เมื่อตั๋วแอร์เอเชียบุฟเฟต์ใกล้จะหมดเวลา และโครงการเราเที่ยวด้วยกันขยายเวลาเพิ่ม มีเหรอที่นักท่องเที่ยวอย่างผม คุณแฟน และเพื่อนจะพลาดโอกาสกับการเยือนสถานที่ที่ไม่เคยไป เพราะประเทศไทยมีดีกว่าที่คิด และมีอะไรให้ตามหาอีกมากมาย เราจึงไม่รอช้าที่จะสรรหาที่เที่ยวกันทันที และพิษณุโลกจึงเป็นเป้าหมายสำหรับการท่องเที่ยวในครั้งนี้ 

ผมและเพื่อนเลือกวันที่ 28 พฤศจิกายนเป็นวันเดินทาง และแพลนจะกลับในวันที่ 1 ธันวาคม โดยโปรแกรมคร่าวๆดังนี้

28 พฤศจิกายน ดอนเมือง-พิษณุโลก-ด่านซ้าย-ภูเรือ

29 พฤศจิกายน ภูเรือ-บ้านมุง-เนินมะปราง

30 พฤศจิกายน เนินมะปราง-พิษณุโลก

1 ธันวาคม พิษณุโลก-ดอนเมือง

เราออกเดินทางกันแต่เช้า เพิ่งมารู้ทีหลังว่า มีผู้โดยสารที่ติดเชื้อโควิดเดินทางมาพิษณุโลกแต่เป็นรอบเย็น วันเดียวกันเลย รู้สึกโชคดีนิดนึง ไม่งั้นต้องโดนกักตัวแน่ๆครับ

เราถึงสนามบินพิษณุโลกในเวลา 8.00 คุณแฟนแสนดีก็แวะมารับเหมือนเคย เรามุ่งหน้าสู่ด่านซ้ายทันที โดยมีเป้าหมายแรกคือ พระธาตุศรีสองรัก ซึ่งได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มากซึ่งคุณแฟนผมได้เคยมาบนบานไว้ เมื่อสำเร็จจึงต้องมาแก้บนท่าน

ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่งเราก็ถึงที่นี่ ซึ่งยังมีมนต์ขลังและมีความเก่าแก่มากๆ ตอนที่เราไปถึงก็เริ่มมีคนมาสักการะและขอพรกันแต่เช้า โดยสถานที่แห่งนี้ห้ามใส่สีแดงเข้ามานะครับ และหากใครจะแก้บนก็ต้องมาก่อนเที่ยง เพราะเค้ารับทำพิธีแค่ครึ่งวันครับ

จากนั้นเราเดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ผีตาโขน ในอ.ด่านซ้าย เดินทางแค่ 5 นาทีก็ถึงแล้วครับ ตัวพิพิธภัณฑ์ไม่ใหญ่มาก ตั้งอยู่ภายในวัดโพนชัย สัมผัสได้ถึงดินแดนวัฒนธรรมแห่งเดียวในโลก 

เราใช้เวลาไม่นาน ท้องเราก็เริ่มหิวครับ เราเลยไปฝากท้องไว้ที่ร้านส้มตำเจ๊น้อย คนเยอะมาก แต่สำหรับผมคิดว่ารสชาติธรรมดาไปหน่อยครับ

เมื่อหนังท้องอิ่ม หนังตาจะหย่อนไม่ได้ เพราะเราต้องไปต่อครับ แต่ขอเป็นแบบพักชิวๆนิดนึงเลยแวะร้านคาเฟ่ชื่อ ครามคีรีคาเฟ่ อยู่ตรงที่พักเราเลยครับ ชื่อภูเรือคีรีรีสอร์ท เดินทางประมาณ ครึ่งชั่วโมง อากาศกลางวันร้อนครับ เพราะแดดแรงมาก แต่ลมก็แรงเช่นกัน เมื่อเราอยู่ในที่ไม่มีแสงแดด เราจะรู้สึกเย็นทันที

หลังจากหลบแดดกันอยู่สักพัก ก็ได้เวลาไปไหวะพระต่อที่ วัดป่าห้วยลาด ห่างจากคาเฟ่ 15 นาที

