คืนแรกในออสเตรีย สายฝนก็ต้อนรับเราด้วยการโปรยปรายตลอดทั้งคืน จนต้องลุ้นว่าเช้าวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าจะปราณีให้เราออกไปสัมผัสเมืองอินส์บรุคแบบไม่มีฝนไหม ซึ่งฟ้าก็ให้ความปราณีแก่เรา โดยเช้าวันใหม่สายฝนเปลี่ยนเป็นปรอยๆ พอให้เราเดินกางร่มจากโรงแรมที่พัก เพื่อไปทานอาหารเช้าที่อาคารที่อยู่ถัดไปได้ โรงแรมที่เราพักนั้นเป็นแบบ Bed & Breakfast ซึ่งมีอาหารเช้าให้บริการด้วย หลังจากอิ่มจากอาหารเช้าแล้ว ฝนก็โปกมือลาจากท้องฟ้าพอดี เราจึงไม่รอช้าที่จะพาตัวเองออกไปสัมผัสใจกลางเมืองอินส์บรุค

เราเดินไปบนถนนที่เจิ่งนองจากน้ำฝนที่ตกตลอดทั้งคืน แม้ว่าเราจะเดินได้อย่างสบายโดยที่ไม่ต้องกางร่มให้เป็นภาระ แต่ท้องฟ้าหลังฝนเช่นนี้ ไม่ได้เป็นท้องฟ้าใสกระจ่างเหมือนเมื่อวาน ทำให้ผมเกิดความผิดหวังไปบ้าง เพราะคิดว่าจะได้เห็นทัศนียภาพของเมืองอินส์บรุคที่ฟ้าใสมองเห็นเทือกเขาแอลป์ได้อย่างชัดเจนเหมือนเมื่อวาน แต่กลับเป็นฟ้าสีหม่น ที่ยิ่งมองใจก็รู้สึกหม่นหมอง แต่จากประสบการณ์การเดินทางที่ผ่านมาก็ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เราไม่สามารถควบคุมความเป็นไปของธรรมชาติได้ แต่เราสามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ สิ่งที่ได้เห็นจะงดงามหรือไม่ขึ้นอยู่กับใจเรา แม้ฟ้าจะไม่เปิด แต่หากใจเราเปิด ยอมรับในความเป็นจริง ทุกสิ่งที่เราได้เห็นมันก็จะงดงามในแบบที่มันเป็น

ออกมาเดินในเขตตัวเมืองเช่นนี้ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดหมายแล้ว ยังได้เห็นเรื่องราวระหว่างทางของวิธีการขายหนังสือพิมพ์ที่นี่ เพราะแทนที่จะขายตามร้านหนังสือ เขากลับขายกันที่เสาริมทางเดิน ไม่ใช่มีคนมานั่งขายยืนขาย แต่จะมีถุงใส่หนังสือพิมพ์ห้อยอยู่ที่เสา หากใครต้องการหนังสือพิมพ์ ก็หยอดเงินตามราคาที่เขียนไว้ ส่วนใหญ่ประมาณ 1.2 ยูโร ก็สามารถปลดล็อคแล้วเปิดถุงเพื่อหยิบเอาหนังสือพิมพ์ที่อยู่ภายในนั้นได้ แต่อย่างนี้อาจจะมีคนตั้งคำถามว่า แล้วจะควบคุมอย่างไงให้หยิบหนังสือพิมพ์ไปไม่เกินเงินที่จ่าย อันนี้ขึ้นอยู่กับวินัยของคนในชาติ ซึ่งในการเดินทางวันต่อๆไปเราก็จะได้เห็นวินัยที่ดีของคนออสเตรียมากยิ่งขึ้น

