x


ขณะที่เรากำลังหลับตาลงนอนคืนนี้ แม้ร่างกายจะบอกว่าเหนื่อย แต่ใจยังคงคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

อาการใจหายเป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ถ้ามีเหตุการณ์หนึ่งที่เราอินมากๆ

เหมือนกับการเที่ยวที่พาเราออกไปเจอกับบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย

และมักจะมีเรื่องราวให้น่าจดจำอยู่เสมอ

เราชอบคิดว่าเวลาผ่านไปหนึ่งวัน สองวันแล้ว เมื่อไม่กี่วันมานี้เหมือนเรายังอยู่ที่นั่นอยู่เลย

ตอนนี้เรากลับมานอนที่ห้องแล้วหรอ เหมือนเวลามันผ่านไปเร็ว จนจิตใจยังตามไม่ทัน

และตอนนี้เรากำลังนอนคิดถึงเรื่องราวตอนที่เราไปเที่ยวกาญจนบุรีกับเพื่อนเมื่อสองวันที่ผ่านมา

และราวกับว่าความรู้สึกทุกอย่างยังสดใหม่ ยังไงอย่างงั้น

ย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเราตัดสินใจชวนเพื่อนสนิทสมัยม.ปลายหลายคนแต่กลับถูกปฏิเสธเพราะไม่ว่าง 

แต่ก็ยังมีโชคเหลือยู่บ้าง ที่มีเพื่อนตอบตกลงว่าไปด้วยถึงสองคน!

คนหนึ่งชื่อโมนา อีกคนคือฟร้อง

ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆใช้เวลาแค่สองวันหนึ่งคืน ไปกับเพื่อนสามคนในวันเสาร์อาทิตย์

พวกเราแทบไม่ได้แพลนอะไรกันมาก จองทุกอย่างในสองวันก่อนไป

กาญจนบุรี ชื่อนี้ใครๆก็รู้จัก ใครๆก็เคยมา เมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และยังมีพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวในอดีต

ส่วนทางธรรมชาติก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น น้ำตก แม่น้ำ และไหนจะกิจกรรมริมน้ำให้ทำอีกตั้งเยอะ 


เวลา 7 โมงเช้า พวกเราไปขึ้นรถมินิบัสที่ท่ารถหมอชิตใหม่ เพื่อออกเดินทางไปกาญจนบุรี ที่นั่งละ120 จองผ่านทางกาญจนบุรีเอ็กซ์เพรส

ใช้เวลา2ชั่วโมงกว่า พวกเราก็มาถึงบขส. กาญจนบุรี


โปรแกรมเที่ยวในวันนี้พวกเรายกให้เป็นของน้ำตกเอราวัณ

เมื่อลงมาจากรถ มีพี่คนขับรถสองแถว มายืนถามผู้โดยสารทีละคน

“ จะไปไหนต่อครับ ”

“ ไปน้ำตกไหมครับ เหมารถไป น้องมากี่คน ”

พี่คนหนึ่งเสนอราคา 1100 บาท เหมารถเก๋งพาเราเที่ยวแถวน้ำตกเอราวัณ

ตอนแรกเราเกือบจะเออออไปกับพี่แกแล้ว แต่เพื่อนเราคนหนึ่งก็คอยเตือนสติเราว่า ไปรถเมล์เหมือนเดิมตามที่แพลนไว้แหละ 

บางครั้งการมาเที่ยวก็ต้องใจแข็งและมีสติ

เดินไปอีกนิดหน่อย

“ ไปน้ำตกเอราวัณ ขึ้นทางนี้เลยครับ ”

พี่คนขายตั๋วเรียกพวกเราไปขึ้นรถเมล์ในราคา50บาท

เมื่อเอาของขึ้นไปวางบนรถแล้วเดินลงมาเข้าห้องน้ำ และซื้อของเซเว่น

“ น้องคะไปไหนคะ บีทีเอสหมอชิตรึป่าวคะ ”

โมนาหันมาพูดกับเราว่า

“นี่เพิ่งมาถึง จะให้กลับแล้วหรอ5555”


