที่เจอๆมาตะกี๊มันก้อตรงนี่นา จนมาเจออุโมงค์ทางเดินนี่ ก้อเลยลองเดินเข้าไป

หลังจากทะลุอุโมงค์ในวัด Nanzoin มาแล้ว ก้อเจอทางเดินขึ้นเขายาวพอสมควร เลยเดินไปเรื่อยๆ มาเจอรูปปั้นพระทำจากหิน ที่เราจะเห็นอยู่ทั่วๆไปในญี่ปุ่น ซึ่งก้อคือ จิโซ โบซัสสุ หรือพระชิติกาภะ ในภาคญี่ปุ่น เป็นพระโพธิสัตว์ผู้พิทักษ์เด็กและเชื่อกันว่าท่านช่วยเหลือผู้หญิงท้องและผู้เดินทางด้วย จิโซ โบซัสสุ นับว่าเป็นพระที่ชาวญี่ปุ่นให้ความนิยมนับถือมาจนถึงปัจจุบันมากกว่าพระองค์ใด ๆ ด้วยลักษณะความเมตตา ทั้งที่ท่านไม่ได้รับคามนิยมในศาสนาพุทธของอินเดียตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับท่านมาถึงญี่ปุ่นเอาหลังจากพระองค์อื่น ๆ ถึงกระนั้นพิธีในการนับถือ พระจิโซ โบซัสสุก็มีอยู่กว้างไกล คนที่นับถือท่านสามารถสารพภาพบาปต่อ พระจิโซ โบซัสสุในเทศกาลที่เรียกกันว่า ' การสารภาพบาปแห่งจิโซ ' ช่วงที่ไปอากาศเริ่มเย็น ทางวัดเลยจัดหาเสื้อผ้า หมวก มาใส่ให้พระจิโซกันหนาว น่ารักมากๆเลย

เดินต่อไปอีกสักในวัด Nanzoin ก้อเจอพระจิโซ อีกกลุ่มหนึ่ง คนญี่ปุ่นนับถือศรัทธาพระจิโซมากเลย ตามตำนานเชื่อกันว่าท่านมีความสัมพันธ์กับธาตุของโลก และโลกแห่งความตายผู้คนในเอเชียกลางและจีนก็เชื่อว่าท่านเป็นผู้ปกป้องวิญญาณ ความเชื่อดังกล่าว แพร่เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับเชื่อกันอีกว่าพระจิโซ มักปกป้องวิญญาณของทารกเพราะเหตุที่พวกนี้ยังบริสุทธิ์ และเล็กเกินไปที่คนในบ้านจะห่วงหาอาทรโดยปกติเมื่อทารกตายเมื่ออายุน้อยมาก พ่อแม่ก็มัวกันแต่เศร้าโศกเกินไปกว่าจะมีสติทำบุญส่งให้เด็กนั้นไปเกิดใหม่ ทำให้วิญญาณของเขาต้องเร่ร่อนอยู่ที่หาดทรายริมแม่น้ำไซโนกาวาระ ในนรกภูมิ วิญาญาณเด็กพวกนี้จะใช้เวลากลางวันอยู่ส้รางศาลของตัวเองเพื่อให้เกิดพลังพอจะทำให้พ่อแม่พี่น้องบนโลกคิดถึง แต่ทารกก็ไม่เคยสร้างศาลสำเร็จ ศาลของพวกเขาจะถูกปีศาจทำลายทิ้งในตอนกลางคืนทุกครั้งกล่าวกันว่าพระจิโซปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยวิญญาณเด็กเหล่านี้ท่านจะคว้าตัวเด็กห่อแล้วพับไว้ในจีวรของท่าน บอกกับเด็กเหล่านั้นว่าท่านคือพ่อและแม่ของเด็ก ทำให้วิญญาณน้อย ๆ มีที่พึ่งไม่ต้องเร่ร่อนอีกต่อไป ความเมตตาของท่านทำให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา เห็นได้จากตามสุสานและตามซอกต่าง ๆ บนถนนมักมีรูปหินของพระจิโซแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งตัวเด็กตั้งอยู่นับไม่ถ้วนและมักมีกองก้อนกรวดพูนอยู่ตรงเท้าทุกรูป ผู้บูชาไม่เพียงไม่ได้ขอเพียงให้เด็กที่ตายไปมีความสุข แต่ยังขอความปลอดภัยให้ชีวิตตนด้วยความที่จิโซ โบซัสสุ เป็นผู้อุปถัมภ์โลกแห่งความตาย คนจึงเชื่อกันว่าท่านมีฤทธานุภาพต่ออายุแบบเดียวกับพระฟูเก็น โบซัสสุ

ในที่สุดก้อเจอไฮไลท์ของวัด Nanzoin แล้ว พระพุทธรูปนอนนี้ยาว 41 เมตร สูง 11 และหนักถึง 300 ตัน เป็นพระพุทธรูปทองสำริดขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นหรืออาจจะของโลกเลยทีเดียว มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับรูปปั้นพระใหญ่ที่เมืองนาระ Nara และ คามาคูระ(Kamakura) สร้างขึ้นเมื่อปี 1995

