สวัสดีฤดูฝน Rainy @ เลย...ก๋อ

“จ.เลย” เป็นจังหวัดที่คนนิยมไปเที่ยวมากที่สุดอีกแห่งของภาคอีสาน ทั้งวิถีชีวิต ประเพณี งานบุญและวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ อีกทั้งเป็นดินแดนแห่งภูเขา ที่เที่ยวทางธรรมชาติมีทั่วทุกอำเภอ สามารถเที่ยวได้ทั้งปีมีเสน่ห์ทุกฤดู นี่แหละ "ดินแดนแห่งทะเลภูเขา หนาวสุดในสยาม" 

คราวนี้อ้ายกึ่มเลือกมาเที่ยวหน้าฝนบ้าง อยากสัมผัสความเขียว สายหมอกและความชุ่มฉ่ำ ครั้งนี้ผมลองเดินทางแบบรถสาธารณะ ลองดูสิมันจะม่วน จะเมื่อย จะผิดแผนยังไง ตามอ้ายกึ่มมาโล้ด

ทริปนี้ 3 วัน 2 คืน  “กทม. - เลย - ภูป่าเปาะ - เชียงคาน - ภูลมโล - ภูเรือ- กทม.” ใช้เวลาให้คุ้มที่สุด   ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง ฝึกการวางแผนและปรับเปลี่ยนแพลนตามสถานการณ์

________________________________________________________________

วันที่ 1 : สถานีขนส่งผู้โยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต2) - จ.เลย-ภูป่าเปาะ - เชียงคาน

________________________________________________________________

ผมเดินทางด้วยรถทัวร์ “แอร์เมืองเลย” เที่ยว 20.30 น.

05.00 น. ถึงสถานนีขนส่งผู้โยสารเลย ล้างหน้าล้างตาแล้วก็รีบหารถประจำทางไปภูป่าเปาะต่อ

05.45 น. เดินทางด้วยรถบัส ขอนแก่น - เลย ลง อ.หนองหิน ค่าโดยสารเพียง 35 บาท ห่างจากตัวจังหวัดเลยประมาณ 45 กิโลเมตร จากนั้นเราก็โทรให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมารับ ที่ปากทาง อ.หนองหิน ไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูป่าเปาะ ระยะทางประมาณ 22 กม. กว่าจะถึงก็ปาไป 7 โมงกว่าๆ เรารีบวิ่งขึ้นรถอีซิ่งขึ้นภูป่าเปาะ ค่าโดยสารไป-กลับคนละ 60บาท ให้ไวให้ฟ้าวเลยลุง ผมจะไม่ทันหมอก

ใครเคยมาเที่ยวเลย จะคุ้นชินกับการนั่งรถอี่ซิ่งหรือรถอี่แต๊กเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการต้องปีนขึ้นเขาไปชมวิวต้องรถอี่ซิ่งนี่แหละ ถึงไหนถึงกัน สนุกสำหรับผู้มาเยือนอย่างเราเลยละ

“ภูป่าเปาะ” หรือที่นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฟูจิเมืองเลย

เปาะ” เป็นชื่อไผ่ในท้องถิ่นที่ขึ้นเต็มภูเขาพบเห็นโดยทั่วไป ชาวบ้านนิยมใช้ลำไผ่เปาะมาทำกระบอกข้าวหลามเพราะมีเยื่อไผ่เยอะและเหนียว จึงเป็นที่มาของชื่อ “ภูป่าเปาะ” นั่นเอง

จุดเด่นของที่นี่คือ เราจะสามารถมองเห็น “ภูหอ” มีลักษณะเป็นภูเขาสูงปลายยอดตัดราบบนภู ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ จนเป็นที่ขนานนามชื่อว่า “ฟูจิเมืองเลย” จุดชมวิวภูป่าเปาะ สามารถเห็นวิวได้แบบ 360 องศา สามารถชมพระอาทิตย์ได้ทั้งขึ้นและตกในจุดๆเดียว ยอดภูป่าเปาะ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร ตั้งอยู่ที่บ้านผาหวาย ตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดเลยที่ห้ามพลาดเลยละ

มาสายขนาดนี้ยังเห็นหมอก ขอบคุณเด้อที่ยังรอ 

ถ่ายรูปกันเพลินเลย รอบเช้าวันนี้มีนักท่องเที่ยวแค่ 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกขึ้นมาตั้งแต่ตี 5 ได้ลงเขากลับไปแล้ว เหลือแต่พวกผม ฟินเลย