วัดยิ่งใหญ่อลังการมาก และมีความสวยงามตามภาพที่เห็น  องค์พระพุทธรูปใหญ่มากครับ และมีอ่างเก็บน้ำสำหรับให้อาหารปลาด้วย เด็กๆน่าจะชอบ เมื่อเสริมบุญกันแล้ว ได้เวลาเข้าที่พักแล้ว ใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน ได้ห้อง family ในราคาสุดคุ้มครับ รักที่สุด

ฤดูหนาวจะมืดเร็วกว่าปกติ 6โมงเย็นที่นี่เลยมืดแล้วครับ ช่วงที่เรามาตรงกับเทศกาลคริสต์มาส เป็นโอกาสดีที่เราได้สัมผัสบรรยากาศงาน ลมเย็นได้ใจมากจริงๆ เราไปที่ สวิตเซอร์เลย และสถานที่จัดงานคือ ลานคริสต์มาส งานมีการประดับประดาไฟสวยงาม และมีการแสดงด้วยครับ ส่วนอาหารเย็นเราฝากท้องไว้ที่ร้านภูเรือโภชนา คนเยอะและเราประทับใจมาก เพราะรสชาติอาหารดี อาหารรวดเร็ว และน้องพนักงานน่ารักมาก บริการดีครับ  พรุ่งนี้เราต้องตื่นขึ้นภูแต่เช้า เราจีงเข้านอนกันเร็วหน่อย

เช้าวันรุ่งขึ้น เราขับรถไปตีนภูตั้งแต่ 5.30 สามารถขับรถไปได้เลยครับ จนถึงจุดจอดรถ ก็จะมีรถของชาวบ้านพาขึ้นไปส่งแค่คนละ 10 บาท เราต้องทำใจกับมวลชนจำนวนมากที่อยู่ที่นี่ อากาศดี ใครๆก็อยากเที่ยว เป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่เราก็ยังสามารถหามุมสวยๆแบบนี้ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นมาฝากนะครับ ที่นี่ไม่เห็นทะเลหมอก เพราะลมแรง แต่อากาศดีจริงๆ ฟอกปอดไปยาวๆกันได้เลยครับ

ขาขับรถลงจากภูเราแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดภูเรือมิ่งเมืองกันก่อนครับ วัดสวย ยิ่งใหญ่ไม่แพ้วัดอื่นๆเลย เราไปแต่เช้า คนเลยยังไม่เยอะ แต่คาดว่าสายๆ คนแน่นวัดแน่นอนครับ 

ลงจากภูเราก็กลับมา ทานอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วก็ check out สถานีต่อไปก็คือคาเฟ่ดีมีนา

จุดเด่นของคาเฟ่ร้านนี้คือ ร้านคง concept อนุรักษ์ครับ โดยใช้แก้วและหลอดกระดาษ และมีการแยกขยะอย่างดี ถือเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆครับ รสชาติขนมก็อร่อยมากกกกก ผมสั่งบราวนี่กับเค้กส้มมาทาน คืออร่อยมากจริงๆ ส่วนใครหวังจะมาชมทุ่งนาสีเขียวในหน้าหนาวต้องบอกว่าผิดหวังนะครับ เพราะฤดูนี้ ข้าวจะโดนเกี่ยวไปหมดแล้วครับ แต่ก็มีฟางกับเจ้าควายน้อยให้ทัศนาแทน ก็ดีไปอีกแบบ สัมผัสคาเฟ่ริมทุ่งแล้วก็ไปต่อกันที่อาหารเที่ยง เพราะเดี๋ยวต้องเดินทางไกล เราแวะที่ร้านไก่ย่างภูเรือครับ ร้านมาตรฐาน รสชาติอาหารโอเค ให้ผ่านครับ