บริเวณเท้าของพระพุทธรูปนอนในวัด Nanzoin จะมีลวดลายที่สวยงามอยู่ เห็นคนเข้าไปอธิษฐานขอพร และจับที่เท้า พวกเราก้อไม่รอช้า เข้าไปขอพรกันบ้าง

ด้านหน้าของพระพุทธรูปนอนในวัด Nanzoin สร้างเป็นแท่งๆ ไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่เดาๆเอาว่าตัวอักษรที่เขียนอยู่น่าจะเป็นชื่อของผู้บริจาค

พระพุทธรูปนอนในวัด Nanzoin โดยทั่วๆไปพระพุทธรูปในญี่ปุ่นมักจะเป็นแบบนั่ง แต่ที่พระพุทธรูปนี้เป็นแบบนอนเพระว่าวัดนันโซอินนั้นได้บริจาคเงินช่วยเหลือพระในประเทศพม่าหลายครั้ง จึงมีการตอบแทนด้วยการส่งตอบแทนด้วยการส่งพระสารีริกธาตุมาตอบให้วัดนันโซอินจึงสร้างพระพุทธรูปนอนที่เป็นที่นิยมในประเทศพม่าขึ้นมาเป็นที่เก็บ และยังว่ากันว่าเงินที่ใช้ในการสร้างนั้นมาจากเจ้าอาวาสที่ชนะล็อตเตอรี่หลายครั้ง 55555

จริงๆก่อนจะเดินถึงพระใหญ่ของวัด Nanzoin มีบ่อปลาอยู่ แล้วมีโทริอิ นำทางไปสู่ทางเดินขึ้นเขา แต่ที่ยังไม่ได้พูดถึงเพราะว่า . . .

โทริอิที่เป็นทางเดินขึ้นเขาของวัด Nanzoin มีโคมไฟแบบญี่ปุ่นเรียงรายอยู่ ซึ่งตอนมาถึงครั้งแรก เฮ้ย มันสวยมากอ่ะ เลยเดินขึ้นเขาไปจนสุด พอตอนกลับ 4โมงกว่าๆเอง แต่ฟ้าเริ่มมืดล่ะ เพราะเป็นหน้าหนาว เฮ้ยๆๆๆๆ ร้องดังมาก เค้าเปิดไฟในโคมไฟที่เรียงรายขึ้นเขา เหมือนภาพในการ์ตูนเลย รีบวิ่งเลยครับ ไปถ่ายรูปอีกรอบ

เห็นโคมไฟตรงทางเดินขึ้นเขาของวัด Nanzoin ที่เปิดไฟเรียงๆกันไปแล้วฟินสุดๆ ชอบมากๆเลย เสียดายไม่สามารถถ่ายมาให้สวยเท่าที่ตาเห็นได้ ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาเจอวิวแบบนี้แบบไม่คาดฝันเลยจริงๆ

หลังจากเดินทางเดินสวยๆขึ้นเขาที่วัด Nanzoin ขึ้นมาจนสุด จะเจอศาลเจ้าเล็กๆตั้งอยู่ แต่แบบว่า รู้สึกว่าระหว่างทางขึ้นมามันสวยกว่าเยอะเลยอ่ะ

ช่วงเย็นได้เวลาหาของกินล่ะ มาญี่ปุ่นทีไร เป็นต้องตามหา Okonomiyaki กิน ดูไปดูมา ก้อเลือกได้ร้านที่อยู่ในตึก Yodobashi ข้างๆสถานีรถไฟ Hakata

โอโคโนมิยากิ หรือที่เรียกกันติดปากคนไทยว่า "พิซซ่าญี่ปุ่น" มีที่มาจากคำว่า "โอโคโนมิ" แปลว่า สิ่งที่ชอบ และ "ยากิ" แปลว่า ปิ้ง, ย่าง พอนำมารวมกันก็จะแปลได้ว่า เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ชอบมารวมกัน แล้วปิ้งย่างบนกระทะ ส่วนผสมของโอโคโนมิยากิจึงมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน

มาแล้ว หลังจากนั่งดูเชฟทำอยู่นาน น้ำลายสอเลย 55555 ร้านนี้เค้าเด่นที่น้ำซอสที่ทา โดยใช้สูตรลับเฉพาะของทางร้านเอง นึกแล้วก้ออยากกลับไปกินอีก อร่อยมากๆเลย

อิ่มหนำสำราญกันแล้ว วันนี้เราก้อค้างกันที่โรงแรมแถวๆสถานี Hakata ครับ เหลืออีก  2 วันที่เหลือ เราจะเที่ยวอยู่แถวๆนี้กันล่ะ

Voravud Santiraveewan

 วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.11 น.

ความคิดเห็น