ครั้งแรกของผมที่ได้มาเยือนที่นี่ ชอบเลยละ วิวสวยแปลกตาดี อยากมาเก็บมุมนี้อีกครั้งจัง จะมารอบเช้าๆ เลย จะได้ไม่พลาดหมอก

หากเพื่อนๆ ต้องการเดินทางขึ้นไปชมภูป่าเปาะ 

สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ 

ผู้ใหญ่บ้านผาหวาย คุณบุญลือ โทรศัพท์ 087-4243410 

ผู้ช่วยฯ พัด โทรศัพท์ 096-7472886

สายแล้ว ผมก็รีบไปต่อ วันนี้ต้องไปนอนที่อ.เชียงคาน รถอี่ซิ่งมาส่งที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูป่าเปาะ ที่นี่มีห้องน้ำบริการ ร้านค้า ร้านข้าว ฝากท้องยามเช้าที่นี่ได้เลย ก่อนให้ผู้ช่วยฯ ไปส่งเราที่ปากทาง อ.หนองหิน เช่นเคยเราก็รอรถบัสไป จ.เลย ไม่ว่าจะไปอำเภอไหนของจังหวัดเลย ต้องมาขึ้นรถที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเลย 

พร้อมแล้วก็เดินไปยังท่ารถ เปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อย ขึ้นรถสองแถวสุดคลาสสิค

จ.เลย - อ.เชียงคาน ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร ค่าโดยสารรถสองแถวเพียง 35 บาท พอถึงเราก็นั่ง  สกายแลบไปยังที่พัก ผมจองที่พักที่ “บ้านครูอ้อ” ผ่าน Agoda ครูอ้อกันเองและใจดีมาก ให้รถมอเตอร์ไซด์เราไว้ขับเที่ยวด้วยละ ในช่วงบ่ายผมเลยแว้นไปที่แก่งคุดคู้

แก่งคุดคู้ อีกหนึ่งที่เที่ยวที่น่าสนใจ แวะมากินข้าวกลางวันบนแพริมแม่น้ำโขง มองวิวที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตาทอดตัวยาวขนานไปสองฝั่งไทย-ลาว ใครชอบล่องเรือเที่ยวตามลำแม่น้ำโขงก็มีให้บริการ สัมผัสธรรมชาติสองฝากฝั่งโขง ดูวิถีชีวิตของชาวประมงน้ำโขงได้อย่างใกล้ชิดและแวะช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองมากมากหลากหลาย

    อ.เชียงคาน เป็นอำเภอเล็กๆ ชายขอบของไทยติดกับประเทศลาว มีแม่น้ำโขงทอดยาวกั้นกลาง เป็นอำเภอที่น่ามาเยือนอีกที่ ทั้งวิถีชีวิตและผู้คนที่เป็นมิตร และยังมีจุดท่องเที่ยวธรรมชาติสวยๆ ให้เที่ยวชม เช่น แก่งคุดคู้ ภูทอก ที่นี่เที่ยวได้ทุกฤดู เป็นเมืองที่ไม่เคยเงียบเหงา มีผู้มาเยือนตลอดทั้งปี ที่พักเยอะแยะ มีนำเที่ยวแบบเหมาๆ โดยสกายแลบ อยากไปไหนบอกอ้ายสกายแลบโล้ด ยามเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีถนนคนเดินที่ซิคๆคูลๆ ช็อป ชิม เที่ยวถ่ายภาพสวยๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน ตอนเช้าใครอยากตื่นมาตักบาตรเห็นแล้วจะนึกถึงหลวงพระบางที่ สปป.ลาวเลยละ ส่วนใครอยากไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกสวยๆ วิวเหนือลำน้ำโขงที่ “ภูทอก” ก็ไม่ควรพลาดอีกเช่นกัน

    เดินไป กินไป มีอะไรให้ชิมเยอะเลย

    มาที่นี่ เค้าบอกว่าต้องกินอันนี้เลย กุ้งปิ้ง

    ปูก็มีเด้อ

    พอเดินเหนื่อยแล้ว ก็ได้เวลากลับไปพักผ่อน เก็บแรงไว้ตื่นไปดูทะเลหมอกที่ "ภูทอก" เรามีนัดกันตี 5 นะ

