การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากการเห็นรูปทะเลหมอกที่ลอยเคลียคลออยู่เต็มท้องทุ่งท่ามกลางยอดเขาหินปูนที่โผล่พ้นสายหมอกที่ละมุนดุจแพรจีนสีขาวเนื้อดีที่กำลังลอยพริ้วไหวอยู่ในสายลม ภาพความสวยงามของทะเลหมอกเพียงภาพเดียวได้ทำให้พวกเราได้วางแผนการเดินทางขึ้นทันที โดยพวกเราจะเริ่มขับรถเที่ยวจากน่านผ่านเส้นทางสายโรแมนติกสายเล็กๆ ที่ทอดเป็นแนวโค้งไปตามสันเขา วิวตลอดเส้นทางสายนี้จะเป็นทิวเขาที่สลับซับซ้อนสวยงาม เส้นทางนี้จะผ่านอำเภอปัวของจังหวัดน่านยาวไปจนถึงภูลังกาของจังหวัดพะเยา

แพลนของทริปคือการพิชิตทะเลหมอกจากอุทยานแห่งชาติศรีน่านยาวไปจนถึงภูลังกา พวกเราจึงจองบ้านพักของอุทยานผ่านเว็ปของทางอุทยานเลยสะดวกดี ของถูกและดีมีจริงก็ที่บ้านพักของอุทยานนี่แหละค้าคือสวยและเงียบ ที่นี่มีห้องพัก 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มันคือดีเพราะพักได้หลายคนมากในราคาแค่พันนิดๆ เท่านั้น 

หลังจากที่เข้าบ้านพักแล้วก็ขับรถย้อนกลับที่ดอยเสมอดาว ทันทีที่ก้าวลงจากรถขอบอกเลยว่าประทับใจกับเนินเขาสูงที่มีหญ้าเขียวๆคลุมไปทั้งเนิน เห็นแล้วแทบอยากจะทิ้งตัวนอนกลิ้งเล่นบนผืนหญ้ากันเลยที่เดียว ระหว่างทางเดินขึ้นเนินเขาก็จะผ่านลานกางเต้น เท่าที่สังเกตคือมีคนจับจองกันเต็มพื้นที่แล้ว ตอนเดินผ่านขึ้นไปก็ไม่เท่าไหร่แต่ตอนขากลับนี่กลิ่นหอมปิ้งย่างยั่วๆ ของหมูกะทะลอยมากระตุ้นต่อมน้ำลายได้ดีแท้ พอขึ้นไปถึงสันเนินเขาก็เข้าใจเลยล่ะว่าทำไมถึงได้ชื่อนี้ มันเหมือนเรายืนอยู่ในผืนหญ้าที่โล่งๆแต่อยู่สูงเหนือแมกไม้ทั้งหลาย บอกเลยว่าได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่โล่งสบายเหมือนจะลอยไปคว้าดาวได้จริงๆ หลายคนที่มานอนเต้นที่นี่ก็เพื่อที่จะสัมผัสกับทะเลหมอกเบื้องล่างและอาจมีแอดเวนเจอร์นิดๆด้วยการปีนผาหัวสิงห์ แต่เราคงต้องข้ามสิ่งนี้ไปเพราะมาถึงก็เริ่มบ่ายแก่ๆ แล้วคงทำได้แค่เพียงรอดูพระอาทิตย์ตกบนเนินนั้น

ตอนเช้าเราเดินออกมาดูทะเลหมอกที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านพักเท่าไหร่ และก็ไม่ผิดหวังหมอกหนาราวก้อนเมฆขาวนวลเต็มหุบเขาไปหมด การดูหมอกที่นี่มันอิ่มสุขลึกๆ อย่างบอกไม่ถูก เราเหมือนถูกตรึงให้นั่งมองเจ้าก้อนขาวๆ ราวกับสำลีม้วนกลมๆ หนาๆ แทรกอยู่เต็มเขาแสงอาทิตย์ก็สาดส่องผ่านม่านหมอกทำให้บางจุดสว่างนวลกว่าที่อื่น มันงามและสงบมากเพราะไม่มีคนเลยเหมือนเรากำลังยืนดูหมอกที่บ้านพักส่วนตัวเลยเพราะนักท่องเที่ยวส่วนมากเขาพักและดูหมอกกันอยู่ที่ดอยเสมอดาว

