“ฮาลา บาลา” หลายๆคนอาจยังไม่คุ้นหูเท่าไหร่นัก

ว่าสถานที่นี้อยู่ในประเทศไทยหรือป่าว

และคำตอบที่ใช่ก็คือ สถานที่นี้อยู่ที่ประเทศไทย

ปลายสุดด้ามขวานของประเทศไทยเรานั่นเอง

ฮาลา บาลา เป็นผืนป่าที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ หรือเรียกได้ว่า amazon แห่งอาเซียน

ประกอบด้วยป่าสองผืนระหว่าง 2 จังหวัด คือ ป่าฮาลา ในจังหวัดยะลา และป่าบาลา ในจังหวัดนราธิวาส

ด้วยความที่ฮาลาบาลา มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก เป็นป่าดิบชื้น ที่มีความอุดมสมบูรณ์

มีความชื้นตลอดทั้งปี และยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า

แต่ถ้าพบเห็นกันได้บ่อยๆก็คงเป็น นกเงือกที่มีมากกว่าหลายชนิด

ชุมชนจุฬาภรณ์พัฒนา 9 เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่อยู่ติดกับผืนป่าฮาลาบาลา

ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่หวาย อำเภอธารโต จังหวัดยะลา

เป็นชุมชนประวัติศาตร์ ที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์ ที่อพยบมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย

และยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาตร์คอมมิวนิสต์มาลายาที่ไว้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆให้ได้เรียนรู้กัน

ชุมชนที่ไม่ถูกปรุงแต่งใดๆ แต่มีแต่ความงามจากธรรมชาติที่สร้างขึ้นรายล้อมอย่างสมบูรณ์

เราเลือกวิธีการเดินทางมายังชุมชนนี้ โดยเริ่มจากเดินทางจากกรุงเทพไปลงที่สนามบินหาดใหญ่

และเช่ารถจากหาดใหญ่เพื่อเดินทางมายังชุมชน

ระยะทางจากสนามบินหาดใหญ่มายังชุมชนนั้นระยะทางประมาณ 223 กิโลเมตร 

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชม.

หลายๆคนที่เดินทางมาก็คงหวั่นใจไม่น้อยในการเดินทางมายังสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ที่เรามักได้ยินเรื่องที่ไม่ค่อยดี ด้านเรื่องความไม่สงบในพื้นที่

แต่พอได้มาสัมผัสแล้วมันทำให้เราได้สบายใจกับที่นี่ขึ้นมาพอสมควร

เส้นทางที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางหลักๆ ถนนดีมาตลอดเส้นทาง 

มีเพียงบางช่วงเท่านั้นที่กำลังปรับปรุงทำถนนอยู่

เราเริ่มออกเดินทางจากสนามบินหาดใหญ่โดยตั้งเป้าหมายมาที่เขื่อนบางลางก่อน

เพราะชุมชนหมูบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9 นั้นจะอยู่เลยเข้าไปจากเขื่อนอีกประมาณ 30 กิโลเมตร

เมื่อเดินทางถึงเขื่อนก็แวะชมธรรมชาติของสันเขื่อนกันก่อน

การท่องเที่ยวชุมชนหมูบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9 นั้นจะมีเป็นโปรแกรมคือ 2 วัน 1 คืน

โดยกิจกรรมหลักๆก็จะมี

เดินป่าระยะสั้นประมาณ 3-4 กิโลในผินป่าหลังชุมชน (ป่าฮาลาบาลา)

ชมน้ำตกฮาลาซะห์ และต้นสมพงษ์ยักษ์

ล่องเรือ ณ ทะเลสาปฮาลา-บาลา และล่องเรือสู่ต้นน้ำ คลองน้ำใส

ชมทะเลหมอกยามเช้าที่ผาหินโยก

ชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ คอมมิวนิสต์มาลายา

หลังจากที่เราเดินทางออกจากเขื่อนบางลางด้วยระยะทางที่เหลืออีกเพียง 30 กว่ากิโลนั้น

แต่เต็มไปด้วยหนทางอันคดเคี้ยว ลัดเลาะมาเรื่อยๆ ผ่านชุมชนต่างๆ

สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นทุเรียนที่ออกผลเต็มต้น

เราเดินทางมาเรื่อยๆ จนสุดทางที่ชุมชนหนึ่งที่เป็นจุดหมายของเราในวันนี้

ที่ “ชุมชนหมูบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9”

เมื่อมาถึงเราก็พบกับโก้ที่มาต้อนรับพาเราเก็บของเข้าที่พัก แนะนำจุดต่างๆในชุมชน

และนัดแนะเวลาพร้อมที่จะเริ่มโปรแกรมของเราในบ่ายวันนี้

คือการเข้าไปชมน้ำตกฮาลาซะห์ โดยเราจะใช้เส้นทางทางป่า

เพื่อชมธรรมชาติไปยังน้ำตกในระยะทาง 3 กิโลนิดๆ

เมื่อเข้าสู่ผืนป่าเราก็สัมผสได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของที่นี่ ความชื้นของอากาศ


ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่รายล้อมรอบเราไปตลอดทาง

โก้ได้เล่าความเป็นมาต่างๆที่ชุมชนนี้ให้ได้ฟัง รวมทั้งให้ความรู้ของป่าไม้ไปตลอดทางให้เราได้ฟัง

เส้นทางนี้ด้วยความที่เป็นป่าดิบชื้นจึงไม่แปลกที่เราจะต้องเจอเจ้าถิ่นมาทักทายบ้าง

อย่างเช่น ทากตัวน้อยๆที่มาคอยต้อนรับกระโดดเกาะแข้งเกาะขาเราไปด้วยนั่นเอง

หากใครมีอุปกรณ์ป้องกันทากเตรียมมาเปื่อกันด้วยก็ดี

แต่การที่เราเจอทากอาศัยอยู่นั้นก็หมายถึงการแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าด้วย


หลังจากเราเดินไปได้ไม่นานเราก็ไปหยุดพักกันที่ลำธารเพื่อล้างหน้าล้างตา

กับแหล่งสายน้ำใสอันชดชื่นที่มาจากป่าแห่งนี้


ระหว่างทางเราก็จะพบกับรอยเท้าสัตว์ต่างๆเช่นพวกกระทิง หรือหมูป่าที่ออกมาหาอาหารกันบริเวณแถวนี้

แล้วยิ่งถ้าโชคดีเราก็จะเห็นฝูลนกเงือกที่บินโฉบไปโฉบมาอยู่ด้านบนเหนือต้นไม้

และเราก็เดินมาถึงแล้ว “น้ำตกฮาลาซะห์”

น้ำตกที่มีความสูงเป็นร้อยเมตรกับสายน้ำที่ไหลเย็น กระทบหินตกลงมาเป็นสาย

เรานั่งชมความงามของน้ำตกได้พักใหญ่ๆพอให้ได้หายเหนื่อย


เพื่อเตรียมพร้อมกับโปรแกรมต่อไปของเย็ยวันนี้คือการไปล่องเรือชมทะเลสาบฮาลาบาลา

เพื่อไปยังแหล่งน้ำใสที่ “คลองน้ำใส”



ระหว่างที่นั่งเรือไปยังคลองน้ำใสนั้น ถ้าวันไหนใครพกดวงมาด้วย ก็อาจจะทำให้เราได้เห็นนกพันธุ์ต่างๆ

หรือสัตว์ป่าต่างๆที่ออกมากินน้ำที่บริเวณทะเลสาบนี้ด้วย

ในที่สุดเราก็มาถึงแล้วคลองน้ำใส ที่ใสสมชื่อ ใสจนเห็นหินด้านล่าง

กับน้ำที่เย็นมากๆ ที่ทำเอาอดใจไม่อยู่จากอากาศที่ร้อนช่วงกลางวัน

จนต้องไปนอนแช่น้ำเย็นๆให้ชื่นใจ

หลังจากที่กลับมายังเกสเฮ้าท์อาบน้ำเรียบร้อย

อาม่าก็พร้อมโชว์ฝีมือทำกับข้าวไว้รอให้เราได้ทานกันในเย็นวันนี้

อาหารทั่วไปจะเป็นอาหารท้องถิ่นของที่นี่ ผักทุกอย่างปลูกเองปลอดจากสารพิษใดๆ

รสชาติไม่ต้องพูดถึง เรามาที่นี่เติมข้าวสองจานตลอด

ตรงบริเวณชุมขนก็ยังมีร้านค้าเล็กๆของอาเปะ หายห่วงสำหรับคนติดขนมอย่างเรา

เช้าวันนี้เรามีนัดกับหลิงปิง 5:30 เพื่อไปดูทะเลหมอกที่ผาหินโยก


ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณ 30 นาที

จากจุดทางขึ้นริมถนนไปจนถึงจุดชมวิวผาหินโยกระยะทางก็ประมาณ 500 เมตร

แต่จะเป็นทางลัดเลาะป่ายางขึ้นไปเรื่อยๆชันบ้างเป็นบางจุด

แต่ถ้าดูภาพนี้ก็รู้เลยว่าทางไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะเด็กๆขนาดนี้ยังขึ้นมาได้สบายๆ

ชาวบ้านแถวนี้ก็พาญาติๆที่มาเที่ยวมาชมวิวด้วยเหมือนกัน

คนที่นี่น่ารักมากๆ คุยสนุก เหมือนที่เค้าว่าคนใต้ใจดีจริงๆ

หลังจากลงมาจากผาหินโยก กลับมาทานข้าวพักให้หายเหนื่อย เราก็เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์

ประวัติศาตร์ความเป็นมาของหมู่บ้านนี้ก่อนต่อ

ซึ่งจะมีอาม่าที่จะมาเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆตั้งแต่ก่อนเกิดหมู่บ้านนี้

จนถึงปัจจุบันที่มีการจับมือเจรจาสันติภาพกันแล้ว

จบทริปสำหรับกิจกรรมที่หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9

แล้วก็เดินทางไปยังสถานที่ต่อไป “เบตง”

t.aroundtogether

 วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 16.46 น.

ความคิดเห็น