เช้านี้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เรา 4 คนจะเที่ยวด้วยกัน เพราะวันนี้น้องเนกับพี่เดือนจะเดินทางต่อไปยังประเทศเชค ในขณะที่ผมกับเต้ยจะกลับไปยังจุดเริ่มต้นของการเดินทางคือกรุงเวียนนา สถานที่สุดท้ายที่จะเที่ยวด้วยกัน 2 ชายหนุ่มจึงให้ 2 สาวเป็นผู้เลือก โดย 2 สาวเลือกที่จะไป Heroes Square ซึ่งเป็นทั้งอนุสาวรีย์ และสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงบูดาเบสท์

การเดินทางไป Heroes Square นั้นสะดวก เพราะสามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน สาย 1 ที่มีถึง 2 สถานีให้เลือก คือสถานีด้านหน้าอนุสาวรีย์ กับสถานีถัดไปที่อยู่ตรงกลางสวนสาธารณะ ซึ่งเมื่อวานเราได้ใช้บริการรถรางรุ่นคลาสสิคที่อายุเก่าแก่กว่าร้อยปี วันนี้รถไฟใต้ดิน สาย 1 ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเราไม่แพ้กัน เพราะรถไฟสีเหลืองสายนี้มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากรถไฟใต้ดินกรุงลอนดอน โดยเริ่มใช้งานตั้งแต่ปีค.ศ.1896 จึงมีอายุกว่าร้อยปี แม้จะเก่า แต่ก็เก๋า เพราะแม้จังหวะการวิ่งจะกึกกักๆ แต่ความเร็วนั้นไม่แพ้รถไฟใต้ดินยุคปัจจุบัน จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้เป็นที่เรียบร้อย

ขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินที่เต็มไปด้วยความคลาสสิคไม่แพ้ขบวนรถไฟ เราก็พบกับอนุสาวรีย์สหัสวรรษ (Millennium Monument) ตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัส โดยถูกสร้างขึ้นในโอกาสฉลองครบ 1,000 ปีของการรวมชาติฮังการี เมื่อปีค.ศ.1896 ซึ่งดูจากปีค.ศ.แล้วเป็นปีเดียวกับรถไฟใต้ดิน สาย 1 เปิดใช้งาน นั่นจึงเป็นการวางแผนไว้แล้วที่สร้างรถไฟสายนี้ เพื่อเชื่อมย่านจุดศูนย์กลางเมืองฝั่งเบสท์ให้ประชาชนสามารถเดินทางมายัง Heroes Squre ได้อย่างสะดวก

อนุสาวรีย์สหัสวรรษแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ เสาสูงตรงกลาง และแนวเสาระเบียงที่โอบล้อมอยู่ด้านหลังฝั่งซ้ายและขวา เสาตรงกลางมีความสูง 36 เมตร ลักษณะเป็นเสาโรมัน ด้านบนเป็นรูปปั้นหัวหน้าฑูตสวรรค์ ฐานเสาประกอบไปด้วยรูปปั้นของหัวหน้าชนเผ่าทั้ง 7 ของฮังการี นั่งอยู่บนหลังม้า ซึ่งหนึ่งในนั้นคือชนเผ่า Magyars ซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวฮังการีในปัจจุบัน สำหรับสาเหตุที่จัตุรัสแห่งนี้ได้ชื่อว่า Hero Square หรือจัตุรัสวีรชน เพราะนอกจากเป็นอนุสาวรีย์ของบรรพบุรุษผู้สร้างชาติฮังการีเมื่อกว่าพันปีก่อนแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่ฝังศพของ Imre Nagy ผู้นำชาวฮังการีในการต่อต้านการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ของสหภาพโซเวียต เมื่อปีค.ศ.1956 โดยศพของท่านได้ถูกนำมาฝังที่นี่ในปีค.ศ.1989 พร้อมกับทหารนิรนามอีกหลายคน

ในขณะที่เพื่อนๆต่างแยกย้ายไปเก็บภาพในมุมต่างๆตามที่ตัวเองสนใจ ผมก็เดินไปด้านหลังอนุสาวรีย์ แล้วก็พบปราสาทหลังใหญ่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง ซึ่งดึงดูดให้ผมไปเยือนโดยปล่อยเพื่อนๆไว้เบื้องหลัง

ผมเดินข้ามสะพานที่น้ำในคลองแห้งขอดสู่อีกฝั่งหนึ่ง ปราสาทหลังงามที่ดึงดูดให้ผมมาเยือนนี้คือ ปราสาทวาจ์ดาฮุนยาด (Vajdahunyad) ยิ่งได้มาเห็นใกล้ๆยิ่งทำให้ผมตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เพราะไม่ได้คิดว่าภายในสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงบูดาเบสท์จะมีปราสาทเก่าแก่ที่งดงามขนาดนี้ตั้งอยู่ โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1896 ปีค.ศ.นี้อีกแล้ว จึงแน่นอนว่าปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในโอกาสฉลองครบ 1,000 ปีของการรวมชาติฮังการีอีกเช่นกัน จุดเด่นของปราสาทหลังนี้ คือการผสมผสานกันของสถาปัตยกรรมหลายสไตล์ทั้ง โรมาเนส โกธิค เรเนสซองซ์ และบาโรก จึงเป็นการดึงจุดเด่นของสถาปัตยกรรมแต่ละแบบ ทั้งความยิ่งใหญ่อลังการ และความวิจิตรงดงามมาไว้รวมกัน โดยปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์การเกษตรแห่งกรุงบูดาเบสท์

นอกจากปราสาทวาจ์ดาฮุนยาดแล้ว ภายในพื้นที่สวนแห่งนี้ยังมากไปด้วยสิ่งก่อสร้างอาคารและรูปปั้นที่งดงาม ซึ่งน่าจะได้รับความนิยมจากชาวฮังการีในการใช้เป็นสถานที่ถ่ายรูปแต่งงาน ในขณะที่พื้นที่สวนนั้นก็ร่มรื่น ยิ่งฤดูนี้เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี มองไปทางไหนก็มีแต่สีสันที่สวยงาม แม้ว่าใจอยากจะนั่งอ้อยอิ่งปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลายให้นานกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะกลัวว่าเพื่อนๆจะกังวลว่าผมหายตัวไปไหน

แต่ไม่เป็นตามที่คิด เพื่อนๆไม่ได้สนใจเลยว่าผมจะหายไปไหน แต่ยังคงหามุมถ่ายรูปกันอย่างสบายใจ จนได้เวลาเราจึงกลับที่พัก เพื่อให้น้องเนกับพี่เดือนเอากระเป๋าเดินทาง จากนั้นก็โดยสารรถรางเพื่อไปส่งน้องเนกับพี่เดือนลงสถานีรถไฟใต้ดิน โดยสองสาวจะเดินทางต่อไปยังประเทศเชค เวลาของการเที่ยวด้วยกันครบ 4 คนจบลงแล้ว แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแค่ 2 วันเศษ แต่ก็ทำให้การเดินทางของสองหนุ่มมีสีสันมากขึ้นทีเดียว

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.22 น.

ความคิดเห็น