    ________________________________________________________________

    วันที่ 2 :  เชียงคาน - เลย -ภูลมโล - ภูเรือ

    ________________________________________________________________

    ภูทอก เป็นอีกจุดท่องเที่ยวหนึ่งที่ใครมาเที่ยวเชียงคานต้องไม่พลาด ชมความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นกับทะเลหมอกสวยๆ ที่ปกคลุมเมืองเชียงคาน ถ่ายรูปไปอวดใครๆ ได้อย่างเต็มอิ่ม รถสองแถวรับส่งขึ้นลงภูทอก รอบแรกล้อหมุน เวลา 05.00 น. ราคาไปกลับ 25 บาท รถเวียนขึ้น-ลง จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ตามใจเรา

      ฟ้าเน่าไร้แสงตะวันพร้อมฝนลงเม็ดปรอยๆ มีหมอกให้เห็นแค่นี้ก็ดีใจแล้ว สดชื่นอิหลีเด้อ

      ถ่ายรูปอิ่มแล้ว เราก็แว้นตากฝนกลับไปยังที่พัก เช็คเอ้าท์แล้วไปขึ้นรถที่ท่ารถสองแถว ครูอ้ออาสามาส่งพวกเรา ขอบคุณมากนะครับ เราขึ้นรถรอบ 8.30 น. ไปสถานีขนส่งผู้โดยสารเลยอีกครั้ง เพื่อไปขึ้นรถไปเที่ยวภูลมโลต่อ ทำเวลาสุดๆ ทริปนี้สู้ตาย

      จาก จ.เลย ไปบ้านน้ำพุง ด้วยรถตู้ เลย-หล่มสัก ค่าโดยสาร 140 บาท จากนั้นให้รถของชมรมฯ กกสะทอนมารับเราที่ปากทางบ้านน้ำพุง เพื่อพาไปสูดอากาศและเที่ยวภูลมโล เอ๊ะ ภูลมโลมันเที่ยวหน้าฝนได้ด้วยหรอ เราเองก็ไม่เคยมา สรุปเที่ยวได้ครับ ทั้งหมอก ทั้งอากาศ ทั้งวิวสวยมากๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นดอกซากุระบานเหมือนฤดูหนาว แต่เราได้เห็นอะไรเขียวๆ หมอกขาวๆ วิ่งมาปะทะหน้า แถมฝนให้ด้วย ฮ่าๆๆ อากาศช่วงบ่ายไม่ร้อนเลย มันช่างเย็นสบาย ประมาณ 19-20 องศา ป๊าดติโธ่ ฟินแท้ นักท่องเที่ยวก็แทบจะไม่มีมีเลย

      ภูลมโล อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า บนรอยต่อของ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เลย และเพชรบูรณ์ ไฮไลท์ที่นี่คือ ทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือ ซากุระเมืองไทย ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เมื่อถึงฤดูหนาว ฤดูกาลบานสะพรั่งของดอกซากุระ แต่งแต้มให้ภูเขากลายเป็นสีชมพูสวยงามมากๆ จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวของจังหวัดเลยที่ควรพลาด

      รีวิวช่วงที่ดอกซากุระบาน https://th.readme.me/p/14683

      เราจะไม่รีวิวถนนหนทางที่เราฝ่ามา มันโคตรลื่น เล๊ะ ระยะทางไกลกว่าฝั่งบ้านร่องกล้า แต่วิวสวย อากาศดีมาก 1500 บาท โคตรคุ้ม ไอ้เราก็รีบด้วย กลัวกลับไป อ.ภูเรือ มืดไป รีบเที่ยวรีบถ่ายรูปดีกว่า ฝนก็วิ่งไล่มาติดๆ โคตรมันส์บอกเลย ฮ่าๆๆ 

      ชมวิวไปก่อนนะครับ เย่าพึ่งเบื่อละ นี่แหละชะโงกทัวร์ที่แท้ทรู

      รถพี่พาพวหผมมาเที่ยว ขับโดยพี่ประจบ อัธยาศัยดีมากๆ คุยเก่ง แถมมีแก้วมังกรจากสวนสดๆ ให้เรากินด้วย ขับรถดีทำเวลาสำหรับคนมีเวลาน้อยอย่างผมได้เที่ยวจนครบทุกจุด

