หลังจากที่ได้พลังงานและความชื่นใจจากไอศครีมรสชาติเยี่ยม เราก็มีแรงเดินลงเขา ขาขึ้นว่าสวยแล้ว แต่ขาลงกลับสวยยิ่งกว่าจากใบเมเบิ้ลเปลี่ยนสีที่ผลัดใบร่วงลงสู่พื้นดิน )

ที่ปากทางขึ้นหรือทางลงอีกฝั่งหนึ่งซึ่งแล้วแต่ว่าจะมาจากฝั่งไหน ตรงกับสะพาน Erzsebet hid อีกหนึ่งสะพานแขวนที่ทอดข้ามแม่น้ำดานูบ จนผมหลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสะพานเชนอันโด่งดัง จึงถ่ายรูปไปเสียยกใหญ่ แต่จริงๆแล้วมีลักษณะต่างกัน เพราะสะพานนี้สร้างแบบเรียบง่ายไม่มีการตกแต่งใดๆ ต่างจากสะพานเชนที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม ซึ่งไม่รู้ว่าเพื่อนๆมีใครเข้าใจผิดแบบผมไหม เพราะเห็นถ่ายรูปตามกันทุกคน (555)

หมดแรงไอศครีม เราจึงเลือกเข้าร้านอาหารแถวเชิงสะพาน Erzsebet hid ซึ่งเป็นร้านอาหารยุโรป โต๊ะอาหารตั้งอยู่ด้านนอกรับลม รับแสงอาทิตย์ แต่ในเวลาเที่ยงเช่นนี้แสงอาทิตย์ที่บูดาเบสท์ก็แรงไม่แพ้เมืองไทย เราเลือกสั่งอาหารที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อจะได้ลิ้มลองได้หลายอย่าง แต่ทุกอย่างก็อุดมไปด้วยเนื้อทั้งนั้น แต่ก็ดีเหมือนกัน บ่ายนี้เราต้องใช้พลังงานเยอะ เพราะเส้นทางท่องเที่ยวฝั่งเบสท์นั้นยาวไกลเหลือเกิน

ฝั่งเบสท์นั้นอุดมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ที่เรียงรายตลอดริมแม่น้ำดานูบ หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเที่ยวแบบ Non stop เริ่มจากปราสาทบูดา (Buda Castle) ซึ่งกินพื้นที่ริมแม่น้ำดานูบยาวเหยียดหลายร้อยเมตร ทำให้เราเข้าเขตปราสาทดานูบโดยไม่รู้ตัว ขอบสุดของพื้นที่ปราสาทเป็นสวนดอกไม้ที่สวยงาม ยาวไปตามแนวระเบียงที่ประดับด้วยเหล่ารูปปั้นหันหน้าไปหาแม่น้ำดานูบ

สวนดอกไม้นี้ไม่ได้มีแค่ระดับเดียว แต่สร้างขึ้นหลายระดับขึ้นไปตามความสูงของเนินเขาปราสาท (Castle Hill) สุดปลายสวนมีบันไดเลื่อนพาขึ้นสู่พื้นที่ด้านบน ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงบูดาเบสท์ที่งดงาม โดยมีเขาเกลเลร์ทเป็นปราการธรรมชาติทางทิศใต้ สำหรับทางทิศเหนือมองเห็นสะพานเชนทอดตัวยาวเหนือแม่น้ำดานูบ เชื่อมฝั่งบูดาสู่ฝั่งเบสท์ โดยมีอาคารรัฐสภาฮังกาเรียน (Hungarian Parliament) อาคารเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามที่สุดของฝั่งเบสท์ตั้งโดดเด่นที่เชิงสะพาน

แล้วทางเดินที่ทอดยาวขนานกับแม่น้ำดานูบพาเรามาถึงตัวปราสาท เมื่อได้เห็นผมก็ถึงกับอึ้ง เพราะปราสาทแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก มีความสูง 3 ชั้น แผ่ปีกอาคารทั้งสองข้างไปไกลรวมความยาวถึง 300 เมตร เหนืออาคารตรงกลางสร้างเป็นโดมสีเขียวมรกต จุดประสงค์ในการสร้างเพื่อใช้เป็นป้อมปราการในการป้องกันข้าศึก ซึ่งข้าศึกชาติสำคัญนั่นคือกองทัพมองโกลที่เดินทางมาจากเอเชียแล้วตีแต่ละเมืองจนย่อยยับ แต่เมื่อบุกมาถึงฮังการีก็ต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้ เพราะทหารฮังการีมีความเข้มแข็งมาก ซึ่งหากสามารถผ่านฮังการีไปได้ ไม่แน่ว่ายุโรปทั้งทวีปอาจตกเป็นของชาวมองโกล และหน้าประวัติศาสตร์โลกก็คงเปลี่ยนไป

นอกจากเป็นป้อมปราการแล้ว ปราสาทแห่งนี้ยังเป็นที่พำนักของกษัตริย์แห่งฮังการีตั้งแต่ปีค.ศ.1265 แต่ก็ถูกเปลี่ยนเจ้าของมาหลายครั้งตามแต่ว่าชนชาติใดจะมีอำนาจมาปกครอง รวมถึงถูกทำลายและบูรณะขึ้นใหม่หลายต่อหลายครั้ง จนปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทั้ง National Gallery และ National Museum รวมถึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

เราเดินมาจนสุดทางด้านทิศเหนือของพื้นที่ปราสาท บริเวณนี้เป็นลานกว้าง นักท่องเที่ยวจำนนมากที่เดินผ่านความยาวของตัวปราสาทกระจายไปยังทิศต่างๆตามแต่ความสนใจ หากแต่บนลานนี้มีสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มองผ่านเลยไป นั่นคือ เครื่องฉายภาพโบราณแบบหยอดเหรียญ ซึ่งเก่าแก่มากตั้งแต่ปีค.ศ.1895 หยอดเหรียญลงไปตามราคาที่กำหนด จากนั้นเอาตาแนบลงไปบนช่องดูก็จะมีภาพประวัติศาสตร์ของสะพานเชนและปราสาทบูดาให้ได้ชม ซึ่งอดีตบ้านเราก็เคยมีเครื่องแบบนี้ แต่เดี๋ยวนี้หายสาบสูญไปกับกาลเวลา

 

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 16.47 น.

ความคิดเห็น