การเดินทางด้วยรถไฟระหว่างเมืองใน 3 วันที่ผ่านมาเป็นการเดินทางตรงจากสถานีต้นทางไปยังสถานีอันเป็นจุดหมาย แต่สำหรับการเดินทางจากเมืองออบเบอร์ตรวนไปยังเมืองกราซนั้นไม่มีรถไฟวิ่งตรง จึงต้องต่อรถไฟระหว่างทางที่สถานี Stainach-Irdning

ตามเวลาที่กำหนดไว้ในตั๋วโดยสาร เราออกจากสถานี Obertraun เวลา 11.28 น. จะถึงสถานี Stainach-Irdning ในเวลา 12.15 น. โดยมีเวลาให้เปลี่ยนขบวนรถไฟแค่ 6 นาที ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่กระชั้นมาก แต่การจองตั๋วผ่าน Internet มาล่วงหน้า ระบบเลือกเวลาของการเดินทางให้เช่นนี้ นั่นย่อมหมายความว่าการรถไฟออสเตรีย หรือ OBB น่าจะมีความมั่นใจ ซึ่งก็เป็นตามนั้น เรามาถึงสถานี Stainach-Irdning ตรงตามเวลา และเวลา 6 นาทีนั้นมากพอสำหรับการเดินลากกระเป๋าไปยังอีกชานชลาเพื่อเปลี่ยนขบวนรถไฟ

ในระหว่างการเดินทางด้วยรถไฟ เรายังคงมองเห็นทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าและท้องนาอันเขียวขจี ที่ยังคงมีแนวเขาเป็นฉากอยู่เบื้องหลัง จนกระทั้งใกล้ถึงสถานี Graz ทัศนียภาพที่มองเห็นผ่านกระจกหน้าต่างจึงเริ่มมีความเป็นเมืองให้ได้เห็น

กราซ (Graz) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศออสเตรีย โดยเป็นเมืองหลวงของรัฐสติเรีย (Styria) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงเวียนนา ด้วยระยะทาง 200 กม. ซึ่งระยะทางไม่ไกลจากกรุงเวียนนานี้เองเป็นเหตุผลที่เราเลือกเมืองนี้เป็นที่นัดพบ โดยวันนี้น้องเนกับพี่เดือนจะบินมาถึงกรุงเวียนนาในช่วงสายๆ ทีแรกคิดว่าจะนัดเจอกันที่กรุงเวียนนา เพื่อเดินทางต่อไปยังบูดาเบสท์ด้วยกัน แต่ผมเปลี่ยนแผนให้ไปเจอกันที่เมืองกราซแทน เพราะจะได้เที่ยวเมืองกราซเพิ่มขึ้นอีกเมือง

เรามาถึงสถานีรถไฟกราซในเวลา 14.14 น. แม้ตัวเมืองกราซจะมีสถานที่น่าชมมาก ในขณะที่เวลาเรามีไม่มากเท่า แต่เราก็ยังไม่รีบออกจากสถานีรถไฟเร็วเกินไปนัก เพราะภายในสถานีมีสปาร์ ไม่ใช่ สปา แบบบำรุงผิวพรรณนะครับ แต่เป็น SPAR ร้านสะดวกซื้อซึ่งมีสาขามากมาย คล้ายๆกับ 7 eleven โดยในเมืองไทยก็เริ่มมีบ้างแล้วตามปั๊มน้ำมัน ร้าน SPAR ภายในสถานีรถไฟนี้มีขนาดใหญ่มาก พอๆกับซุปเปอร์มาเก็ตในห้างสรรพสินค้า เราจึงเข้าไปจับจ่ายซื้อของกินทั้งขนมปังและผลไม้ไว้เป็นเสบียงในการเดินทาง

จากสถานีรถไฟเราเดินลากกระเป๋าสู่โรงแรม A&O ซึ่งอยู่ไม่ไกล อีกทั้งยังหาง่ายเพราะเป็นอาคารสีเขียว เห็นเด่นแต่ไกล โรงแรมนี้มีเครือข่ายหลายแห่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในพนักงานต้อนรับเป็นคนไทย โดยเธอแนะนำแผนที่ท่องเที่ยวและสายรถเมล์สำหรับการเที่ยวชมเมืองกราซให้เราอย่างละเอียด