“ผู้โดยสารโปรดทราบ เวลา10.15 เตรียมตัวให้พร้อม รถเมล์สายนี้จะพาทุกท่านไปน้ำตกเอราวัณ”

เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถเมล์เราเผลอคิดกับตัวเองในใจว่า

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้นั่งรถเมล์สุดคลาสสิกแบบนี้

รถเมล์ที่

ถึงไม่มีแอร์ ก็ยังมีพัดลม

ถึงกระจกรถจะไม่ปิด แต่ก็ทำให้เห็นทางข้างๆชัดเจนยิ่งขึ้น

ถึงที่นั่งจะแคบยืดขาแข้งก็ไม่ถนัด แต่เราก็นั่งกันได้

ถึงจะไม่สบาย แต่ก็ไม่ลำบาก

ถึงอากาศจะร้อน แต่ก็ยังมีรถที่ขับแบบหวานเย็น

ใช่รถเมล์สายนี้ขับอย่างเนิ่นๆค่อยๆไป

แต่ถึงจะช้า แต่ก็มีความสุข

ระหว่างทางก็สามารถขอให้เขาจอดส่งได้ หรือคนจะขึ้นรถยืนโบกรถขึ้นได้ตลอด

.

.

.

ชั่วโมงครึ่งต่อมา

พวกเราก็มาถึงแล้วน้ำตกเอราวัณในเวลาเที่ยงครึ่ง

ถ้ามีบัตรนักศึกษาจะจ่ายแค่50 จากราคาปกติ100

โมนาลืมเอามา เลยยื่นรูปบัตรนักศึกษา ในโทรศัพท์ให้ดู พี่เขาบอกไม่ได้ต้องเป็นบัตรจริง 

แต่สุดท้ายพี่เขาก็ใจดียอมให้ในราคา50

เมื่อลงจากรถ ฟร้องก็เดินไปถามพี่พนักงาน

“เอากระเป๋าไปฝากได้ที่ไหนครับ”

“ร้านอาหาร ที่ 1 เลยค่ะ”

ใครที่แบกสัมภาระมาเยอะไม่ต้องกังวลไป

ที่นี่มีร้านอาหารที่จะรับฝากกระเป๋าในราคาใบละ30บาท

ก่อนจะออกลุย เพื่อนๆก็เข้าห้องน้ำ ทำผม ใส่คอนแทคทุกอย่างให้พร้อม

แม้ว่าท้องจะไม่พร้อม เพราะยังไม่ได้กินอะไรหนักๆเลย แต่พวกเราก็ตัดสินใจเริ่มลุยเลย กลัวจะช้าไปมากกว่านี้

น้ำตกเอราวัณมี 7 ชั้น ลำน้ำเมื่อตกลงมาแล้วจะไหลลงแม่น้ำแควใหญ่บริเวณที่ทำการอุทยาน

  • ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง
  • ชั้นที่ 2 วังมัจฉา
  • ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก
  • ชั้นที่ 4 อกนางผีเสื้อ
  • ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง
  • ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา
  • ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ

จะมาดูว่าพวกเราจะไปได้สักกี่ชั้น ฮ่าๆ


ทางเดินที่ระบุไว้บนป้าย ทั้งหมดคือ1.5 กม. จากชั้นล่างไปชั้นบนสุด

“โอ้ยชิวๆแค่1.5 กม. เองหรอ นี่ตอนไปน้ำตกเกาะช้าง แค่ชั้นแรกก็เหนื่อยแล้วไกลกว่านี้อีก”

เราคิดในใจ ว่าระยะ1.5 กม. นี้ไม่น่าจะทำให้เหนื่อย

เมื่อเดินไปในจุดแรกก็เห็นร้านขายอาหาร พวกเราเลยแวะกินสักหน่อย แต่ต้องไปแลกคูปองก่อน

ตัดสินใจซื้อข้าวเหนียวหมูทอด ไข่ต้ม มาแบ่งกันกิน เป็นตัวเติมหลังให้พวกเราในวันนี้

เมื่อพร้อมแล้วก็ลุย!

