ทริปเดินทางในช่วงนี้จะเที่ยวแบบ New normal คือ ใส่หน้ากากเกือบตลอดเวลา ล้างมือบ่อยมาก และจะเว้นระยะห่าง (ถ้าทำได้) 

ป.ล.1 รูปเยอะมากๆ ต้องขออภัย 

ป.ล.2 รูปทั้งหมดจากกล้องมือถือ

ป.ล.3 ถ่ายรูปติดใครมาต้องขออภัยด้วยครับ

 ***หากมีข้อมูลผิดอะไรในกระทู้นี้ ขอความกรุณาแบ่งปันข้อมูลที่ถูกต้องด้วยครับ***

ทริปสกลนครครั้งนี้เดินทางคนเดียว ออกเดินทางด้วยรถเมล์ มาที่หัวลำโพง ต่อรถไฟเพื่อไปสนานีรถไฟดอนเมือง เรามาถึงก่อนรถออกแป๊บเดียว รถออก 5:20 เลยวิ่งสับเท้าแตกเลย กระโดดขึ้นรถไฟได้รถออกพอดี เจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วแต่เรามาไม่ทันซื้อเลยซื้อตั๋วบนรถ เจ้าหน้าที่ใจดีมากที่เก็บราคาปกติ ไม่เสียค่าปรับ

มาถึงก่อนเวลาเลยไม่ต้องเร่งรีบมานัก ช่วงนี้ได้ Bus gate ตลอด แต่ก็ดีได้รูปแสงเช้าก่อนขึ้นเครื่องด้วย

ช่วงนี้ยังออกตรงเวลา เช้าๆ ฟ้าก็จะครึ้มๆ หน่อย

มาถึงสกลนครตรงเวลา ความตั้งใจแรกจะนั่งรถเข้าตัวเมืองก่อน แต่เราดันหูผี ได้ยินคนขับรถบอก ชักจะไม่ค่อยอยากไปแล้วอีกไฟล์ทกำลังจะลง เราก็เลยตัดสินใจเดินออกจากสนามบินระยะทาง 2.3 กม. เดินเรื่อยๆ สนุกดี กำลังทำถนนอยู่ด้วยก็อาจจะแดงๆ หน่อย

พอถึงถนนใหญ่ เราเลยตัดสินใจข้ามไปอีกฝั่ง แวะซื้อน้ำกับร้านอาหารขวามือ เราถามทางเรื่องรถไปท่าแร่ พี่เจ้าของร้านน่ารักมาก ให้เรานั่งรอเลย เดี๋ยวพี่แกจะออกไปรอเรียกรถให้ ไม่นานรถก็มา ค่าโดยสารจากปากทางเข้าสนามบินลงสุดสายที่ท่าแร่ 15 บาท ตอนขึ้นรถต้องยืนห้อยเป็นเด็กท้ายรถก่อน

เดินเข้าซอยมาเจอถนนแห่งดาว มีดาวห้อยทุกบ้านเลย แต่เกรงใจไม่กล้าถ่ายบ้านที่มีคนอยู่

จุดแรกที่มาก็คือ โบสถ์อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ และชุมชนคริสตชน ท่าแร่  “ท่าแร่” หรือ “ท่าแฮ่” ชื่อนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ในฐานะเป็นหมู่บ้านคาทอลิกที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย โบสถ์อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลเป็นโบสถ์รูปทรงเรือเนื่องจากเพื่อเป็นการระลึกถึงการอพยพมาตั้งถิ่นฐานของคริสตชนในหมู่บ้านนี้

เดินรอบๆ จนพอใจก็เดินออกมาสำรวจตึกและอาคารโบราณ รอบๆ

เดินมาเจอบ้านโบราณฟรานซิสโก ที่นี่มีบริการอาหารเช้า สายแล้วไม่อยากกินไข่กะทะ ก็เลยเลือกสั่งสุกี้น้ำจิ้มโบราณ กับกาแฟเวียดนามร้อน ระหว่างรอก็ขอเก็บภาพสักนิด

