ผมเองมีปัญหาด้านสายตาค่อนข้างมาก ถ้าไม่ใส่แว่นคือทำงานไม่ได้ เวลาไปเที่ยวถ้าถ่ายภาพแบบไม่ใส่แว่นจะโฟกัสภาพได้ไม่แม่นยำ หรือบางทีอ่านป้ายชื่อสถานที่ไม่ได้เพราะเบลอ ฉะนั้นขับรถก็ต้องใส่แว่นครับ  ส่วนจะให้ผมใส่คอนแทคเลนส์นะหรือ กลัวครับ ไม่ชอบออะไรมาสัมผัสดวงตา ขอใส่แว่นดีกว่า

วันนี้ได้มาเยี่ยมเยียน ร้านแว่น KT Optic ตอนนี้เขามีบริการฟรี ๆ เกี่ยวกับการเช็คสายตาและการล้างแว่น เขา บริการทุกคน ย้ำว่าทุกคน ต่อให้ไม่ซื้อเขาก็ให้ฟรีครับ แค่เรามาเยี่ยมชม แว่นภายใน KT Optic โดยแว่นของเราจะได้รับการปรนนิบัติอย่างดี

แว่นไม่ใช่แค่อุปกรณ์ที่ช่วยให้เรามองเห็นชัด แต่มันคือเครื่องประดับที่ทำให้เรานั้นดูดี หรือเปลี่ยนบุคลิกได้

ขั้นตอนแรก แว่นของเราจะได้รับการล้างแบบ Deep Cleansing แว่นตาด้วยระบบ Ultrasonic เราจะเห็นคราบมันคราบสิ่งสกปรก หลุดออกมาให้เห็น ๆ กันเลย

เราจะเห็นสีขาว ๆ ขุ่นๆ ที่หลุดลอยออกมาจากขอบแว่น ซึ่งเราล้างน้ำปกติมันจะไม่หลุดออกมาแบบนี้



ต่อมาก็เอาแว่นเราไปปรับแต่งด้วย Parameter Board เพราะแว่นใช้ไปนาน ๆ ทรงก็จะถูกเปลี่ยนไปอาจจะไม่กระชับระยะเลนส์ผิด เขาก็จะวางเทียบกับ Parameter Board


จากนั้นมาดูการเปลี่ยนอะไหล่เช่นแป้นรองจมูก อาจจังดำมาาาาก โดยที่เห็นเขียว ๆ เป็นคราบเหงื่อครับแบบนี้ไม่ต้องล้างครับ ให้เปลี่ยนเลย

ต่อมาดูความกระชับของขาแว่น หากใส่แล้วไหล ไม่พอดีเขาก็จะดัดขาให้ด้วยความร้อน ซึ่งจะใช้เฉพาะขาแว่นที่เป็นพลาสติกนะครับ แล้วก็ตรวจสอบอีกรอบว่ากระชับไหม

และแล้วเราก็ได้แว่นเหมือนใหม่มา จากนั้นถ้าต้องการ up grade ข้อมูลของสายตา ถ้าเราไม่ได้วัดมานานแล้วก็ควรจะวัดอย่างยิ่งครับ วัดฟรีนะครับ

การตรวจวัดสายตาของที่ KT Optic มีระบบมาตรฐานที่เรียกว่า KTAC 15 ขั้นตอน จากทั้งชีวิตที่เคยวัดมาต้องยอมรับว่าที่นี่วัดได้หลากหลายขั้นตอนละเอียด สุด ๆ ขั้นตอนเยอะมากครับ ผมพอจำได้หลัก ๆ ดังนี้