น้ำตกชั้น 1 และ 2 สามารถลงไปเล่นน้ำได้

น้ำตกเอราวัณมีลักษณะที่โดดเด่นกว่าน้ำตกอื่นๆคือเป็นน้ำตกบนเทือกเขาหินปูน มีสีฟ้าที่สดใสราวกับว่ากำลังอยู่ในโลกของเทพนิยาย

เห็นจะจริงเมื่อมาเห็นกับตา เราเคยไปเดินน้ำตกที่อื่นก็ไม่เห็นน้ำตกสีฟ้าแบบนี้

“ โอ้ยพวกแก ทางเดิน มันเดินยากมากเลยอะ ”

 เสียงเราบ่นขึ้นมา ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเดินน้ำตกจะต้องใช้ความฟิตขนาดนี้

ทางเดินที่มีทั้งทางราบ ทางชัน บันไดหลายๆขั้น ขาขึ้นก็จะเหนื่อยหน่อยเหมือนเราต้านน้ำหนักตัวเองหวังว่าขาลงจะง่ายกว่านี้นะ

ขึ้นมาถึงน้ำตกชั้นที่4 แล้ว ชั้นนี้ชื่อว่า อกผีเสื้อ 

เกือบสองชั่วโมงต่อมา

และในที่สุดพวกเราก็มาถึงน้ำตกชั้นที่ 7 จนได้ ความรู้สึกเหมือนได้พิชิตยอดเขา 

และมันคุ้มค่ามากจริงๆ กับภาพที่เห็น

เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่เป่านกหวีด เป็นสัญญาณบอกว่าให้นักท่องเที่ยวเริ่มเดินลงได้แล้ว

ความจริงจากที่หาข้อมูลมาเขาบอกว่าน้ำตกชั้นที่4ถึง7 จะเปิดให้ขึ้นได้ถึงแค่14.00 

แต่ตอนนี้ก็เลยเวลามาเกือบบ่ายสามแล้ว

พวกเราเลยรีบเดินลงแต่ก็ยังไม่พลาดที่จะไปน้ำตกชั้นที่6


” รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันขึ้นรถเมล์กลับตอนสี่โมงเย็นนะ”

เรารีบเตือนเพื่อนๆว่าหยุดถ่ายรูปแล้วเดินลงกันเถอะ

ขาขึ้นว่ายากแล้ว ขาลงใครว่าจะง่าย

ทางเดินลงนั้นเหมือนต้องพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ลื่นหรือล้ม

ซึ่งรองเท้าเราก็เปียกมาแล้วยิ่งทำให้เดินยากเข้าไปใหญ่

พอถึงทางลาดลงทีไร เราวิ่งลงแล้วเบรกตัวเองไม่ได้ทุกที ร้องกรี๊ดตลอด ฮ่าๆ

พวกเรามาถึงที่ขึ้นรถเมล์ตอน 4 โมง 6 นาที

ไม่ทัน.....รถออกไปแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกรถจะมาอีกทีตอน 5 โมงเย็น

ดูเหมือนจะนานไปพวกเราเลยเหมาสองแถว ที่จอดอยู่ใกล้ๆ ให้ไปส่งที่พักบ้านครูปองที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 13 นาที พี่คนขับคิดราคา300 แต่เราต่อได้เหลือ250 

บรรยากาศนั่งรถสองแถว


ถึงแล้วที่พัก

บ้านครูปอง พี่เจ้าของร้านเดินมาต้อนรับเราอย่างกันเอง

เราจ่ายเงินให้ที่พักอีก 1350 จากที่เคยมัดจำไว้ 1350

ห้องนอนสองคน แต่มากันสามคน พี่เขาเลยให้จ่ายเพิ่มอีก500 แต่นอนด้วยกันได้

พี่พาเราเดินไปที่ห้องพัก

ห้องขนาดไม่ใหญ่ แต่พอเปิดผ้าม่านออกไป เห็นวิวข้างนอก ทำให้รู้สึกเหมือนห้องกว้างขึ้น