และก็ได้เวลาออกเดินทางไปภูลังกาแล้ว แต่ระหว่างทางพวกเราแวะเที่ยวที่เสาดินนาน้อยที่นี่จะดินที่ถูกกัดเซาะจนมีรูปร่างแปลกตา บางอันเป็นเหมือนเสาตั้งอยู่โดดๆ แต่พอเดินลึกเข้าไปหน่อยตรงที่เขาเรียกคอกเสือเหล่ารูปร่างของดินก็ยิ่งมีความแปลกตาเข้าไปอีก ดินจะสวยและเป็นร่องริ้วลายยาวและสูงมากจนบางอันก็มองดูแล้วราวกับกำแพงเมืองที่ทอดยาว บางอันก็เหมือนเราหลงเข้าไปอยู่ในเมืองเมื่ออดีตกาลอะไรอย่างนั้นเลย เท่าที่ไปอ่านป้ายเขาว่าที่นี่เคยเป็นทะเลมาก่อนและมีคนอยู่อาศัยด้วย

จากนั้นก็แวะเข้าเมืองหน่อยเพื่อแวะวัดภูมินทร์ ขอไปดูภาพกระซิบรักในตำนานซะหน่อย และเลยไปไหว้พระธาตุแช่แห้งพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวน่าน

เมื่อไหว้พระกันเสร็จก็ได้เวลามุ่งสู่ปัวเพื่อที่จะไปตามเส้นทางสายเล็กๆ ที่มีเสน่ห์จนหลายคนอดรีวิวไม่ได้ ระหว่างเราลืมถ่ายรูปเพราะมัวแต่มองวิวที่สวยงามจนอยากจะนั่งมองเฉยๆ เพื่อที่จะได้เก็บความรู้สึกทุกอย่างไว้ในความทรงจำ พวกเราไปถึงภูลังกาตอนบ่ายเช็คอินเสร็จก็เดินสำรวจทั่วบริเวณและถ่ายรูปเล็กๆน้อยๆ ไปตามเรื่อง แต่ที่นี่สิ่งโดดเด่นตรึงสายตาสุดๆไม่ว่าจะเดินไปทางไหนมุมไหนถ่ายรูปยังไงก็เห็นจะเป็นทุ่งกว้างข้างล่างที่มีเขาหินปูนเล็กๆ ที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ตั้งเด่นอยู่ตรงกลางทุ่งข้างล่างนั้น ที่ภูลังกาแห่งนี้สวยและสงบมากนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะอาจจะเป็นเพราะว่ามีที่พักแค่เจ้าเดียวและจำนวนบ้านพักก็ไม่ได้เยอะมากจึงเหมือนเป็นการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไปในตัวเหมาะมากกับใครที่ต้องการพักผ่อนจริงๆ 

ในตอนเช้าเราตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อที่จะมารอเก็บภาพฝันภาพที่เป็นจุดตั้งต้นของทริป แต่ก็อย่างว่าแหละเนาะการมาเที่ยวมันก็ไม่ใช่ว่าเราจะเจอสิ่งที่เราฝันเสมอไป ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆ เช้านี้สายหมอกไม่มาจ๊ะ มีเพียงหมอกน้ำค้างเม็ดขาวๆ เล็กๆ ลอยคุ้งอยู่ทั่วบริเวณ แต่ทางเราก็พึงพอใจกับความสวยงามในสิ่งที่เราเห็นแล้ว การมาเที่ยวต่อให้เห็นภาพแบบไหนมันก็สวยในแบบของเราได้เสมอ

Titi goaround

 วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 17.40 น.

ความคิดเห็น