เราเดินย้ำเท้าบนทางเดินที่อาบไปด้วยน้ำจากสายฝนเมื่อคืน ผ่านร้านรวงที่ส่วนใหญ่ยังคงปิดประตู สู่เสาหินเซนต์แอนนา (Annasaule) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของย่านเมืองเก่า แต่อย่าจินตนาการนะครับว่ารอบเสาหินแห่งนี้จะเป็นวงเวียนขนาดใหญ่ ที่มีเสาหินตั้งตระหง่านเป็นจุดศูนย์กลาง เพราะเสาหินแห่งนี้มีความสูงแค่ราว 10 เมตรเท่านั้น สร้างขึ้นในปีค.ศ.1706 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของชาวทิโรลที่มีเหนือกองทัพบาวาเรียและฝรั่งเศส โดยฐาน 4 เหลี่ยมนั้นมีส่วนยื่นออกไปทั้ง 4 ด้าน ด้านบนของส่วนที่ยื่นออกไปเป็นรูปปั้นของเซนต์ทั้ง 4 ประกอบด้วย เซนต์แอนนา เซนต์จอร์จ เซนต์แคสเซียน และเซนต์วิกัส ตรงกลางเป็นเสาทรงกระบอก ด้านบนสุดเป็นรูปปั้นพระแม่มารี รอบเสาหินถูกทำเป็นถนนคนเดินและลานสำหรับตั้งโต๊ะของร้านกินดื่ม ที่ในเวลากลางวันจนถึงค่ำ ลานนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่การมาเยือนตั้งแต่หัววันเช่นนี้ บรรยากาศจึงดูเงียบสงบ เสาหินเซนต์แอนนาจึงดูสงบงาม ภายใต้สายหมอกที่แผ่ปกคลุมทั่วแผ่นฟ้า

ถัดจากเสาหินแอนนาไปไม่ไกลเป็นที่ตั้งของประตูไทรอัมพาล (Triumphal Arch) ด้วยรูปทรงสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกับประตูชัยในประเทศต่างๆ ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งมักเข้าใจผิดคิดว่าประตูแห่งนี้คือประตูชัย ทั้งที่จริงๆแล้วประตูหินแห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเป็นเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะใดๆ หากแต่สร้างขึ้นในโอกาสเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสของจักรพรรดิปีเตอร์ เลโอโปลด์ที่ 2 เมื่อปีค.ศ.1765 พระองค์เเป็นพระโอรสของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา  โดยด้านซ้ายและขวาของประตูเป็นรูปปั้นนูนต่ำครึ่งตัวของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา กับ จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 พระสวามี

โชคดีที่ประตูหินอายุกว่าร้อยปีแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ประเทศออสเตรีย ที่ถนนหนทางนั้นรถราไม่ติดขัด ประชากรนิยมปั่นจักรยานมากกว่าการขับรถยนต์ เพราะหากตั้งอยู่ในบางประเทศ อาจมีการเสนอให้ทุบประตูนี้ทิ้งเพราะตั้งกีดขวางการจราจรโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าที่ก่อตัวขึ้นจากกาลเวลาที่ผ่านไป

บนถนนแคบๆที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่เพิ่งเปิดประตูรับการมาเยือนของวันใหม่ สายฝนกลับมาโปรยปรายอีกครั้ง เมฆหมอกที่เมื่อครู่มีท่าทีว่าจะจางลง กลับมาแผ่ปกคลุมหนาขึ้นกว่าเดิม ปิดความหวังที่จะได้เห็นเทือกเขาแอลป์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านหมอกจนหมดสิ้น แต่สีสันของร้านรวงที่สดใส ก็ช่วยเติมแต่งให้การก้าวเดินไม่ซีดจางมากจนเกินไป

เราเดินสู่สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้มาเยือนเมืองเก่าอินส์บรุคต้องไม่พลาด นั่นคือ บ้านหลังคาทองคำ

(Golden Roof) หากใครไม่อ่านข้อมูลมาก่อน อาจจะจินตนาการว่าต้องเป็นบ้านหลังใหญ่ระดับคฤหาสน์ ที่มีหลังคาฉาบด้วยทองคำเหลืองอร่าม แต่ความจริงแล้ว บ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวที่มีความสูง 5 ชั้น แต่มีความโดดเด่นจากตึกแถวคูหาอื่นๆตรงที่พื้นที่ด้านหน้าทั้งหมดถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เป็นภาพจิตรกรรมอัศวิน 2 คน ยืนถือธงประจำราชวงศ์ฮับส์บูร์ก กับธงแห่งแคว้นทิโรล อยู่คนละฝั่งซ้ายและขวา เหนือขึ้นไปเป็นพลับพลา ซึ่งหลังคาของพลับพลานี้เองที่มุงด้วยกระเบื้องทองแดงชุบทองคำ จนกลายเป็นจุดเด่นที่คนยุคหลังเรียกกันต่อๆมาว่าบ้านหลังคาทองคำ ทั้งๆที่จริงๆแล้วสถานที่แห่งนี้มีจุดประสงค์ในการสร้างเพื่อใช้ในพิธีเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสของจักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 1 โดยพลับพลาที่มีหลังคามุงกระเบื้องชุบทองคำแห่งนี้ ใช้เป็นที่ประทับของพระองค์เพื่อชมการแสดงที่จัดขึ้นบนลานพิธีด้านล่าง

ทีแรกตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เข้าไปชมภายในบ้านหลังคาทองคำซึ่งถูกปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรมากนักนอกจากการบอกเล่าประวัติของอาคารหลังนี้ แต่ไหนๆเราก็ซื้อ Innsbruck card ซึ่งสามารถเข้าสถานที่ท่องเที่ยวได้ทุกที่มาแล้ว จึงขอแวะเข้าไปชมภายในสักหน่อย เราเดินขึ้นสู่ชั้น 2 ของอาคารซึ่งมีประตูกั้นอยู่ พยายามมองหาเจ้าหน้าที่เพื่อแสดง Innsbruck card ในการเข้าไปชมภายใน แต่มองหาอย่างไงก็เห็นมีเจ้าหน้าที่สักคน ทีแรกคิดว่าอาจยังไม่ถึงเวลาที่เปิดให้เข้าชม แต่เมื่อดูจากป้ายแสดงเวลาที่ติดไว้ด้านข้างแล้วก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเวลานี้คือเวลาที่ระบุว่าเปิดให้เข้าชมภายใน จึงยืนรอเจ้าหน้าที่อยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนมา สุดท้ายจึงตัดใจเดินออกจากอาคาร ด้วยความงงๆ

มี Innsbruck card แล้วไม่สามารถใช้ได้จะเริ่มรู้สึกอึดอัด เราจึงตรงไปใช้ Innsbruck card ที่พระราชวังโฮฟบูร์ก (Hofburg) ซึ่งปัจจุบันถูกแปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์เหมือนเช่นหลายต่อหลายพระราชวังทั่วโลก พระราชวังแห่งนี้แต่เดิมเป็นพระราชวังของเจ้าผู้ปกครองแคว้นทิโรล ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1463 ต่อมาจึงได้ตกเป็นของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในอดีต โดยได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ด้วยศิลปะแบบบาโรก ในสมัยจักรพรรดินีมาเรียเทเรซา ทำให้พระราชวังแห่งนี้มีความใหญ่โต ติดอันดับ 1 ใน 3 ของพระราชวังในออสเตรีย เป็นอาคารขนาดใหญ่ 4 ชั้น หลังคาทรงโดมสีเขียว

เราเดินซอกแซกไปตามห้องหับหลายต่อหลายห้องภายในพระราชวัง ชมมรดกล้ำค่าที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทุกห้องสามารถถ่ายรูปได้ทั้งหมด ยกเว้นห้องที่เป็นไฮไลน์ นั่นคือ ห้องโถงใหญ่ ที่ประดับประดาด้วยโคมไฟอย่างวิจิตรการตา ผนังทั้ง 4 ด้านอลังการด้วยภาพวาดเสมือนจริงของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา พร้อมด้วยเหล่าพระโอรสและพระธิดาทั้ง 17 พระองค์ ซึ่งจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา ได้ส่งพระธิดาทั้ง 11 พระองค์ไปอภิเษกสมรสกับเจ้าชายแห่งอาณาจักรต่างๆทั่วยุโรป เพื่อเป็นการผูกสัมพันธไมตรี จนได้รับฉายาว่า แม่ยายแห่งยุโรป

ออกจากพระราชวังโฮฟบูร์ก เราแวะไปชื่นชมความงามภายนอกของโบสถ์เจซุเทนกีร์เช (Jesuitenkirche Cathedral) ซึ่งเป็นหนึ่งในโบสถ์ประจำเมือง สร้างด้วยศิลปะแบบบาโรก ในลักษณะสมมาตรมีหอระฆังคู่อยู่ด้านข้าง ใจผมอยากเข้าไปชมภายในโบสถ์ซึ่งมีภาพวาดจิตรกรรมของพระแม่มารี ที่ว่ากันว่าสวยงามมากที่สุดภาพหนึ่งของดินแดนในเทือกเขาแอลป์ ติดที่เต้ยเพื่อนร่วมทางบอกว่ายังรู้สึกเลี่ยนๆในการเข้าชมโบสถ์ตั้งแต่กลับจากทริปรัสเซีย ทริปนั้นเราไปไม่พร้อมกัน ผมซึ่งไปทีหลังไม่รู้สึกว่าเลี่ยนอะไร อยากเข้าไปชมภายในทุกที่ที่มีโอกาส แต่เมื่อเพื่อนร่วมทางไม่อยากเข้าก็ต้องรักษาน้ำใจกันไว้ เราจึงเดินกลับไปยังใจกลางเมืองเก่าอีกครั้ง เพื่อนชมเมืองเก่าอินส์บรุคแบบเต็มๆในมุมสูง