      ถ้าฤดูหนาว นักท่องเที่ยวจะเยอะมาก แต่หน้าฝนเราก็เหมาดอยเลยละ ฟินเนอะ

      หน้าหนาวจะชมพูๆๆๆๆ

      หน้าฝนจะเขียวๆ สวยคนละแบบเนอะ ชอบฤดูไหนก็จัดไป

      ผมใช้เวลาในการเดินทางไปยังภูลมโลรวมเที่ยวและถ่ายรูปนานมาก ตั้งแต่เที่ยงวันยัน 16.00 น. พอออกจากภูลมโลมาเราก็โชคร้ายไม่มีรถประจำทางเหลือแล้ว ผมรอรถตั้งแต่ 16.00 น. จนถึง 19.30 น. ก็ไม่มีวี่แววจะมีรถบัสผ่านมาสักคัน วันนี้ผมจองที่พักไว้ที่ อ.ภูเรือ แล้วด้วย เลยต้องโทรหาทางชมรมฯ กกสะทอนให้ช่วยไปส่งผมที ฝนก็ตก ท่านประธาณชมรมฯ กกสะทอนสงสารอาสาขับรถไปส่งที่ อ.ภูเรือ ระหว่างทางพี่เค้าก็ชวนคุยและเล่าเรื่องราวต่างๆ ถึงที่มาที่ไปของภูลมโล รวมถึงเรื่องตลกโปกฮาเของนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เจอหลายๆ       รูปแบบ อย่างสนุกสนาน ขอบคุณมากนะครับ แถมมีไส้กรอกอีสาน น้ำเสาวรสและฝรั่งกิมจูกรอบๆ จากสวนที่ปลูกเองเอามาให้เราได้กิน ไม่งั้นคงหิวข้าวแน่ๆ ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีเสมอ คนเลยน่ารักแท้แน๊ว ฮักเลย หากเพื่อนๆ อยากนอนที่นี่ก็มีโฮมสเตย์ มีที่พัก เรียนรู้วิถีชีวิตเที่ยวชมสวนแก้วมังกร ขิง เสาวรส ฝรั่ง ชิมและช็อปผลิตผลทางการเกษตรของชาวบ้านที่นี่ได้เลย 

      หากใครสนใจมาเที่ยวที่นี่ สามารถติดต่อทางชมรมฯ กกสะทอน ได้นะครับ ค่ารถ 4 วีลที่โคตรลุยจะพาเราไปเที่ยว ราคาเหมาอยู่ที่ 1500 บาทไปกลับ นั่งได้ประมาณ 10 คนเลยละ โคตรคุ้ม 

      สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 

      ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนกกสะทอน โทรศัพท์ 062-5570912

      ผมมาถึงที่พัก ที่ อ.ภูเรือ ประมาณ 21.00 น. ฝนก็ไม่หยุดตก รีบพักผ่อน วันนี้เหนื่อยมาก พรุ่งนี้เช้าผมติดต่อเช่ารถที่จะพาขึ้นไปเที่ยวยอดภูเรือ อุทยานแห่งชาติภูเรือไว้แล้ว นัดกับเจ้าของรถตี 5 

      ________________________________________________________________

      วันที่ 3 : อ.ภูเรือ - เลย -กรุงเทพฯ

      ________________________________________________________________

      เวลา 05.00 น. ผมนัดรถมารับที่รีสอร์ต ระยะทางจากจากปากทางเข้าอุทยานฯ (ข้างตลาดภูเรือ) เดินทางขึ้นเขาอีกประมาณ 4 กิโลเมตร ก็ถึงที่ทำการอุทยานฯ ถนนภายในอุทยานแห่งชาติเป็นถนนลาดยางสวนทางกันได้

      ฝนก็ยังไม่หยุดตก คงไม่ต้องหวังวิวและทะเหลมอกหรอก แต่เราก็จะไป เพราะข้างบนอากาศหนาวเย็น ชอบๆ หมอกขาวๆ ฟุ้งไปทั่วบริเวณ สูดอากาศอันแสนบริสุทธิ์ก่อนกลับกรุงเทพฯ

      "อุทยานแห่งชาติภูเรือ" ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.หนองบัว อ. ภูเรือ จ. เลย