เราใช้เวลา 3 ชั่วโมงเพื่อเดินทางจากภูเรือไปบ้านมุง หมู่บ้านภูเขาหินปูน ที่เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น โดยการขับรถจะต้องย้อนกลับมาทางเดิม ถามว่าทำไมเราต้องจัดทริปแบบนี้ เพราะที่อื่นเราไปหมดแล้ว ไม่อยากไปซ้ำ เลยขอไปที่ใหม่ๆบ้างครับ แม้ว่าจะต้องเสียเวลาขับรถ

เมื่อถึงบ้านมุง เราจะเห็นภูเขาหินปูนเรียงรายมากมาย เค้าบอกว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย ก็แปลกตาดีครับ ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้ มีที่เที่ยวของเอกชนมากมาย ที่ๆเราแวะไปมี บ้านไร่ภูตะวัน และแคมป์หมาบ้าใจดี ซึ่งจะตกแต่งเป็นทุ่งดอกไม้ และมีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูน สำหรับเราแล้ว เราว่าเฉยๆครับ อาจจะเพราะว่าเราเคยไปทุ่งดอกไม้มาเยอะแล้ว เลยไม่อินกับที่นี่เท่าไหร่ จริงๆไฮไลท์ของที่นี่คือการดูค้างคาวออกจากถ้ำนับล้านตัวพร้อมกัน แต่ด้วยเวลาที่เย็นและฟ้ามืดเร็ว เราจะต้องไปเนินมะปรางต่อ เราเลยตัดสินใจไม่ดูครับ

เราใช้เวลาอีก 40 นาทีเพื่อขับรถขึ้นเขาไปเนินมะปรางพักที่สวนพงษ์แตงฮิลล์รีสอร์ท เจ้าของน่ารักมากๆครับ แต่ที่นี่ทำให้เราผิดหวัง ไม่ใช่เพราะเจ้าของนะครับ แต่เป็นเพราะเราทราบว่าต้นไม้รูปหัวใจปิดให้บริการตั้งแต่โควิด และยังไม่เปิดเลย L การที่เราขับมาไกลขนาดนี้ก็เพื่อมาถ่ายรูปกับแลนมาร์คที่นี่ อยากจะร้องไห้เป็นภาษาต่างดาววววว คือเสียใจมาก แต่ก็ยังดีที่ยังเห็นวิวเนินมะปรางจากที่พัก พอให้ใจร่มได้บ้าง

เราตื่นเช้าด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเองที่ประมาท ไม่ศึกษาหาข้อมูลให้ดี สิ่งนี้ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การไม่เที่ยวตามแพลน เราก็หาความสุขได้ ชีวิตอย่าไปยึดติดอะไรมาก ปล่อยวางเป็นก็เย็นใจ เราจึงตัดสินใจออกจากเนินมะปรางเร็วกว่าแพลน มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองพิษณุโลกใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไปไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดคือพระพุทธชินราชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร และวัดที่อยู่ตรงข้ามกันคือวัดนางพญา ที่นี่เรากะมาชิลๆที่ตัวเมืองพิษณุโลกไม่ได้มีอะไรมาก เพราะเรามาบ่อยแล้ว สำหรับที่นี่เราฝากท้องมื้อเที่ยงที่ร้านจุกหมี่ไก่ มื้อเย็นที่ร้านแพพิดโลก และทับทิมกรอบสามหนุ่มเจ้าดัง ส่วนร้านกาแฟเราไปที่ประจำคือกาแฟไอยรา ร้านโปรดของคุณแฟนและเพื่อน ผมไม่ดื่มกาแฟเลยสั่งชามาทาน อร่อยเข้มกำลังดีครับ เป็นอันจบทริป

เมืองไทยมีอะไรให้ออกตามหาอีกเยอะจริงๆ ไว้จะมารีวิวทริปต่อไปกันอีกนะครับ J

ข้อคิดจากทริปนี้ : การมีแพลนทำให้เรามีเป้าหมาย และการเปลี่ยนแพลนก็คือการเปลี่ยนเป้าหมาย ไม่ว่าเป้าหมายจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่ต้องไม่เปลี่ยนตามคือความสุขที่สร้างได้ด้วยตัวเราเอง

JadTrip

 วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 22.07 น.

ความคิดเห็น