ส่งสองสาวเสร็จก็ได้เวลาที่ผมกับเต้ยจะเที่ยวกันต่อ แน่นอนว่าเมื่อวานเราเดินย่ำฝั่งบูดาจนทั่วแล้ว วันนี้จึงได้เวลาเที่ยวฝั่งเบสท์กันบ้าง ซึ่งนอกจาก Hero Square แล้ว ฝั่งเบสท์ยังมีสถานที่สำคัญอีกหลายแห่งให้ได้ชม

Metro สาย 1 ซึ่งเป็นสายรถไฟใต้ดินที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลกนั้นวิ่งเป็นเส้นตรงใต้ถนน Andrassy ซึ่งผ่านสถานที่สำคัญมากมาย หากเปรียบกับกรุงเทพ ถนนสายนี้ก็คงประมาณถนนราชดำเนินกลาง หลังจากส่งสองสาวแล้ว เราจึงเลือกที่จะกลับมาที่ถนนสายนี้อีกครั้ง เพื่อเที่ยวชมสถานที่สำคัญตลอดเส้นทาง แต่แทนที่เราจะเริ่มต้นที่ Hero Square ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนน ซึ่งดูแล้วกว่าจะเดินถึงปลายทางริมแม่น้ำดานูบคงจะเดินกันจนเหนื่อย จึงขอต่อรองเส้นทางมาเริ่มต้นที่สถานี Oktogon ซึ่งอยู่ประมาณกึ่งกลางแทน

จะว่าไปแล้วตลอดถนนสายนี้ ไม่ใช่เฉพาะสถานที่สำคัญที่ถูกปักหมุดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่บรรดาตึกรามร้านค้าตลอดเส้นทางก็ล้วนน่าชมน่ามองทั้งนั้น เพราะเป็นอาคารเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี ที่โครงสร้างเน้นความแข็งแรง ทำให้ดูบึกบึน แต่ก็แฝงด้วยลวดลายที่ปรากฎบนเสาและขอบหน้าต่าง ซึ่งนอกจากแมกไม้ตลอดสองข้างทางแล้ว บางช่วงของเส้นทางยังมีสวนเล็กๆไว้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ

หนึ่งในสถานที่สำคัญของถนนสายนี้คือ Opera House อาคารเก่าแก่ที่สร้างแต่แต่ปีค.ศ.1875 ด้วยศิลปะแบบนีโอเรเนสซองส์ แม้จะผ่านมากกว่าร้อยปีแล้ว Opera House แห่งนี้ก็ยังมีการแสดงที่เปิดให้ชมทุกวัน ปกติแล้วนักท่องโลกลากกระเป๋าเที่ยวเองแบบเราคงไม่คิดจะซื้อบัตรแพงลิบเข้าชมการแสดงภายใน โดยขอชมแค่ความงดงามของสถาปัตยกรรมภายนอกเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่วันนี้แม้แต่ความงามจากภายนอกเราก็ไม่มีโอกาสได้ชม เพราะอยู่ระหว่างการบูรณะ

ไม่เป็นไรเพราะอย่างที่บอกไว้ว่าบรรดาอาคารที่เรียงรายบนถนนสายนี้น่าชมทั้งนั้น เราจึงยังคงมีความสุขในการเดินอย่างไม่รีบร้อนบนถนนสายนี้

แล้วก็มาถึงอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่โดดเด่นเห็นแต่ไกล นั่นคือ โบสถ์เซนต์สเตเฟนส์ บาซิลิกา (St.Stephen’s Basilica) ซึ่งหากมาจากถนน Andrassy จะพบโบสถ์ด้านหลัง ซึ่งโครงสร้างโค้งเป็นครึ่งวงกลมโอบล้อมตัวโดมประธาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าด้านหลังจะงดงามด้อยไปกว่าด้านหน้า เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน โบสถ์นิกายโรมันคาธอลิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกรุงบูดาเบสท์แห่งนี้ก็งดงามทุกมุมมอง

เราเดินสู่ด้านหน้าโบสถ์ซึ่งเป็นจัตุรัสกว้าง บริเวณนี้คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ร้านค้าและร้านอาหาร สำหรับด้านหน้านั้นตัวโบสถ์โดยรวมมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ทั้งโครงสร้าง ซุ้มประตู หอระฆังที่โอบขนาบทั้ง 2 ข้าง จะมีก็แต่โดมประธานเท่านั้นที่เป็นทรงกลม ด้วยความสูง 96 เมตร โดยเป็น 1 ใน 2 อาคารที่มีความสูงมากที่สุดในบูดาเบสท์

หอระฆังที่โอบขนาบโบสถ์แห่งนี้มีความแปลกกว่าหอระฆังทั่วไป เพราะจำนวนระฆังที่อยู่บในหอทั้ง 2 หอนี้มีไม่เท่ากัน หอระฆังฝั่งซ้ายมีระฆัง 5 ใบ ในขณะที่ฝั่งขวามีระฆังเพียงใบเดียว หากแต่เป็นระฆังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฮังการีด้วยน้ำหนักมากถึง 9,250 กิโลกรัม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.52 เมตร รู้สึกทึ่งในความสามารถของวิศวกรเมื่อร้อยปีก่อนที่สามารถยกระฆังใหญ่ยักษ์นี้ขึ้นไปได้สูงจนต้องแหงนมองคอตั้งบ่าขนาดนี้

