ปายที่ๆทุกคนบอกว่ามันไม่เหมือนเดิมบ้าง มันเจริญเกินไปบ้าง เอกลักษณ์ของปายหายไปบ้าง แต่สำหรับเราปายก็ยังเป็นปายเหมือนเดิมเพราะเราคิดว่าความเปลี่ยนแปลงมันก็เป็นธรรมชาติของทุกสิ่งบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นการแบกเป้ขึ้นหลังเพื่อไปปายแทบทุกปีจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นเดิมเรามาถึงปายบ่ายแก่ๆ แล้ว วันแรกของการมาถึงจึงได้แค่เดินแบกกล้องถ่ายรูปเล่นแถวแม่น้ำปายและต่อด้วยเดินถนนคนเดินครั้งนี้ได้เจอดาราฮอลลีวูดด้วยนะเออ เขาชอบอยู่ในตลาดหรือไม่ก็สะพานประวัติศาสตร์

เช้าตรู่วันถัดมาเราต้องออกจากปายตั้งแต่ตี 4 เพื่อที่จะไปปางอุ๋งกะว่าจะต้องได้เห็นไอหมอกจางๆ ลอยอยู่เหนือน้ำในอ่างเก็บน้ำ และก็ไม่ผิดหวังหมอกมาตามนัดจ้าและตอนเช้าๆ แบบนี้คนยังน้อยอยู่การเดินถ่ายรูปจึงค่อนข้างหามุมถ่ายง่ายกว่าปกติ

พอถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็ได้เวลาไปติดต่อแพเพื่อจะได้ไปสัมผัสกับไอหมอกในอ่างเก็บน้ำเหล่านั้นใกล้ๆ  ก่อนลงแพก็มีเจ้าหงส์ดำลอยมาเล่นน้ำให้ถ่ายรูปด้วย

การได้นั่งอยู่อยู่บนแพที่ค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างเอื่อยๆ ทำให้เราได้ซึมซับความงามและความสงบรอบๆ ตัวได้อย่างเต็มที่ การหายใจเข้าออกแต่ละครั้งช่างสดชื่นเหลือเกิน คนถ่อแพก็เหมือนรู้ใจค่อยๆ ถ่อแพเงียบๆ ไปอย่างช้าๆ บนผืนน้ำที่นิ่งสนิท

ลงจากแพก็เดินถ่ายรูปบรรยากาศที่เริ่มมีคนเยอะขึ้นมาอีกนิดหน่อยก่อนจะไปกินข้าวเช้าที่หมู่บ้านรักไทย ที่ที่โด่งดังเรื่องบ้านดินและชาแทบทุกชนิด มาเมื่อก่อนเดินไปไหนในหมู่ก็เจอแต่ร้านชา ชิมชาจนตาแทบค้าง(ฮา) แต่ในตอนนี้คนเน้นไปที่รีสอร์ทลีไวน์รักไทยมากกว่าเข้าไปในหมู่บ้าน

พอถึงลีไวน์รักไทยก็ตรงไปร้านอาหารก่อนเลย(หิวมาก) รีบสั่งเซ็ตอาหารเช้าไปเพราะคนที่นี่ค่อนข้างเยอะ แต่อาหารก็ไม่รอนานเท่าไหร่นะ กินเสร็จแล้วค่อยไปเดินถ่ายรูปนิดหน่อยเพราะจะต้องแวะอีกหลายที่ มีโปรแกรมแน่นๆ ที่รออยู่ในหนึ่งวัน(ฮา)

ขาออกมาก็แวะเที่ยวน้ำตกผาเสื่อซะหน่อยเพราะเป็นน้ำตกที่อยู่ข้างทางเลยไม่ต้องเดินเข้าไปลึก ทางเดินลงไปสองข้างก็เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่สูงจนต้องแหงนคอแทบตั้งฉากหากอยากจะมองยอดไม้ พอเดินลงไปก็จะเห็นน้ำตกเล็กๆ ที่มีน้ำขาวๆใสๆ ไหลพุ่งลงมาอย่างไม่ขาดสาย