เป็นที่พักติดแม่น้ำ มีเรือคายัค ยูนิคอรน์เป่าลม ให้เล่นได้ฟรี

“เล่นน้ำได้ถึงกี่โมงหรอคะ”

“เล่นได้ตลอดเลยค่ะ มีเรือให้พายของแต่ละห้องนะคะ ส่วนถ้าจะเล่นแพเปียกมีค่าเช่าแพเปียกคนละ150”

“น้ำลงไปเล่นได้ไหมพี่”

“ได้ค่ะ ใส่ชูชีพด้วยนะคะ”

“น้ำลึกไหมอะคะ”

“ลึกมากค่ะ”

พวกเราเก็บข้าวของเปลี่ยนชุดเตรียมไปพายเรือ ถ่ายรูปเล่นกัน

ภาพที่เห็นหลังจากพายเรือคายัคไปกลางแม่น้ำ

กว่าจะพายกันไปได้ ทุลักทุเลไม่ใช่น้อย

มีเสียงกรี้ดกร้าดูของเราตลอด เวลาที่เรือเริ่มโคลงเคลง กลัวว่าเรือจะล่มน่ะสิ

พอตะวันใกล้ลับฟ้า แสงเริ่มหมด พวกเราก็พายเรือกลับ ที่กว่าจะถึงก็นาน เพราะไม่ค่อยชำนาญ พายกันไปทีก็วนเป็นวงกลมบ้าง ฮ่าๆ

โทรสั่งอาหารของทางโรงแรม เมนูละ150 ถึง300 เป็นอาหารพื้นบ้านง่ายๆแต่กินแล้วอิ่มเข้าเต็มๆ

อย่างพวก หมูป่า,เนื้อย่าง,ข้าวผัด

สั่งกันมาเยอะมาก4-5อย่าง และแต่ละอย่างก็ได้เยอะ จนกินกันไม่หมดเลยล่ะ


กินข้าวเสร็จก็ออกไปเดินเล่นข้างหน้าโรงแรม 

ร้านค้าโชว์ห่วยที่ทำให้นึกถึงสมัยเป็นเด็ก

ถนนตอนกลางคืนที่เงียบสนิท

เดินกลับเข้ามาในที่พักอีกครั้ง เจอพี่เจ้าของที่เป็นผู้ชายพอดี เลยพูดคุยทักทายกัน


“พี่ตกแต่งที่นี่ให้เป็นเหมือนโรงเรียนหรอคะ”

“จะว่างั้นก็ได้นะ พี่เคยเป็นครูมาก่อนน่ะ”

“อ๋อ ถึงว่าที่หน้าห้องพักมีโต๊ะนักเรียนด้วย”

“อ๋อ ไม่ๆอันนั้นเป็นโต๊ะอย่างงั้นอยู่แล้ว ฮ่าๆ”

“ข้างหลังพี่ก็เป็นห้องน้ำครูด้วย” 

“อ่าใช่ เหมือนอยู่โรงเรียนน่ะ” 

ว่าแล้วเราก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปห้องน้ำ

“เฮ้ยมาถ่ายอะไรห้องน้ำล่ะ ถ่ายอย่างอื่นสิ ฮ่าๆ”

พวกเราหัวเราะกันใหญ่ แล้วเดินเข้าบาร์ไป

Teacher bar บาร์เล็กๆที่โคตรมีสไตล์

“เฮ้ย อร่อยหวะ”

“พี่ชงอร่อยมากเลยค่ะ” เราหันไปบอกกับพี่เขาในสิ่งที่คิด

“พี่ชอบน่ะ ชอบออกกินcocktail หลายๆที่  แล้วจำรสชาติเอามาดัดแปลงเป็นเมนูของที่นี่”

ขอเพลงอะไรพี่เขาก็เปิดให้ จนตอนท้ายอาจจะขอเยอะไป พี่เขาเลยให้เราต่อบลูทูธเองเลย ฮ่าๆ

