06.40 น. เราออกจากห้องพักเปิดประตูสู่โลกภายนอก ในเวลานี้พระอาทิตย์ได้ทำหน้าที่เปิดท้องฟ้าให้กลับมาสดใส ในขณะที่สายหมอกยังคงลอยอย่างอ้อยอิงเคลียคลอขุนเขาที่โอบกอดเมืองออบเบอร์ตรวน

เราเดินตรงสู่สถานีรถไฟที่อยู่อีกฟากของถนน ในเวลาเช้าเช่นนี้ สำหรับสถานีรถไฟเล็กๆอย่างออบเบอร์ตรวนนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่สักคนที่จะมาขายตั๋วหรือค่อยตอบข้อสักถามของผู้เดินทาง มีเพียงเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติเท่านั้น ซึ่งก็ไม่น่าจะยุ่งยากอะไรหากจะซื้อตั๋วด้วยตนเอง แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ภาษาที่ปรากฎบนหน้าจอมีแต่ภาษาเยอรมันซึ่งเป็นภาษาหลักที่ชาวออสเตรียใช้สื่อสารกัน แล้วเช่นนี้เราจะเข้าใจได้อย่างไง สุดท้ายเต้ยจึงลองกดโดยใช้หลักเหตุและผลว่าสถานีออบเบอร์ตรวนกับสถานีฮัลล์ซตัทท์นั้นห่างกันเพียงแค่สถานีเดียวเท่านั้น ฉะนั้นจึงเลือกช่องค่าโดยสารที่ถูกที่สุดคือ 1.2 ยูโร จนได้ตั๋วมาคนละใบ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าตั๋วที่ได้มานั้นถูกหรือไม่ เพราะเมื่อรถไฟมาเทียบชานชลา ภายในตู้โดยสารก็โล่งปราศจากผู้โดยสาร ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 5นาที ยังไม่ทันที่จะมีพนักงานมาตรวจตั๋ว รถไฟก็จอดส่งเราที่สถานีฮัลล์ซตัทท์แล้ว

เป็นไปตามที่ชายเจ้าของบ้านบอกจริงๆ เรือข้ามทะเลสาบสู่เมืองฮัลล์ซตัทท์นั้นจอดรอพร้อมออกอยู่ที่ท่าเรือด้านหลังสถานีรถไฟ ซึ่งเวลาเรือออกจะหลังจากเวลาที่รถไฟมาถึงเพียงแค่ 1-2 นาที เพื่อรับผู้โดยสารที่มากับรถไฟข้ามทะเลสาบสู่เมืองฮัลล์ซตัทท์ ซึ่งในเวลานี้มีเราเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่เป็นผู้โดยสาร

เรือค่อยๆเคลื่อนตัวไปบนผิวน้ำที่ใสสะอาดของทะเลสาบ ยิ่งใกล้เท่าไหร่ ตัวเมืองฮัลล์ซตัทท์ที่บ้านเรือนสร้างขึ้นริมทะเลสาบและบางส่วนสร้างไต่ระดับขึ้นไปตามไหล่เขาก็ค่อยๆแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีโบสถ์ฮัลล์ซตัทท์ ลูเธอร์รัน ซึ่งมีหอระฆังทรงสูงยอดแหลม เป็นดั่งจุดหมายของการล่องเรือ

หากย้อนเวลาไปในอดีต ฮัลล์ซตัทท์เกิดเป็นชุมชนและหมู่บ้านจากการทำเหมืองเกลือบนภูเขา ซึ่งคนในอดีตคงไม่มีใครคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่บนที่ราบเพียงน้อยนิดริมทะเลสาบแห่งนี้จะกลายเป็นหนึ่งในเมืองริมทะเลสาบที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดในโลก จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศออสเตรีย จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของออสเตรียที่ปรากฎให้เห็นตามสื่อต่างๆในการเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาเยือน ในระหว่างการล่องเรือใจผมจึงเต้นโครมครามว่าอีกไม่กี่อึดใจผมก็จะได้ก้าวเท้าลงบนพื้นดินริมทะเลสาบที่เป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจให้เดินทางมายังประเทศแห่งนี้