พออิ่มกำลังจะเดินย้อนกลับทางเดิม เจ้าของร้านบอกเดินเข้าไปอีกไม่ไกลจะมีบ้านโบราณอีก 2 หลัง เราก็เลยเดินต่อ หลังแรก คือ คฤหาสน์อุดมเดชวัฒน์ สร้างขึ้นตามรูปแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส (French Colonial Architecture Style) ในปี ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476) โดยช่างชาวเวียดนาม ที่อพยพมาอยู่ในจังหวัดนครพนมและบ้านท่าแร่ เป็นอาคาร 2 ชั้น

อีกหลังแค่มีซอยคั่น บ้านโบราณของ องเลื่อง โสรินทร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) โดยช่างชาวเวียดนามที่อพยพมาอยู่ในจังหวัดนครพนมและบ้านท่าแร่ เป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส (French Colonial Architecture Style) ผสมเวียดนาม ช่างก่อสร้างได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและประสบการณ์ในการก่อสร้าง แบบก่ออิฐถือปูน ไม่มีปูนซีเมนต์ ไม่มีเหล็ก

หลังนี้เราชอบหลังบ้านมากๆ สวยมาก

สนุกจนพอสมควรก็เดินต่อมาที่หนองหาน

สมควรแก่เวลาเราก็เลยเดินมาขึ้นรถสองแถวกลับเข้าตัวเมืองสกลนคร เดินต่อจากจุดลงรถไปที่ The Room Boutique Hotel ถือว่าใกล้ของกินและที่เที่ยวกลางเมืองมากถึงเข้าซอยนิดหน่อยก็เถอะ มาถึงโรงแรมมีกรุ๊ปใหญ่เหมาด้านบนหมด เราก็เลยได้ชั้นล่าง

เก็บของแล้วก็ออกมาหาของกิน เริ่มที่ปากหม้อร้านแซ่บทุกแนว สั่งปากหม้อบนข้าวเกรียบ ให้ความรู้สึกว่ากินพิซซ่ามาก อร่อยดี จานนี้ 50 บาท

พออิ่มก็เดินต่อมาที่วัดพระธาตุเชิงชุม สักการะพระธาตุก่อนไปจุดอื่น

เดินเล่นไปเรื่อยๆ เปิดแมพแล้วเห็นโบราณสถานวัดพระธาตุดุม ก็เลยเดินไป

ระหว่างทางกลับก็เจอทุ่งนาสวยๆ ชอบแบบนี้มาก เส้นทางกลับเจอหมาไล่บ้าง แต่ก็รอดปลอดภัยดี

เดินกลับมาที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ - สระพังทอง มาเก็บภาพอาทิตย์ตกที่นี่ ชอบความเป็นระเบียบของคนที่นี่มาก เดิน-วิ่งไปทางเดียวกันหมดเลย ไม่มีสวนเลน

เดินย้อนมาที่วัดพระธาตุเชิงชุมอีกครั้ง เปิดไฟแล้วก็สวยอีกแบบ

แวะกินชานม ก็เลยถามน้องที่ร้านว่ามาสกลนครกินอะไรดี น้องแนะนำร้านเนื้อย่างเตาถ่านโคขุนโพนยางคำ น้องบอกร้านที่คนเยอะๆ

เดินไปเรื่อยๆ ไกลเอาเรื่องตอนแรกจะถอดใจกลับแล้ว แต่เจอแล้ว ร้านเตาถ่านโคขุนโพนยางคำ เรามาคนเดียวก็เลยสั่งชุดเล็ก เกินอิ่มมากๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นเราไม่ได้ทำอะไรเลยกินข้าวที่โรงแรมแล้วกลับกรุงเทพฯ เลย ช่วงนี้สกลนครมีแค่วันละ 1 รอบ ไปและกลับในช่วงเช้าเลย

เช้าๆ สกลนครก็รถติดเหมือนกัน ดีที่รถแท็กซี่เผื่อเวลาให้เรา

ขากลับเที่ยวบิน 8:45 แต่เครื่องออกก่อนเวลา และมาถึงดอนเมืองก่อนกำหนด 30 นาที เราก็ไปทำงานต่อได้แบบสบายๆ

จบทริปสกลนครในแบบที่ชอบ เราชอบของกินที่สกลนครมาก เนื้อย่างดีงามจริงๆ

ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

 วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23.23 น.

ความคิดเห็น