เนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงเวลาเลิกงาน ย่านเมืองเก่ากราซจึงเริ่มมีผู้คนหนาตาขึ้น แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความเงียบสงบของเมืองนี้เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก จุดศูนย์กลางของย่านเมืองเก่าคือ จัตุรัสใจกลางเมือง (Hauptplatz) ในอดีตจัตุสแห่งนี้เคยเป็นตลาดกลางในการจำหน่ายสินค้าและพืชผลทางเกษตร ปัจจุบันกลายสภาพเป็นจุดนัดพบ ลานกิจกรรมของเมือง และจุดศูนย์กลางของรถเมล์และรถราง โดยมีอนุสาวรีย์อาร์ชดยุค ผู้นำความเจริญมาสู่แคว้นสติเรีย ตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางจัตุรัส

ด้านหนึ่งของจัตุรัสเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองกราซ (Grazer Rathaus) เป็นอาคารขนาดใหญ่ ความสูง 4 ชั้น ที่สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมการก่อสร้างสไตล์นีโอคลาสสิค สร้างขึ้นแทนอาคารหลังเก่าเมื่อปีค.ศ.1803 ตรงกลางและปีกซ้ายขวาของอาคาร สร้างเป็นโดม โดยมีหอคอยยอดแหลมตั้งอยู่บนนั้น ซึ่งหากมาเยือนในเวลากลางวันสามารถเข้าไปชมความสวยงามภายในได้ แต่การมาเยือนในเวลาเย็นย่ำเช่นนี้ แม้จะสามารถทำได้แค่เพียงยลความงดงามจากภายนอก แต่ก็มีข้อดีตรงที่ความงดงามนั้นเพิ่มมากขึ้นจากแสงไฟที่อาบไล้ตัวอาคาร และไม่ใช่เพียงศาลาว่าการเมืองเท่านั้น แต่บรรดาอาคารเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเรเนอซองส์รอบจัตุรัสใจกลางเมืองก็ล้วนถูกสร้างไว้อย่างสวยงาม

เราเดินเข้าไปในตรอกที่อาจจะแคบเกินไปหากรถยนต์จะวิ่งสวนกัน โดยมีจุดหมายที่การชมตุ๊กตาเต้นระบำที่หอนาฬิกาด้านบนร้าน Gottfried Maurer แต่ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกพอควรก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้นในเวลา 18.00 น. บริเวณนี้จึงแทบจะปราศจากผู้คน มีแค่เพียงลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านแค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้น เพื่อใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด ผมจึงชวนเต้ยเดินทะลุตรอกที่อยู่ด้านหลังเพื่อไปชมโบสถ์กราซ (Graz Cathedral) โบสถ์ประจำเมืองสร้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ภายนอกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์กอธิคที่เน้นความใหญ่โตโดยแทบจะปราศจากการตกแต่งใดๆ ในขณะที่ภายในเน้นการตกแต่งอย่างหรูหราแบบบาโรก

เรากลับมาที่หน้าร้าน Gottfried Maurer อีกครั้ง อีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลา 18.00 น. จึงเริ่มมีผู้คนมายืนรอชมการแสดงของตุ๊กตาเต้นระบำ โดยการมีตุ๊กตาเต้นระบำนี้เป็นไอเดียของนาย Gottfried Maurer ตั้งแต่เมื่อปีค.ศ.1884 เพื่อใช้เรียกความสนใจของผู้คนที่ผ่านไปมาให้เข้ามาจิปไวท์ที่จำหน่ายภายในร้าน ทำให้ได้รับการกล่าวถึงแบบปากต่อปาก จนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งใน The Must ที่ผู้มาเยือนเมืองกราซต้องห้ามพลาด แต่ละวันจะมีการแสดงทั้งหมด 3 รอบ คือเวลา 11.00 น. 15.00 น. และ 18.00 น.

เวลา 18.00 น.ตรง เสียงดนตรีซึ่งเป็นเสียงระฆังที่บรรเลงในโบสถ์ก็ดังขึ้นพร้อมกับตุ๊กตาชายหญิงค่อยๆเคลื่อนตัวออกมาจากช่องด้านล่างนาฬิกา แล้วหมุนรอบตัวเองในลักษณะการเต้นระบำ กินเวลานานรวม 10 นาที เป็นความบรรเทิงที่อาจจะไม่หวือหวาหากเทียบกับยุคปัจจุบัน แต่เป็นหนึ่งในนวัตกรรมในอดีต ที่ยังคงความคลาสสิคมากว่าร้อยปี

น้องเนไลน์มาบอกว่าเธอกับพี่เดือนเดินทางมาถึงโรงแรมในเมืองกราซแล้ว แต่เหนื่อยมาก ไว้เจอกันพรุ่งนี้เลยดีกว่า ผมกับเต้ยจึงโดยสารรถรางกลับที่พัก โดยการโดยสารรถรางภายในเมืองสามารถซื้อบัตรโดยสารได้ที่ตู้จำหน่ายอัตโนมัติ เราซื้อบัตรแบบ 1 วัน ราคาคนละ 5.3 ยูโร แต่ภายในรถรางก็ไม่มีการตรวจตั๋วโดยสารแต่อย่างใด เพราะอย่างที่บอกว่าความซื่อสัตย์นั้นเป็นสิ่งพื้นฐานที่ชาวออสเตรียทุกคนพึงมี

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมกับเต้ยกลับมาที่สถานีรถไฟกราซอีกครั้ง เพราะเป็นที่นัดพบกับน้องเน พี่เดือน แน่นอนว่าจุดนัดพบคือหน้าร้าน SPAR ซึ่งหาง่ายและสะดวก 8 โมงตรง 2 สาวมาถึงจุดนัดพบ เป็นอันว่าการเดินทางต่อจากนี้จะเป็นการเดินทางที่ครบทีมสักที แม้ว่าจะมีเวลาสั้นๆเพียงแค่ 2 วันก็ตาม แต่ก็เพิ่มสีสันให้กับการเดินทางได้มากทีเดียว