เรือค่อยๆเทียบท่าบริเวณหน้าโบสถ์ฮัลล์ซตัทท์ ลูเธอร์รัน (Hallstatt Lutheran) ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมือง แม้จะเป็นโบสถ์ที่ไม่ได้มีความใหญ่โตอะไรนัก แต่ด้วยตำแหน่งที่ตั้ง ประกอบกับหอระฆังทรงสูงยอดแหลม ตั้งโดดเด่นเห็นแต่ไกล ทำให้ภาพถ่ายของเมืองฮัลล์ซตัทท์มักจะมีโบสถ์แห่งนี้อยู่ในภาพด้วยเสมอ แต่การที่จะได้ภาพถ่ายที่งดงามนั้น ไม่ใช่การถ่ายภาพโบสถ์แห่งนี้แบบตรงๆในระยะประชั้นชิด แต่จะต้องเดินลัดเลาะขึ้นเหนือ ไปยังจุดที่ทะเลสาบโค้งเว้า ร้อยทั้งร้อยจะได้ภาพถ่ายเมืองริมทะเลสาบที่มีโบสถ์ฮัลล์ซตัทท์ ลูเธอร์รันเป็นองค์ประกอบที่งดงาม

หลังจากปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับฝูงนกเป็ดน้ำที่ลอยตัวบนผืนน้ำใสของทะเลสาบบริเวณท่าเรือ สองขาก็พาตัวกับหัวใจเดินขึ้นเหนือไปตามแนวถนนที่ลัดเลาะเหล่าบ้านเรือนริมทะเลสาบที่สร้างขึ้นด้วยรูปลักษณ์และสีสันที่สวยงาม จนทำให้เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดทายทักเหล่าดอกไม้สีสันสดใสที่บ้านแต่ละหลังปลูกไว้ริมหน้าต่าง ซึ่งบ้านเรือนที่น่ารักเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้กลายสภาพเป็นที่พักสำหรับนักเดินทาง ด้วยความสวยงามของทิวทัศน์ที่มองจากหน้าต่างของบ้านแต่ละหลัง หรือแม้แต่ตัวบ้านเองก็ปลูกและตกแต่งไว้อย่างน่ารัก จึงไม่แปลกเลยที่ราคาที่พักต่อคืนของเมืองแห่งนี้จะสูงลิบติดอันดับต้นของราคาที่พักในประเทศออสเตรีย

แล้วสองขาก็พาเรามาถึงจุดชมวิวมหาชน ที่เขียนเช่นนี้เพราะบรรดาภาพถ่ายเมืองฮัลล์ซตัทท์เกินครึ่งมักจะเป็นภาพที่ถ่ายจากมุมนี้ เพราะเป็นมุมที่ผืนทะเลสาบโค้งเว้า เมื่อถ่ายภาพย้อนกลับไปจึงเห็นเหล่าบ้านเรือนที่สร้างขึ้นอย่างน่ารักตั้งเรียงรายริมทะเลสาบ ในระดับสูงต่ำสลับกันไปตามความสูงของเนินเขาที่โอบกอดเมืองเล็กๆแห่งนี้เอาไว้ และอย่างที่เขียนไว้ว่ามีอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ภาพเมืองริมทะเลสาบแห่งนี้งดงามมากยิ่งขึ้น นั่นคือโบสถ์ฮัลล์ซตัทท์ ลูเธอร์รัน ที่มีหอระฆังยอดแหลมตั้งอยู่เกือบปลายสุดของแผ่นดินที่ยื่นเข้าไปในทะเลสาบ โดยมีแนวเทือกเขาสูงตะหง่านเป็นฉากหลัง ช่างเป็นการผสมผสานของสิ่งที่มนุษย์สรรค์สร้างกับความบริสุทธ์และตระการตาของธรรมชาติได้อย่างลงตัว หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งภาพที่เห็นคงไม่งดงามได้ขนาดนี้ เราจึงยืนมองภาพที่เห็นเบื้องหน้าให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

ขากลับแทนที่จะเดินลัดเลาะบนเส้นทางริมทะเลสาบ เราเลือกที่จะเดินไต่ระดับความชันเล็กๆของเนินเขาสู่โบสถ์คาธอลิค ปาริช (Catholic Parich Church) ซึ่งหากไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือโบสถ์ และเหล่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือหลุมฝังศพแล้วหละก็ ผมอาจคิดว่าเรากำลังเดินเข้าสู่สวนดอกไม้ เพราะหน้าหลุมศพแต่ละหลุมปลูกดอกไม้ไว้อย่างสวยงาม อีกทั้งด้วยตำแหน่งที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ทำให้สามารถมองเห็นตัวเมืองและทะเลสาบเบื้องล่างที่สวยงามจนสุดสายตา จึงสมควรแล้วที่สถานที่แห่งนี้ถูกเลือกให้เป็นที่พำนักอันนิรันดร์ของผู้ที่จากไป