หลังจากดื่มด่ำไปกับความงามและความชุ่มชื่นของสายน้ำแล้วก็ได้เวลาไปพิสูจน์ศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่ซูตองเป้ สะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาวข้ามทุ่งนากว่า 600 เมตร ไปยังสวนธรรม ซึ่งตอนเช้าพระท่านจะใช้สะพานนี้ในการเดินมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน

ออกจากสวนธรรมรถของเราก็มุ่งเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเพื่อไปไหว้พระที่พระธาตุดอยกองมู พระธาตุสีขาวที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเขา เมื่อขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นแทบจะมองเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้ทั้งหมด ในขณะที่อีกด้านของพระธาตุก็จะเห็นวิวเขาที่สลับซับซ้อนจนสุดสายตา

จากโปรแกรมเที่ยวที่แน่นทั้งวันทำให้กว่าจะกลับก็เล่นเอาค่ำมืด ระหว่างทางเราได้แวะลงถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินที่จุดชมวิวแถวๆ ปางมะผ้า ถือว่าเป็นจุดที่ได้เห็นความงามของอาทิตย์ที่ลาลับลงทิวเขาที่สวยงามอีกที่หนึ่งเลยล่ะ

และวันที่สุดท้ายก็อัดโปรแกรมเที่ยวในปายแบบแน่นๆ อีกวัน เริ่มจากที่ที่ต้องใช้กำลังก่อนนั่นก็คือการไปปีนปายแคนยอนหรือกองเลน การปีนกองเลนนี้ถือว่ามีทางวัดใจหลายที่ทีเดียวเลยล่ะเพราะมีช่วงแคบมากประกอบเป็นกองเลนที่สูงเกือบเฉียดยอดไม้ก็เล่นเอาขาสั่นได้อยู่เหมือนกัน ถ้าพลาดตกลงไปก็ไม่น่ารอดหรือถ้ารอดก็เหนื่อยหน่อยกับการที่กลับมาเหมือนเดิม การปีนที่นี่สนุกและท้าทายมากเราชอบมากจนปีนได้ครบเกือบทุกมุม

หลังจากใช้พลังข้าวเช้าจนหมดแล้วก็แวะเติมกาแฟกันหน่อยที่คอฟฟี่อินเลิฟ ร้านกาแฟที่แทบจะเป็นซิกเนเจอร์ของปายไปแล้ว คิดถึงปายคิดถึงคอฟฟี่อินเลิฟ สถานที่ที่เกิดจากวิกฤติปี 40 ไม่รู้วิกฤติโควิดรอบนี้จะทำให้เกิดสิ่งแบบนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่

เมื่อได้พลังแล้วก็ได้เวลาไปเวลาไปทำกิจกรรมเบาๆ ด้วยการไหว้พระที่วัดน้ำฮู วัดที่มีน้ำออกมาจากเศียรพระพุทธรูป ใครที่ได้พรมน้ำมนต์ที่นี่ถือว่าเป็นสิริมงคล

หลังจากไหว้พระแล้วเราก็ไปต่ออีกนิดเดียวก็ถึงหมู่บ้านสันติชนหมู่บ้านที่ขายความเป็นจีน อาหารอร่อย ร้านอาหารที่นี่มีพนักงานเสิร์ฟที่พูดจีนได้ดีกว่าพูดไทย(ฮา) และที่นี่เขาก็มีซินแสที่คอยแมะตรวจโรคและจัดยาจีนให้เป็นสมุนไพรทั้งนั้น ใครสนใจก็แวะได้จ้า

จบทริปการเที่ยวแบบแน่นๆ ภายใน 3 วัน ถามว่าเหนื่อยไหมคงตอบได้แบบไม่ต้องคิดว่าไม่เหนื่อยเพราะทุกที่ที่ไปล้วนแต่สวยงามมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง การได้ไปสัมผัสสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวเองดีกว่าการที่เราได้แต่คิดว่าอยากไปแล้วก็เก็บสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้แค่ความอยาก 

Titi goaround

 วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.12 น.

ความคิดเห็น