พี่แกก็ยังมานั่งคุยกับเราด้วย ถึงแม้อากาศค่ำคืนนี้จะเย็นแต่พวกเราก็สัมผัสได้ถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่น แถมพี่เขายังทำเหล้าบ๊วยฟรีมาให้พวกเราตั้งสองแก้ว

ในบาร์มีแต่พวกเรา ไม่มีแขกคนอื่น

ยิ่งดึกขึ้น อากาศก็ค่อยๆเย็นขึ้น

ยิ่งดึก เพลงก็เหมือนจะเพราะขึ้น

ยิ่งดึก เรื่องราวในวงก็เริ่มสนุกขึ้น

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้คุยกันแบบนี้ ที่ไม่ต้องมาคิดเรื่องเรียน ที่ได้ออกมาจากบรรยากาศตึงเครียดเดิมๆแล้วมาคุยกันแบบสบายๆกับเพื่อนที่รู้ใจอย่างนี้

เราใช้เวลาที่บาร์กันเกือบ3ชั่วโมง ก่อนจะผลัดกันไปอาบน้ำ

เมื่ออาบน้ำเสร็จ

เราออกมานั่งข้างนอกกับโมนาเพื่อรอให้ผมแห้ง ส่วนฟร้องขอตัวไปนอนก่อน

เรานั่งคุยกันตั้งแต่เรื่องเรียน เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องราวในอดีตของแต่ละคน ทัศนคติในการใช้ชีวิต ที่ไม่ได้เจอกันมานาน

และก็เพิ่งรู้ว่าเรามีแนวคิดตรงกันในบางเรื่อง

เราไม่ได้ดีใจที่เพื่อนคิดแบบเรา แต่เรารู้สึกสบายใจที่สามารถพูดความคิดตัวเองออกมาได้โดยไม่กลัวอีกฝ่ายจะผิดใจกัน

เราดีใจที่คืนนี้ได้คุยกับเพื่อนคนนี้ ในเวลานี้

.

.

.

เวลาเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่งเราคุยกัน บทสนทนาที่ไม่มีใครรู้เรื่อง ยกเว้นน้องยูนิคอร์นที่เหมือนจะจ้องหน้าพวกเราตลอดเวลา

ถ้าจะมีใครที่ได้ยินเรื่องที่เราคุยกับโมนาทั้งหมดก็คงจะเป็นเจ้ายูนิคอร์นตัวนี้แหละ

ตีหนึ่งแล้วผมยังไม่แห้งแต่พวกเราคงต้องขอตัวไปนอนก่อน พรุ่งนี้ต้องลุยกันต่อ


ผ่านไปสามวัน วันนี้เครียดกับการเรียน ทำให้นึกถึงเวลาชิวๆของเช้าวันนั้นความรู้สึกช่างแตกต่างกันเหลือเกิน

เช้าที่ตื่นขึ้นมาตอนตีห้าห้าสิบห้าตั้งใจจะมาดูหมอก ลุกขึ้นมาดูท้องฟ้ายังมืดอยู่เลย

เลยไปนอนต่อ ตื่นอีกที6.15 ผ่านไปแค่15นาที ท้องฟ้าสว่างแล้ว นึกเสียดาย อะไรกันทำไมพระอาทิตย์ขึ้นเร็วขนาดนี้

บรรยากาศตอนเช้า 

ถึงแม้เราจะยังงัวเงีย แต่ก็บอกกับตัวเองไว้ว่า จะมีสักกี่เช้าที่ได้ตื่นขึ้นมาสูดบรรยากาศดีๆแบบนี้อีก

‘ลุกขึ้นมาซะ อย่าลงไปนอนต่อ!’