เราเดินลงจากเนินเขาสู่ที่ราบเพียงน้อยนิดริมทะเลสาบอีกครั้ง จุดศูนย์กลางของที่ราบนี้อยู่ที่มาร์เก็ตสแควร์ (Market Square) ซึ่งแม้จะมีชื่อเช่นนี้ แต่อย่าคิดว่าบริเวณนี้คือตลาดสด หรือตลาดนัดที่เต็มไปด้วยร้านค้านะครับ เพราะจัตุรัสที่มีขนาดราว 20 เมตร X 20 เมตร แห่งนี้ โอบล้อมด้วยบ้านเรือนสีสันสดใส ปลูกดอกไม้ไว้ตามหน้าต่างและระเบียงอย่างสวยงาม ซึ่งกลายสภาพเป็นโรงแรมและร้านอาหารต้อนรับผู้มาเยือน

ใจกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ อันเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อปีค.ศ.1750 พร้อมด้วยเก้าอี้ไม้ตั้งล้อมรอบเป็นวงกลม ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าจัตุรัสแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นที่นัดพบ จัดกิจกรรมและพบปะของชาวเมืองฮัลล์ซตัทท์ซึ่งมีแค่ราวพันคน มากกว่าการเป็นจัตุรัสเพื่อการค้าขาย การได้นั่งพักบนเก้าอี้ มองการเคลื่อนไหวของชีวิตของผู้คนที่ผ่านไปมาอย่างช้าๆ ท่ามกลางอากาศที่สดชื่น น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีๆของชีวิต ที่ผู้มาเยือนเมืองเล็กริมทะเลสาบแห่งนี้จะสามารถให้รางวัลง่ายๆนี้แก่ตัวเองได้ทุกคน

เรายังคงมีความสุขกับการก้าวเดินไปอย่างช้าๆบนถนนที่เลียบเลาะริมทะเลสาบที่สองฟากฝั่งเรียงรายไปด้วยบ้านเรือนที่สร้างลดหลั่นไปตามเนินเขา ในเวลานี้ร้านค้าหลายร้านเริ่มเปิดรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยว ในขณะที่ใบไม้ยังคงเปลี่ยนสีและทิ้งใบร่วงลงสู่พื้นตามฤดูกาลที่เป็นไป

ใจและท้องอยากให้ร่างกายหยุดเพื่อหาแซนวิชสักชิ้นเป็นอาหารเช้า แต่ด้วยเวลาที่ไม่ได้เดินช้าเหมือนกับที่เราเดิน ทำให้ต้องบอกใจและท้องว่าอดทนไว้ก่อน เพื่อใช้เวลานี้ไปกับการขึ้นรถรางสู่จุดชมวิวบนเขาที่สวยงดงามจนได้รับการตั้งชื่อว่า จุดชมวิวมรดกโลก (World Heritage View Point)

นอกจากบริเวณท่าเรือแล้ว ทางทิศใต้ของตัวเมืองก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งชุมชน เพราะเป็นสถานีรถประจำทาง และเป็นที่ตั้งของสถานีรถรางที่จะพาผู้มาเยือนไต่ความสูงชันของขุนเขาสู่จุดชมวิวมรดกโลก และเหมืองเกลือโบราณอันเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งชุมชน ณ ที่แห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา

รถรางขึ้นเขาเริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 16.30 น. โดยออกทุก 15 นาที เรามาทันรถรางรอบ 9.45 น. ซึ่งน่าจะมีเวลาพอที่ไม่ต้องรีบเร่งอะไรนักกับการชมวิวเมืองฮัลล์ซตัทท์และท้องทะเลสาบจากบนภูเขา ก่อนที่จะกลับลงมาเพื่อรอรถเมล์รอบ 11.00 น.สู่เมืองออบเบอร์ตรวน

รถรางพาเราไต่ความสูงชันของภูเขาสถานีที่อยู่ด้านบน บนเส้นทางผ่านแนวแมกไม้ที่ฤดูใบไม้ร่วงทำให้เหล่าใบไม้เปลี่ยนเป็นสีสันที่สวยงาม มองย้อนลงมาเห็นเมืองเล็กๆริมทะเลสาบที่ค่อยๆเล็กลงมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ท้องทะเลสาบ ภูเขา และแผ่นฟ้ากลับค่อยๆยิ่งใหญ่และอลังการมากขึ้น