เมื่อเข้าห้องพัก เราก็ได้ไลน์จากน้องเนว่าจะมาถึงกราซค่ำๆ พร้อมส่งแผนที่โรงแรมมาให้ ดูแล้วค่อนข้างไกลจากโรงแรมที่เราพักพอควร อีกทั้งไม่แน่ใจว่าต้องเดินทางด้วยรถเมล์สายอะไร แต่ไม่เป็นไรไว้ค่ำๆค่อยว่ากัน ตอนนี้ขอเที่ยวย่านเมืองเก่ากราซก่อนแล้วกัน

แม้ฝั่งตรงข้ามโรงแรมจะมีป้ายรถเมล์ แต่เรากลับเลือกที่จะเดินเพื่อไปยังตัวเมืองที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำมูร์ (Mur) แม้ว่าจะมีระยะทางหลายกิโลเมตร แต่การเคลื่อนที่แบบช้าๆด้วยการเดินก็เป็นคำตอบในการที่จะสัมผัสความเป็นไปของเมืองกราซได้ดีที่สุด

แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 แต่ดูเหมือนชีวิตของผู้คนที่นี่ก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก อีกทั้งการที่มีพลเมืองไม่มากนัก ประกอบกับระบบขนส่งมวลชนที่มีอย่างเพียงพอทั้งรถเมล์และรถราง รวมถึงการเลือกใช้พาหนะที่ไม่ปล่อยมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมอย่างจักรยาน ก็ทำให้บนถนนหนทางมีรถราวิ่งอย่างบางตา อีกทั้งอากาศที่เย็นสบายทำให้การเดินทอดน่องชมบ้านเรือนและเหล่าร้านรวงที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมอย่างสวยงามและทาสีอาคารอย่างสดใสนั้นเติมความสุขเล็กๆให้กับเราในทุกย่างก้าว

เราเดินมาถึงแม่น้ำมูร์ (Mur) แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชาวเมืองมาตั้งแต่อดีต ไม่ใช่เฉพาะสะพานมาคาร์ทสเตจ แห่งเมืองซาลซ์บูร์กที่มีแม่กุญแจแขวนตลอดแนวสะพาน สะพาน Erzherzog – Johaan ที่ทอดข้ามแม่น้ำ Mur ก็เช่นกัน มีแม่กุญแจแขวนเรียงรายตลอดแนวสะพาน ในขณะที่แม่น้ำมูร์เองก็งดงามน่าชม

ว่ากันว่าเมืองกราซ เป็นอีกเมืองในประเทศออสเตรียที่รวยรุ่มไปด้วยศิลปะ ซึ่งนอกจากบรรดาอาคารบ้านเรือนที่เราก้าวผ่านเมื่อครู่แล้ว ที่เชิงสะพาน Erzherzog – Johaan ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Kunsthaus Graz ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่หลักในโอกาสที่กราซได้รับยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรป เมื่อปีค.ศ.2003 โดยสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่แปลกตา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครหากผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก เป็นต้องหยุดมองด้วยความฉงนว่าอาคารนี้มันสร้างเป็นรูปทรงอะไรกัน สำหรับผมเองมองดูแล้วคิดไปถึงสัตว์ต่างดาวที่มีรูปร่างคล้ายปลาวาฬตัวยักษ์กำลังนอนเกลยตื้น โดยมีปุ่มจำนวนมากขึ้นอยู่บนแผ่นหลัง

นอกจากนี้ที่กลางแม่น้ำมูร์ยังมีอีก 1 สิ่งก่อสร้างที่ชวนสงสัยว่าอันคืออะไร โดยมีลักษณะเหมือนอ่างแก้วขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางน้ำ แต่การไปไม่ถึงกับต้องว่ายน้ำหรือพายเรือ เพราะมีการสร้างสะพานเชื่อมกับทั้ง 2 ฝั่งน้ำ สถานที่แห่งนี้คือ Island in the Mur โดยเป็นอีก 1 สถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.2003 ในวาระที่กราซได้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรป โดยปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นที่จำหน่ายชา กาแฟและเครื่องดื่ม ให้เหล่านักจิบได้นั่งแฮงค์เฮ้าท์อยู่กลางสายน้ำ