อากาศโคตรเย็น ฟินมาก

อาหารเช้า ที่แม่ของพี่เจ้าของทำข้าวต้ม อร่อยมาก

โต๊ะที่นั่งมีเพียงไม่กี่โต๊ะ จำนวนพอดีกับแขกที่มา

พวกเราต้องรีบทำเวลาในการกินอาหารเช้า เพราะจะไปโบกรถเมล์หน้าที่พัก ซึ่งก็คือรถเมล์สายน้ำตกเอราวัณที่จะวิ่งกลับเข้าเมือง

โดยรถเมล์จะออกจากน้ำตก8.30 ตอนนี้เกือบ9โมงแล้ว พวกเราเลยรีบกินเพราะกลัวจะพลาดรถเหมือนเมื่อวานอีก

แต่ถึงจะพลาดพี่เจ้าของก็บอกว่าพี่เขาไปส่งพวกเราขึ้นรถเมล์ที่น้ำตกในรอบถัดไปได้ แต่พวกเราก็ไม่อยากไปรบกวนพี่เขาหรอก

กินเสร็จพวกเราก็ออกไปโบกรถเมล์ มีพี่เจ้าของเดินไปด้วย ไม่นาน5นาที

“เฮ้ย รถมาแล้ว”

ทุกอย่างมันลงตัวไปหมด เราขึ้นรถ พี่เจ้าของบอกลาพวกเรา พร้อมเรียกเราให้หันไปถ่ายรูป

บรรยากาศที่พักโคตรดีแถมเจ้าของเป็นกันเองสุดๆ เป็นใครก็อยากจะกลับมาอีก


นั่งรถเมล์ตอนเช้า ลมพัดมาโดนหน้าเบาๆ พอทำให้ผมปลิวเล็กน้อย อากาศกำลังเย็นสบาย

พร้อมรถที่เคลื่อนอย่างช้าๆ

เฮ้อ.....หวานเย็นคันนี้ช่างชื่นใจเสียจริง

ถึงบขส. อีกครั้ง พวกเราหารรถสองแถวกับคนแถวนั้นตกคนละ30บาท เพื่อไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว

สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นผลงานจากสงครามในอดีต เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ที่สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยเชลยศึกหลักหมื่นคน ภายใต้การควบคุมของกองทัพทหารญี่ปุ่น

”ต้องเดินเข้าไปข้างในอีก คนจะน้อยลง แล้วถ่ายรูปออกมาสวย”

โมนา คนที่เคยมาแล้ว บอกกับพวกเราอย่างงั้น

ถ้าพวกเราไม่ยอมแพ้ ล้มเลิกความตั้งใจที่จะถ่ายรูปไปเสียก่อน เดินเข้ามาอีกนิดเดียว

คุณก็จะได้รูปภาพสวยๆไม่ค่อยติดคนแล้ว

มีฉากหลังเป็นเจ้าแม่กวนอิมและศาลเจ้า

สัญญาณเตือน รถไฟกำลังจะผ่านดังขึ้น

ผู้คนที่ยืนอยู่กลางสะพานรีบเดินเข้าไปหลบอยู่ข้างๆกันอย่างรวดเร็ว 

แล้วรถไฟขบวนนี้ก็เคลื่อนตัวอย่างช้าๆให้คนได้ถ่ายรูปกันอย่างชัดๆ

มีประทัดด้วย เห็นคนแถวนั้นบอกว่าตอนเย็นจะมีงาน

เราใช้เวลาถ่ายรูปกันประมาณ1ชั่วโมง
ก็เรียกgrab ไป the village to farm cafe

ร้านคาเฟ่ชื่อดังที่ใครก็ควรมา 

เป็นร้านคาเฟ่ในเครือของร้านอาหารคีรีมันตราที่อยู่ใกล้ๆ ที่จอดรถเต็มเกือบหมด เหมือนคนทั้งกาญจนบุรี มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ฮ่าๆ

ร้านอาหารบรรยากาศน่ารัก ตกแต่งที่ดูไม่เหมือนใคร ที่นำเอาความเรียบง่ายของโรงนามาผสมกับการตกแต่งภายในแบบแนวลอฟต์ 

เรื่องรสชาติอาหารก็น่าประทับใจ แต่ที่ทำให้ถูกใจพวกเรมากขึ้นไปอีก ก็คืออาหารเสริฟเร็วมาก แม้ว่าคนจะเยอะก็ตาม

สั่งซี่โครงหมู สปาเกตตี พิซซา บันนาท็อปฟี่ และเมนูซิกเนเจอร์ของร้านก็คือ เต่าปังลุยสวน