  1. ตรวจวัดสายตาด้วยเครื่องวัดแบบ Automated Refractometer ซึ่งคนทั่วไปชอบเรียกว่า เครื่องวัดสายตาคอมพิวเตอร์ เครื่องจะยิงแสงอินฟราเรตส่องเข้าไปที่ดวงตา เพื่อดูการหักเหของแสงจากกระจกตา และแก้วตา ทำให้ทราบค่าของสายตา ซึ่งเราจะเห็นเป็นรูปทุ่งหญ้าและบ้านหลังคาแดง ซึ่งทางฝั่งของเจ้าหน้าที่เขาจะเห็นเป็นภาพดวงตาของเรา พอเสร็จแล้ว ก็จะ print ผลการวัดออกมา  ซึ่งวิธีนี้เรียกว่าการวัดสายตาแบบ Objective คือคนที่วัดไม่ต้องทำอะไรแค่เอาตาไปมอง



  2. ต่อมาเจ้าหน้าที่จะวัดว่ากล้ามเนื้อของดวงตาทำงานผิดปกติหรือไม่ โดยให้มองวัตถุอย่าง pointer เคลื่อนไปมา ถ้าเกิดตาเรารวมตรงกลางแปลว่าตาเข ส่วนของผมปกติครับ
  3. วัดว่าสายตาแพ้แสงหรือไม่ สรุปว่าผมแพ้ครับ แต่อาการนี้เป็นทุกคนครับ เพระาว่าใช้คอมบ่อย ๆ เนี่ยปะทะกับแสงอยู่ตลอด ๆ
  4. จากนั้นทดสอบสายตาหลัก โดยจะมีกระดาษเจาะรูแล้วให้มองไปที่รูตรงกลาง ถ้ามองเห็นชัดที่ตาใด แปลว่าตานั้นเป็นตาหลัก ของผมตาซ้ายเป็นตาหลัก เพราะพอปิดตาซ้าย ตาขวาก็มองไม่เห็นอะไรเลย
  5. วัดแบบ Subjective คือการวัดที่ผู้ถูกวัดต้องมีส่วนร่วมด้วย เครื่องมือตัวนี้เรียกว่า Phoroptor ซึ่งผมจะต้องบอกเจ้าหน้าที่ว่าชัดหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่จะทำการเปลี่ยนเลนส์หรือหมุนเลนส์ไปมา สำหรับที่นี้เป็น Phoroptor แบบระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ต้องมานั่งหมุน ๆ อยาเปลี่ยนค่าสายตาก็ กด ๆ ๆ ได้เลย ซึ่งเราจะต้องมองจอภาพที่อยู่ไกลออกไป โดย จอภาพปลายทางมันจะเปลี่ยนไปตามแบบทดสอบ ซึ่งอันนี้ดีครับเพราะถ้าบางร้านเป็นแบบตัวอักษรตายตัว บางที เราตอบแบบจำ ผลการวัดอาจผิดพลาดได้
  6. วัดสายตายาวตามอายุ ซึ่งผมมีปัญหานี้คือ ปัจจุบันไม่สามารถมองเห็นอะไรใกล้ ๆ ได้แล้ว ต้องขยับออกไปประมาณนึง ซึ่งพอขยับไปมันก็เล็กมา ทำให้เดี๋ยวนี้ผมเหมือนคนแก่เลย ต้องเอามือถือมาถ่ายภาพ ฉลากยาหรือฉลากที่ตัวหนังสือเล็ก ๆ ไม่งั้นผมไม่เห็น โดยเขาจะให้ถือปากกาแล้วให้เราเลื่อนเข้ามาใกล้ ๆ ตัว และระยะไหนเบอลให้หยุด แล้วจึงวัดระยะ
  7. จากนั้นวัดระยะสายตาตามอายุด้วยเครื่องPhoroptor อีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่จะเปลี่ยนเลนส์ไปมาเพื่อให้ระยะนี้มองเห็นชัดที่สุด
  8. จากนั้นใช้ Trial Lens ใส่แว่นมาให้ผมลองใส่ดูว่าเห็นชัดเจนไหมแล้วออกไปเดินดูว่าพื้นลอยไหม เห็นชัดเจนไหม ถ้าเห็นแล้วก็แปลว่าแว่นก็ถูกระยะแล้ว