เมื่อออกจากสถานีรถราง ผู้โดยสารมี 2 ทางเลือก นั่นคือการเดินไปยังจุดชมวิว หรือไปเหมืองเกลือภูเขา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากใครมากับทัวร์ก็มักจะเลือกทั้ง 2 อย่าง แต่สำหรับเราซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องเวลาจึงทำได้แค่เพียงยืนมองถนนที่ทอดยาวไปยังเหมืองเกลือที่อยู่ไกลออกไป แล้วเดินเลี้ยวขวาสู่จุดชมวิวมรดกโลก

จุดชมวิวนี้ตั้งอยู่สูงกว่าตัวเมืองฮัลล์ซตัทท์ราว 350 เมตร ซึ่งได้รับการตั้งชื่อว่าจุดชมวิวมรดกโลกย่อมไม่ใช่จุดชมวิวธรรมดา โดยสร้างเป็นแผ่นสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ยื่นออกไปในอากาศ เมื่อยืนอยู่ปลายสุดของสามเหลี่ยมจึงได้อารมณ์เหมือนกำลังยืนอยู่กลางอากาศที่เคว้งคว้างเหนือแผ่นน้ำสีน้ำเงินเข้มของทะเลสาบฮัลล์ซตัทท์ โดยมีแนวเขาสูงตะหว่านโอบกอดไว้

การที่ขึ้นมาสูงขนาดนี้ นอกจากตัวเมืองฮัลล์ซตัทท์ที่ตั้งอยู่เบื้องล่างแล้ว ยังสามารถมองเห็นตัวเมืองออบเบอร์ตรวนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบได้ทั้งเมือง ยิ่งดูยิ่งอลังการถึงความยิ่งใหญ่และงดงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้จึงสมแล้วที่จะได้รับการตั้งชื่อว่า จุดชมวิวมรดกโลก เพราะนี่คือมรดกทางธรรมชาติที่คนบนโลกต้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้

รถรางพาเรากลับสู่พื้นแผ่นดินเบื้องล่าง แม้ไม่ได้ไปชมเหมืองเกลือภูเขา แต่เต้ยก็ได้เกลือกระปุกมาจากซุปเปอร์มาเก็ตที่ตั้งอยู่บริเวณท่ารถ โดยเป็นเกลือที่ปรุงรสมาเสร็จสรรพ เพียงแค่เหยาะลงบนข้าวก็อร่อยโดยไม่ต้องอาศัยกับข้าวเลย

ในระหว่างที่รอรถเมล์ เราก็เดินเตร็ดเตร่เก็บภาพความงามในมุมต่างๆ ซึ่งแม้ภาพถ่ายจากมุมมหาชนซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองจะงดงามที่สุดและเห็นได้บ่อยตามสื่อต่างๆ แต่ภาพที่มองจากท่ารถทางทิศใต้ก็งดงามไม่ได้น้อยไปกว่ากัน ซึ่งนอกจากเหล่าบ้านเรือนหลังน้อยที่สร้างเรียงรายไปตามแนวขอบทะเลสาบแล้ว ยังคงปรากฎหอระฆังยอดแหลมของโบสถ์ฮัลล์ซตัทท์ ลูเธอร์รันเป็นองค์ประกอบที่มีส่วนทำให้ภาพนี้สวยงามมากยิ่งขึ้น จนอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ที่ออกแบบโบสถ์แห่งนี้จะรู้ไหมว่าโบสถ์ที่เขาออกแบบจะมีส่วนช่วยทำให้เมืองเล็กน่ารักริมทะเลสาบที่แผ่นน้ำใสราวกระจกนี้ งดงามตราตรึงใจผู้มาเยือนมากเพียงใด

รถเมล์มาถึงจุดจอดในเวลา 10.57 น.ตามที่ระบุไว้ ใช้เวลาวิ่งบนถนนที่ลัดเลาะริมทะเลสาบเพียงแค่ 10 นาทีก็พาเรามาสู่เมืองออบเบอร์ตรวน หลังจากเข้าไปเอากระเป๋าและร่ำลาเจ้าของบ้านพักแล้ว เรายังมีเวลาเก็บภาพเมืองงามที่แสนสงบนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะลากกระเป๋าสู่สถานีรถไฟ

ฮัลล์ซตัทท์ ออบเบอร์ตรวน 2 เมืองเล็กน่ารักริมทะเลสาบจะยังคงอยู่ในความทรงจำที่แสนงดงามของเราตลอดไป

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 13.58 น.

ความคิดเห็น