ข้างหลังเป็นอุโมงค์สวนไผ่ วันนี้มีจัดงานเทศกาลญี่ปุ่นด้วย

เดินไปเรื่อยๆก็เห็นว่าพื้นที่ข้างหลังตรงนี้ใช้เป็นฟาร์ม

บรรยากาศที่สวนหลังคาเฟ่นี้เหมือนกับสวนสาธารณะเลย หรือใครจะใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจก็เป็นความคิดที่ไม่เลว

จากคาเฟ่นี้พวกเราตั้งใจจะไปวัดถ้ำเสือ และพบว่าแถวนี้ไม่มีรถที่จะพาพวกเราไปได้เลย

ฟร้องจึงโทรไปหาพี่คนขับgrab เมื่อเช้า ตามเบอร์ที่พี่เขาให้พวกเรามา

เพราะเมื่อเช้าพี่เขาบอกพวกเราว่า ที่นี่ไกลไม่ค่อยมีรถให้กลับ ถ้าหารถไม่ได้ โทรมาหาพี่เขาก็ได้

พวกเรานั่งรอประมาณ30นาที พี่คนขับก็มารับพวกเรา


วัดถ้ำเสือ อยู่อำเภอท่าม่วง ตั้งอยู่บนเนินเขา 

ถ้าใครขึ้นไม่ไหว ที่นี่มีบริการรถรางไปส่งข้างบนด้วย

สิ่งที่สะดุดสายตาของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมวัดเพื่อกราบนมัสการพระธาตุ ก็คือ ความใหญ่โตกว้างขวางของวัดและพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรี

นอกจากนี้ ยังมีพระเจดีย์เกษแก้วปราสาทเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม มีทั้งหมด9ชั้น

ขึ้นไปแล้วจะได้รับลมเย็นแล้วยังได้ชมวิวสวยๆจากข้างบนอีกด้วย

มองลงไปข้างล่างจะเห็นมีนาคาเฟ่ จุดที่พวกเรากำลังจะไปเที่ยวต่อ

วัดถ้ำเขาน้อย สถาปัตยกรรมแบบจีนตั้งอยู่ใกล้ๆกับวัดถ้ำเสือ ที่สวยงามเช่นกัน


สถานที่สุดท้ายเกือบจะท้ายสุดมีนาคาเฟ่

ร้านอยู่ถนนเลียบคลอง หาไม่ยาก ตรงแถวๆร้านจะมีรถจอดอยู่ริมถนนค่อนข้างเยอะ

ร้านมีนาคาเฟ่ เป็นร้านที่มีโลเคชันหาไม่ยากเลย ถ้าไปวัดถ้ำเสือก็จะเห็นมีนาคาเฟ่ 

พอมาอยู่มีนาคาเฟ่มองขึ้นไปก็จะเห็นวัดถ้ำเสือ

เมื่อไปถึงก่อนอื่นก็ต้องสั่งเครื่องดื่มกันก่อนเลย เพื่อนๆสั่งชานมอัญชัญ กับ ลาเต้ ส่วนเราคิดไม่ออกเห็นแก้วน้ำส้มวางอยู่ข้างหน้าสั่งน้ำส้มละกัน

แม้ว่าราคาเครื่องดื่มในร้าน ราคาหลักสิบ

แต่วิวหลักล้าน!!

มองออกไปจะเห็นวิวทุ่งนา สีเขียวขจี กว้าง เป็นการพักสายตาที่ดีสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพอย่างพวกเรา

และวันที่พวกเราไปยังมีดนตรีสดให้ฟังอีกด้วย บรรยากาศดีขึ้นไปอีกคูณร้อย

“แก อยากขึ้นไปร้องเพลงหวะ ขอเขาขึ้นไปร้องได้ป้ะวะ”  โมนาพูดขึ้นมา

“เอาป้ะ เดี๋ยวเราเดินไปขอพี่เขาให้”