      ยอดภูเรือ มีความสูงประมาณ 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำให้มีอากาศเย็นตลอดปี จุดชมวิวที่คนนิยมไปดูพระอิทตย์ขึ้นและทะเลหมอก มีหลายจุดด้วยกกัน ทั้งยอดภูเรือและผาโหล่นน้อย เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม สามารถมองเห็นภูหลวง ภูผาสาด ภูครั่งและทะเลภูเขา อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 3 กิโลเมตร จากลานจอดรถเรามาสามารถเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ไปยังผาโหล่นน้อยก่อน แล้วค่อยเดินไปยังยอดภูเรือได้ ระยะทางไม่ไกลมาก ประมาณ 1 กิโลเมตร หากใครไม่อยากเดินก็มีรถรับส่ง จากลานจอดรถไปยังยอดภูเรือได้เลย

      วันนี้ฟ้าปิด ฝนตก วิวที่ผาโหล่นน้อยก็เป็นอย่างที่เห็น ^^ `

      มองเห็นยอดภูเรือ ที่เราจะเดินขึ้นไปพิชิต

      หน้าฝนก็จะชุ่มฉ่ำแบบนี้แหละ สดชื่นดี ผมชอบนะ

      หน้าฝนยังอากาศเย็นขนาดนี้ หน้าหนาวนี่เลขตัวเดียวแน่นอน

      ถึงแล้วยอดภูเรือ หนาวจัง ชอบๆ 

      ภูเรือไม่ได้มีที่เที่ยวเพียงแค่นี้นะครับ มีอีกหลายจุดที่น่าไป ทั้งน้ำตกก็สวยงาม แต่ผมมีเวลาจำกัดเลยเที่ยวได้แค่นี้ ก็ต้องกลับแล้ว

      ฟินไอหมอก โอโซนช่างชื่นใจจริงๆ 

      ตามแพลนวันนี้ผมจะไปเที่ยวภูอีเลิศต่อ แต่ด้วยระยะทางและระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่เอื้อเท่าไหร่ เราจึงตัดออกจากตารางแผนการเที่ยวของเรา ไว้คราวหน้าเราค่อยมาเก็บ

      ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 

      อุทยานแห่งชาติภูเรือ โทรศัพท์ 088-5095299

      รถบริการนำเที่ยว โทรศัพท์ 095-6466759, 029-2081433

      เราออกจาก อ.ภูเรือ - สถานีขนส่งผู้โดยสารเลย ด้วยรถบัส หล่มสัก – เลย ระยะทางจากภูเรือกับจังหวัดเลย ประมาณ 48 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 80 บาท (รอนานมากประมาณ 3 ชม.ตั้งแต่ 9.00 น. – 12.00 น. กว่ารถจะมา) ถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารเลยบ่ายโมงกว่าๆ ผมรีบไปหาซื้อตั๋วรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ โดยเลือกบริษัทเดิมคือ แอร์เมืองเลย ได้รอบ 14.00 น. พอดี ถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 23.00 น.

      ทุกการเดินทางล้วนมีเรื่องราวและความทรงจำดีๆ หากใครชอบเดินทางด้วยรถสาธารณะ ชิลๆ บอกเลยว่ามันประหยัดเงินในกระเป๋ามาก ง่วงก็หลับบนรถได้ แต่บางครั้งเราไม่สามารถควบคุมเวลาและแพลนการเที่ยวของเราได้เลย เสียเวลาไปบ้าง รอนานเหมือนเนื้อคู่นั่นแหละ แต่สิ่งที่ผมได้รับมากกว่านั้นคือ มิตรภาพระหว่างทาง รอยยิ้มที่ผู้คนมอบให้แถมน้ำใจจากพี่น้องชาวเลย มันช่างน่ารักจริงๆ ทำให้การมาเยือนเลยในหน้าฝนของผม จบแบบประทับใจเกินกว่าที่คาดไว้ อ้ายกึ่มฮั๊กเลยแท้แน๊ว...หนาวนี้เจอกันเด้อ

      "ประสบการณ์ใหม่ ไม่ออกไปหา ไม่มีทางเจอ" Life is a journey

      #เที่ยวเมืองไทยไปไหนก็ไม่หลง

      #Amazingไทยเท่ #SeamlessJourney

      #เลย #ดีแต่เที่ยว #Thailand

      อ้ายกึ่มมักเล๊าะ

       วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 13.51 น.

      ความคิดเห็น