เราข้ามแม่น้ำมูร์สู่ย่านเมืองเก่ากราซ ไม่ไกลจากเชิงสะพาน Erzherzog – Johaan เป็นเส้นทางขึ้นสู่เขาชลอสเบิร์ก กราซ (Schlossberg Graz) โดยเป็นเนินเขาที่สูงไม่มากนัก แต่ข้างบนนั้นมีสถานที่น่าชมหลายแห่ง รวมถึงเป็นจุดชมวิวอย่างดีที่จะมองลงมาเห็นเมืองกราซทั้งเมือง

การขึ้นสู่ยอดเขาชลอสเบิร์ก กราซ ทำได้ 3 วิธี คือการเดินไปตามขั้นบันไดที่ทอดตัวสลับฟันปลา โดยมองเห็นเส้นทางตั้งแต่ด้านหน้าเขา ดูแล้วเส้นทางชันเอาเรื่อง หากเลือกวิธีนี้กว่าจะถึงพระอาทิตย์คงลับขอบฟ้าไปเสียก่อน หรือเลือกที่จะใช้บริการรถราง แต่ต้องเดินต่อไปยังสถานีที่อยู่ทางทิศเหนือ และวิธีสุดท้ายที่เราเลือกซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกสบายที่สุด นั่นคือ การขึ้นลิฟท์ เพราะทางขึ้นอยู่เบื้องหน้าเราในเวลานี้

ลิฟท์นั้นไม่ได้สร้างอยู่ด้านข้างภูเขา หากแต่เป็นการเจาะเป็นช่องทะลุกลางเขา ในการขึ้นลิฟท์จึงต้องเดินเข้าไปในอุโมงค์ที่ถูกเจาะไว้ เสมือนหนึ่งเดินเข้าไปในถ้ำ ซึ่งจะว่าไปราคาขึ้นลิฟต์คนละ 1.6 ยูโรต่อเที่ยว คิดแล้วค่อนข้างแพง แต่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพของคนที่นี่และเงินลงทุนในการเจาะทะลุภูเขาเพื่อสร้างลิฟท์ก็ถือว่าเป็นราคาสมเหตุสมผล

จากพื้นล่าง ประตูลิฟท์เปิดอีกทีก็เมื่อถึงบนเขา ภาพที่ปรากฎให้เห็นคือตัวเมืองกราซที่บ้านเรือนขึ้นกันอย่างหนาแน่น ไปจนสุดแนวเขาอันเป็นปราการธรรมชาติที่อยู่สุดสายตา จึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีทัศนียภาพที่งดงามเมื่อมองลงมาจากมุมสูง อีกทั้งด้านบนนี้มีหอนาฬิกาโบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ภาพเบื้องหน้านี้งดงามมากขึ้นไปอีก ซึ่งนี่คือภาพความงามที่ผมอยากมาเห็นกับตา จนต้องเปลี่ยนแผนในการนัดพบกันมาที่เมืองแห่งนี้

หอนาฬิกาโบราณนี้น่าจะเป็นหนึ่งในหอนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลก เพราะแท้จริงแล้วแต่เดิมเป็นหอที่ใช้ในการเฝ้าระวังไฟและสังเกตการณ์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของป้อมโบราณบนเขา อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการป้องกันเมืองกราซ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่สุดท้ายก็ถูกเผาทำลายในสงครามนโปเลียน ในปีค.ศ.1809 นอกจากหอนาฬิกาแห่งนี้แล้ว ยังคงปรากฏร่องรอยของซากป้อมปราการและพระราชวังโบราณอีกหลาย