พอได้ค่าสายตาเรียบร้อยแล้วก็จบขั้นตอนครับ เราก็จะรู้ว่าสายตาเราเป็นยังไง แต่ถ้าต้องการจะตัดแว่นสายตา ต่อเลยก็มีขั้นตอนดังนี้ครับ

  1. เจ้าหน้าที่ Optical Stylist จะพาไปเลือกเลนส์ ที่เหมาะสมกับการใช้งาน เลนส์ที่นี่มีหลายหลายแบบให้เลือก


  2. เลือกแว่นที่เหมาะสมกับหน้า ที่นี่มีแว่นให้เลือกตั้งแต่ราคาพันต้น ๆ จนถึง สามหมื่นปลาย ๆ โดยแว่นส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ชั้นนำ แต่ถ้าเลือกไม่ถูกลองหยิบมาสัก 4 อัน แล้วไปที่เครื่อง ถอดรหัสดวงตาด้วยเครื่อง Visioffice 2 เทคโนโลยี Eye Code ของ Essilor โดยจะมีการถ่ายภาพแว่นที่ดีที่สุด 4 อัน มาเป็นภาพ ๆ ให้เราดูผ่านหน้าจอ



  3. พอได้แว่นที่ต้องการแล้วก็จะมีการวัดค่าพารามิเตอร์ เพื่อวัดระยะของลูกตาให้พอดีกับเลนส์แว่น ถ้าเป็นที่อื่นจะให้มองไปมองมาแล้วเอาปากกาขีดที่เลนส์ หรือบางทีก็จะมีเครื่องคล้าย กับกล่องส่องทางไกลมาให้เรามอง แต่ที่นี้ใช้ Visioffice 2 ในการวัดให้ โดยการใส่แว่นตาที่ต้องการพร้อมกับกรอบพลาสติกที่มีจุด mark เพื่อให้เครื่องอ่านค่าของระยะตา โดยการไปยืนตามจุดแล้วขยับไปมา โดยผลของการวัดจะเป็นข้อมูลที่ส่งต่อไปให้กับทีมที่ตัดเลนส์ดำเนินการอีกที ขั้นตอนนี้สำคัญมากนะครับ ต่อให้เราวัดสายตาแม่นยำเพียงใด แต่ระยะของดวงตากับเลนส์ผิดเพี้ยนคืออาจจะใช้ไม่ได้เลย ปวดตา มืนหัวได้นะครับ



จากนั้นก็รอครับ เมื่อกลับมารับแว่นพนักงานก็จะเตรียมใส่ชุด set อย่างดี พร้อมให้คำแนะนำการดูแลรักษาแว่น และส่งมอบแว่น ด้วยบริการที่เป็นมิตร


สรุป

  • มีกระบวนการตัดแว่นที่ละเอียดมาก ถึงแม้ว่าจะขาดเครื่องมือไปบางชิ้น แต่ผมว่าการวัดละเอียดเครื่องมือระดับนี้ก็น่าจะเพียงพอต่อความแม่นยำ
  • มีบริการเปลี่ยนอะไหล่ ถ้าเป็นช่วยส่วนมาตรฐานเขาก็มีให้ฟรี
  • ตรวจเช็คสภาพแว่นเดิม ดูแลล้าง ปรับระยะดัด ให้เรา เหมือนได้แว่นใหม่กลับมาใส่กระชับ สะอาดอีกครั้ง
  • ราคาเริ่มต้นแว่นค่อนข้างสูง กรอบแว่นอย่างต่ำคือ 3,000 up แต่ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ใส่ใจอย่างเต็ม

สนใจบริการแบบนี้สามารถไปได้ที่ KT OPTIC สาขา  Future Park รังสิต ชั่น 1 ฝั่งเซนทรัล 
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละสาขาได้ที่ https://www.ktoptic.com/

#KTOPTIC #ร้านแว่นตา #รีวิวร้านแว่น #กรอบแว่นสายตา #คอนแทคเลนส์

กินเที่ยว360

 วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 22.37 น.

ความคิดเห็น