เราตอบด้วยความบ้า ไม่คิดว่าจะทำจริงหรอก

แต่พอสักพักเริ่มเห็นความเป็นไปได้ และไหนๆก็ไหนๆแล้ว จะมีสักกี่ครั้งที่ได้มีโอกาสกล้าทำอะไรแบบนี้

เรารวบรวมความกล้าเดินไปขอพี่พนักงานให้ช่วยไปบอกนักดนตรี ว่าเพื่อนขอขึ้นไปร้องเพลงได้ไหมคะ

“น่าจะได้นะครับ เดี๋ยวไปบอกนักดนตรีให้”

ตอนนั้นไม่รู้ว่าเราหรือโมนาใครตื่นเต้นกว่ากัน เพราะเราไม่ได้ถูกปฎิเสธ ทำให้โมนาต้องขึ้นไปร้องเพลง

พี่นักดนตรีพูดออกไมค์ว่าเดี๋ยวจะมีนักร้องรับเชิญ

เสียงตบมือดังขึ้นโมนาขึ้นไปบนเวทีและกำลังจะร้องเพลงจริงๆ

โมนากับเพลงถ้าเขาจะรักยืนเฉยๆเขาก็รัก

ได้ยินเสียงโมนาร้องเพลง เสียงใสมาก เพราะดี เรายังชอบ (ไม่ได้เข้าข้างเพื่อนตัวเองนะ แหะๆ)

คนที่นั่งข้างๆเรา ถามเราว่าขอเพลงได้ไหมครับ เพลงแก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใครได้ไหม

เราโทรไปบอกโมนา

โมนาก็บอกโอเคร้องได้

.

.

โมนาร้องไปทั้งหมดสามเพลง

เรายังไม่เคยเห็นเพื่อนร้องเพลงสดแบบนี้

บอกตรงๆ ภูมิใจในตัวเพื่อนที่มีความสามารถ และได้กล้าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

ตอนนี้เรากลับมาแล้ว นึกตลกตัวเองอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นเป็นบ้าไรวะ กล้าทำได้ไง คนที่ไหนเขาทำกันแบบนี้วะ ฮ่าๆ

การมาเที่ยวคาเฟ่ครั้งนี้ดูพิเศษไม่เหมือนใคร ไม่ได้แค่มาถ่ายรูปแล้วกลับไป แต่พวกเราได้เรื่องเล่าที่จะเล่ากี่ครั้งก็คงยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี ความรู้สึกที่กล้าทำอะไรบ้าๆแบบนี้เวลาอยู่กับเพื่อนที่สนิทเท่านั้น

ตอนนี้เวลา5โมงกว่าแล้ว เห็นทีจะต้องตัดแพลนที่จะไปเดินถนนคนเดินออก เพราะติดลมบรรยากาศและเสียงเพลงเพราะๆของที่นี่ พวกเราเลยตัดสินใจใช้เวลาอยู่ที่มีนาคาเฟ่ต่ออีกสักพัก ก่อนจะไปขึ้นรถกลับที่บขส.


เวลา19.00 พวกเราก็ขึ้นรถมินิบัสกลับหมอชิต

ระหว่างทางก็นั่งดูรูปที่ถ่ายกันมาอย่างเพลินๆ 

ในขณะที่วันจันทร์กำลังจะเริ่มขึ้น การเที่ยวของพวกเรากำลังจะจบลง

ไม่คิดเหมือนกันว่าการมาเที่ยวแค่เพียง2วันแบบนี้ มันเติมพลังให้เรามากกว่าที่คิด อย่างน้อยพวกเราก็ได้มาสร้างความทรงจำที่คงไม่มีวันลืม และคิดถึงทีไรก็คงอดยิ้มไม่ได้เลยทุกครั้ง

ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้นในการเดินทางครั้งนี้

ขอบคุณฟร้องและโมนาที่ตัดสินใจมาเที่ยวกับเรา ทริปนี้เป็นทริปที่น่ารักมาก

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะ ไว้มีโอกาสจะกลับมาเล่าเรื่องราวการเดินทางให้ฟังกันอีก


Nali

 วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.18 น.

ความคิดเห็น