ด้วยเวลาที่เรามีเพียงแค่ครึ่งวัน เพราะช่วงบ่ายวางแผนที่จะเดินทางข้ามประเทศไปยังกรุงบูดาเบสท์ สถานที่ที่จะไปเยือนจึงต้องเป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามเพื่อให้คุ้มกับการที่ 2 สาวต้องเดินทางย้อนมาเมืองนี้แทนที่จะเดินทางตรงไปกรุงบูดาเบสท์ สถานที่สำคัญในเมืองกราซที่เราเลือกคือ คฤหาสน์เอจเจนเบิร์จ (Schloss Eggenberg)

รถรางสาย 1 ส่งพวกเราที่ปากทาง จากนี้ต้องเดินต่ออีกนิด การเข้าชมภายในพื้นที่คฤหาสน์ สามารถเลือกได้ 2 แบบคือ ชมเฉพาะพื้นที่สวน กับเข้าชมภายในคฤหาสน์ การเข้าชมภายในคฤหาสน์จะมีเจ้าหน้าที่พาเข้าชมเป็นรอบๆ รอบแรกเริ่มเวลา 10.00 น. ซึ่งเราคงไม่สามารถรอจนถึงเวลานั้นได้ เราจึงเลือกซื้อบัตรเฉพาะการชมพื้นที่สวนเท่านั้น เพียงแค่คนละ 2 ยูโร

คฤหาสน์เอจเจนเบิร์จ เป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของเจ้าชาย Hans Ulrich von Eggenberg สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1625 โอบล้อมด้วยสวนขนาดใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นสวนที่เก่าแก่มากที่สุดของรัฐสติเรีย โดยมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก ซึ่งหลายต้นมีอายุนับร้อยปี ยิ่งเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเช่นนี้ สวนแห่งคฤหาสน์ Schloss Eggenberg จึงงดงามยิ่งนัก สำหรับ 2 สาวแล้ววันนี้ได้เที่ยวเป็นวันแรก หลังจากที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองไทย พวกเธอจึงเบิกบานเป็นที่ยิ่ง ใบไม้เปลี่ยนสีที่อาจจะเป็นสิ่งธรรมดาของคนที่นี่ จึงกลายเป็นของล้ำค่าสำหรับคนไกล

แม้ไม่ได้ซื้อบัตรแบบเข้าไปชมภายในคฤหาสน์ แต่การซื้อบัตรชมสวนก็สามารถชมความงดงามและยิ่งใหญ่ภายนอกของคฤหาสน์ได้ โดยคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีความสูง 3 ชั้นนี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก โดยสถาปนิกชาวอิตาลีผู้ออกแบบนั้นได้แฝงตัวเลขต่างๆที่มีในปฏิทินไว้ในมิติต่างๆของคฤหาสน์ เริ่มตั้งแต่ หอคอยที่มุมทั้ง 4 แทน 4 ฤดูกาล มีประตูทั้งหมด 52 บาน แทนจำนวน 52 สัปดาห์ใน 1 ปี แต่ละชั้นมี 31 ห้อง แทนจำนวนวันในแต่ละเดือน และมีหน้าต่างทั้งหมด 365 บาน แทนจำนวนวันในรอบปี ช่างเป็นสถาปนิกที่มีความคิดแยบยลเสียเหลือเกิน

ถึงเวลาอำลาเมืองกราซเพื่อเดินทางต่อกันแล้ว 2 หนุ่ม กับ 2 สาวต้องแยกจากกันเพื่อกับไปเอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้กับโรงแรมที่อยู่คนละที่กัน โดยมีจุดนัดพบที่สถานีรถไฟเช่นเดิม เราโดยสารรถรางจากสถานีรถไฟไปจัตุรัสกลางเมืองอีกครั้ง เพื่อต่อรถรางอีกสายไปยังท่ารถ ซึ่งก็ดีสำหรับ 2 สาว เพราะมาเยือนเมืองกราซทั้งที แม้ไม่ได้เดินเล่นเที่ยวชมย่านเมืองเก่า แต่อย่างน้อยก็ได้มาจัตุรัสใจกลางเมือง เวลาในการรอรถรางแค่ไม่กี่นาที 2 สาวก็เก็บภาพได้หลายภาพ

สำหรับการเดินทางสู่กรุงบูดาเบสท์ ประเทศฮังการีนั้น ไม่มีรถโดยสารตรงที่วิ่งจากเมืองกราซ เราจึงต้องเดินทางไปเปลี่ยนรถที่สนามบินในกรุงเวียนนา เราเลือกใช้บริการบริษัท Flibus ซึ่งตัวรถรวมถึงที่นั่งภายในล้วนเป็นโทนสีเขียวสด เป็นรถใหม่ ที่นั่งกว้างสบาย มี WiFi โดยมีผู้ร่วมเดินทางไม่ถึงครึ่งคัน รถใช้เวลาวิ่ง 2 ชั่วโมงเศษก็พาเรามาถึงสนามบินกรุงเวียนนา คิดๆแล้วก็นึกสงสารน้องเนกับพี่เดือน เพราะเมื่อวานเพิ่งมาถึงสนามบิน วันนี้ก็ต้องนั่งรถกลับมาสนามบินอีกแล้ว

แล้วการเดินทางข้ามประเทศด้วยวีซ่าเชงเกนก็กำลังจะเริ่มขึ้น

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 16.28 น.

ความคิดเห็น