ผมมองดูเข็มบอกเวลาบนหอนาฬิกาว่ายังทำหน้าที่บอกเวลาอยู่หรือไม่ แต่ดูแล้วก็ชวนให้ฉงน เพราะขณะนี้เวลา 16.30 น. แต่เข็มสั้นนั้นชี้ไปที่เลข 6 ในขณะที่เข็มยาวอยู่ตรงกลางระหว่างเลข 4 กับเลข 5 หมายความว่านาฬิกานี้กำลังบอกเวลา 18.22 น. โดยนาฬิกาทั้ง 4 ด้านก็บอกเวลาเดียวกัน ซึ่งเร็วกว่าเวลาจริงๆไปเกือบ 2 ชม. แต่แท้จริงๆแล้วหอนาฬิกาแห่งนี้มีความแปลกกว่านาฬิกาทั่วไปตรงที่ เข็มสั้นแทนที่จะเป็นเข็มบอกชั่วโมง กลับเป็นเข็มบอกนาที ในขณะที่เข็มยาวแทนที่จะเป็นเข็มบอกนาที กลับเป็นเข็มบอกชั่วโมง สาเหตุที่เข็มนาฬิกากลับตาลปัตรเช่นนี้เป็นเพราะ หอนาฬิกาขนาดใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่บนเขาแห่งนี้ทำหน้าที่บอกเวลาให้ชาวเมืองที่อยู่ด้านล่าง การดูเวลาจะต้องดูง่าย เดิมจึงมีเฉพาะเข็มบอกชั่วโมงเท่านั้น ต่อมาภายหลังจึงมีการทำเข็มบอกนาทีขึ้นมา แต่ครั้นจะให้เข็มนาทียาวกว่าเข็มชั่วโมงเหมือนนาฬิกาทั่วไปก็เกรงว่าจะทำให้ชาวเมืองด้านล่างมองผิด จึงทำเข็มนาทีให้สั้นกว่าจนกลายเป็นหอนาฬิกาที่นอกจากจะใหญ่อลังการแล้ว ยังแปลกประหลาดกว่านาฬิกาทั่วไป

ไม่ว่าเข็มบอกชั่วโมงจะเป็นเข็มสั้นหรือเข็มยาว อย่างไรก็ตามเวลาบนนาฬิกาก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้น เวลาจะเดินเร็วหรือช้าบางครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับใจเรา เหมือนกับพระอาทิตย์ในแต่ละฤดูกาลก็ขึ้นและตกด้วยเวลาที่ไม่เท่ากัน ฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้พากันเปลี่ยนสีทั้งผืนป่าเช่นนี้ พระอาทิตย์ที่กำลังอำลาขอบฟ้าเดินเร็วกว่าเข็มวินาทีอีก นี่เพิ่ง 4 โมงครึ่ง แต่ขอบฟ้าก็เริ่มทอแสงอย่างอ่อนแรง

ทีแรกผมคิดว่าเมื่อพระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า ผู้คนจะพากันทยอยกลับ แต่ดูเหมือนยิ่งพลบค่ำ คนบนเขากลับยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันพื้นที่ที่เคยเป็นป้อมปราการและพระราชวังบนเขาแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็นสวนสาธารณะที่ชาวเมืองมาเดินเล่น นั่งเล่นชมดอกไม้ต้นไม้ท่ามกลางบรรยากาศที่ร่มรื่น เวลาเลิกงานเช่นนี้ การขึ้นมาพักผ่อน กินอาหารอร่อยๆพร้อมชมทิวทัศน์ที่งดงามบนเขาจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของชาวเมือง ด้านบนนี้จึงมีร้านอาหารที่ตั้งในมุมที่สวยงาม 2-3 ร้าน ให้ทานอาหารแกล้มด้วยทิวทัศน์ จนไม่รู้ว่ารสชาติอาหารหรือทิวทัศน์ที่ได้เห็น สิ่งไหนจะสร้างความถูกใจได้มากกว่ากัน

เราเดินเลียบแนวเขาไปยังอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ นั่นคือ หอระฆัง ซึ่งเดิมก็เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการและปราสาทบนเขา แล้วก็ถูกทำลายลงในสงครามนโปเลียนเช่นกัน โดยหอระฆังที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในรูปแบบเดิม ภายในมีระฆังขนาดใหญ่ยักษ์ด้วยน้ำหนักกว่า 4 ตัน ใกล้ๆกันนั้นมีแนวกำแพงที่หลงเหลือจากการถูกทำลายให้ได้จินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตของป้อมปราการอายุกว่า 5 ร้อยปี

ลมหนาวเริ่มพัดมาพร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความงดงามของเมืองกราซที่มองเห็นจากบนเขาก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปสู่อีกมุมมองหนึ่งที่ต่างออกไปด้วยแสงไฟที่เรืองรองจากอาคารบ้านเรือนแต่ละหลัง ในเวลานี้ใจเริ่มอยากสัมผัสตัวเมืองเก่ากราซให้ชิดใกล้มากกว่าการมองจากมุมสูง ไม่จำเป็นต้องบอกกัน แต่เราก็รู้กันว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะอำลาภาพความงามที่มองเห็นจากด้านบน เพื่อโดยสารลิฟท์ไปยังจุดที่เราขึ้นมา

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.46 น.

ความคิดเห็น