หอคอยประจำเมือง (Stadturm) ซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่ทอดเชื่อมระหว่างบ้านหลังคาทองคำกับเสาหินเซนต์แอนนา คือสถานที่ยอดนิยมในการขึ้นไปชมวิวเมืองเก่าอินส์บรุค แต่เดิมหอคอยหินที่สร้างขึ้นสูงชลูดตั้งแต่ปีค.ศ.1450 มีหน้าที่ไว้คอยเฝ้าระวังการเกิดเพลิงไหม้ พร้อมมีระฆังเพื่อสั่นเตือนให้ประชาชนรู้ แต่ในปัจจุบันนี้ด้วยความสูง 31 เมตร ที่สูงกว่าทุกอาคารในเขตเมืองเก่า ทำให้หอคอยแห่งนี้ได้แปรสภาพเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับการชมวิว แต่ต้องเหนื่อยสักนิดในการเดินไต่ความสูงไปตามบันไดวน 133 ขั้น เพื่อขึ้นไปยังยอดหอคอยที่สามารถมองเห็นตัวเมือง

การชมเมืองจากยอดหอคอยต่างจากการมองมาจากสถานีเคเบิลคาร์ของยอดเขา Nordkette ตรงที่ การมองมาจากหอคอยประจำเมืองซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่านั้น มองเห็นตัวเมืองอินส์บรุคในแบบใกล้ชิดมากกว่า จึงได้เห็นว่าเมืองในหุบเขานี้มีถนนและตรอกซอยที่ซับซ้อนซอกซอนไปตามบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างหนาแน่น โดยเหล่าบ้านเรือนนั้นต่างสร้างขึ้นด้วยสีสันสดใส ทั้งสีเหลือง แดง ส้ม เขียว ดูแล้วเป็นเมืองเล็กๆในหุบเขาที่สุดแสนน่ารักจริงๆ

แล้วก็ถึงเวลาที่เราจะไปเยือนสถานที่ที่พบเห็นในภาพถ่ายแนะนำเมืองอินส์บรุคมากที่สุด แต่สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ใหญ่โตอลังการ หรือมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน หากแต่เป็นอาคารสีสันสดใสมีความสูง 4-6 ชั้น ที่สร้างต่อเรียงกันคล้ายตึกแถว ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำอินน์ ซึ่งหากแยกองค์ประกอบแล้ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเราในเวลานี้ ช่างแสนธรรมดาจนไม่น่าจะเป็นภาพตัวแทนที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์เมืองอินส์บรุค หากแต่องค์ประกอบต่างๆนั้นผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ทั้งอาคารหลากสี แม่น้ำอินน์ที่สายน้ำใสดั่งมรกต เหล่าต้นไม้ที่เรียงรายริมน้ำที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ช่างผสมผสานให้สิ่งที่เรียบง่ายเหล่านี้งดงามจนเกินบรรยาย นี่ขนาดมีม่านหมอกปกคลุมยังงดงามขนาดนี้ หากเทือกเขาแอลป์ที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง เผยโฉมให้ได้เห็นด้วยแล้ว ภาพเบื้องหน้าผมในเวลานี้จะงดงามมากเพียงใด

เราเดินไปตามการไหลของแม่น้ำอินน์เพื่อซึบซับความงดงามและบรรยากาศที่บริสุทธิ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เวลาพอมี จากนั้นจึงเดินกลับที่พัก เพื่อลากกระเป๋าไปสถานีรถไฟ คิดๆแล้วเราใช้ Innsbruck card ไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวครบทุกแห่ง ไม่ได้ใช้นั่งรถ Hop on – Hop off ในทุกที่ที่ไป โดยใช้การเดินทางเสียมากกว่า แต่นั่นก็ทำให้เราได้ซึมซับความเป็นอินส์บรุค เมืองในหุบเขาได้มากกว่า และเป็นสุขทุกทีที่คิดถึง

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 16.24 น.

ความคิดเห็น