ชื่อของโบสถ์แห่งนี้ไม่ได้มาจากชื่อนักบุญที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์เหมือนอย่างโบสถ์อื่นๆ แต่มาจากชื่อกษัตริย์พระองค์แรกที่ปกครองฮังการีเมื่อพันปีก่อน (ค.ศ.975 – 1038) ผมพยายามโน้มน้าวใจเพื่อนร่วมทางให้ยอมควักเงิน HUF เพื่อเข้าไปชมภายในโบสถ์ แต่ก็ไม่สำเร็จ โดยเต้ยบอกว่าโบสถ์ที่ไหนๆข้างในก็คล้ายกัน เมื่อวานก็เข้าไปแล้วหนึ่งโบสถ์ สู้เอาเงินไปหาของกินอร่อยๆดีกว่า

เราเดินเลือกร้านอาหารที่มีเป็นสิบๆร้านที่เรียงรายอยู่ในจัตุรัสหน้าโบสถ์เซนต์สเตเฟนส์ บาซิลิกา ตั้งแต่ร้านแรกจนมาถึงร้านสุดท้ายก็ไม่สนใจสักร้าน สุดท้ายจึงเลี้ยวขวาเข้าไปในถนนสายรองซึ่งยังมีร้านอาหาร แล้วเราก็ได้ร้านที่ถูกใจทั้งสองคน นั่นคือร้าน Mr. Funk Ms.Bagel ซึ่งหากเรียกเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Mr.Donus Ms.Beger คือขายทั้งโดนัทและเบเกอร์ ผมเลือกเบอเกอร์ปลาแซลมอน กับโดนัท Ferrero ซึ่งอร่อยยิ่งนัก จนต้องซื้อเบเกอร์ปลาแซลมอนติดไปเป็นเสบียงอีกคนละชิ้น

เราเดินมาจนถึงริมแม่น้ำดานูบ ในตำแหน่งอันเป็นที่ตั้งของสะพานเชน แม้เมื่อวานจะใช้เวลากับสะพานแห่งนี้ไปร่วมชั่วโมง แต่กลับมาวันนี้เราก็ยังวนเวียนถ่ายรูปในมุมต่างๆของสะพานงามแห่งนี้อีกนาน

การได้เดินเลียบแม่น้ำดานูบ แล้วมองไปยังฝั่งบูดาที่อยู่ตรงข้ามนั้นเป็นความสุขไม่ต่างจากเมื่อวานที่เราอยู่ฝั่งบูดา แล้วมองมายังฝั่งเบสท์ เพราะตลอดการไหลของแม่น้ำนั้นมากไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่แสนงดงาม ซึ่งเมื่อวานเราได้สัมผัสแบบชิดใกล้ไปหมดแล้ว ทั้งปราสาทบูดา ป้อมชาวประมง และโบสถ์แมทเธียส การได้เห็นภาพกว้างในระยะไกลเช่นนี้ก็งดงามไปอีกแบบ จึงสมแล้วที่เมืองนี้จะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองงามอันดับต้นๆของโลกใบนี้ งดงามดั่งราชินีแห่งแม่น้ำดานูบ

ความงดงาม และความโหดร้ายมักเป็นของคู่กัน หลายสถานที่ในบูดาเบสท์โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำดานูบมากไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม แต่ก็มีอีกสถานที่หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อย้ำเตือนถึงความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้น ณ ริมฝั่งแม่น้ำดานูบเมื่อปีค.ศ.1944 – 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวยิวเป็นจำนวนมากถูกสังหารจากกลุ่มนาซี โดยชาวยิวถูกสั่งให้ยืนเรียงแถวริมแม่น้ำดานูบ แล้วถอดรองเท้าก่อนที่จะถูกยิงจนร่างร่วงหล่นลงแม่น้ำดานูบ เป็นที่น่าสะเทือนใจยิ่งนักจากการเข่นฆ่าอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ ผ่านมาจนถึงปีค.ศ.2005 จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์รองเท้าแห่งแม่น้ำดานูบ (Shoes on the Danube) แม่น้ำที่ถูกกล่าวขานถึงความสวยงาม แต่ก็มีบางช่วงของประวัติศาสตร์ที่แม่น้ำสายนี้เปลี่ยนจากสีฟ้าคราม เป็นสีแดงชาดจากเลือดของชาวยิวผู้เสียชีวิต

นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างเลือกมุมกล้องเพื่อถ่ายภาพอนุสาวรีย์ที่มีลักษณะแปลกที่สุดในโลก โดยเป็นรองเท้าที่สร้างจากเหล็กจำนวน 60 คู่ วางเรียงรายริมฝั่งแม่น้ำดานูบ โดย 60 คู่นี้แทนจำนวนปีนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวริมแม่น้ำดานูบ จนถึงปีที่มีการสร้างอนุสาวรีย์ ไม่ใช่จำนวนชาวยิวที่ถูกสังหาร เพราะในความจริงหน้าประวัติศาสตร์ไม่ได้มีการบันทึกแน่ชัดว่ามีชาวยิวจำนวนกี่ร้อยกี่พันคนที่ถูกสังหารในครั้งนั้น บนรองเท้าเหล็กที่สร้างให้ผุพังตามกาลเวลา หลายข้างมีดอกกุหลาบจากนักท่องโลกนำมาวางเพื่อไว้อาลัยแด่ความโหดร้ายในครั้งนั้น

การเดินเลียบแม่น้ำดานูบของเราสุดทางที่อาคารรัฐสภาฮังกาเรียน (Hungarian Parliament) ที่เมื่อวานเราได้ยลความงามโดยมองจากฝั่งบูดาและจากบนสะพานเชนแล้ว มาวันนี้ความสวยงามที่มองเห็นจากระยะไกล จะได้ชมแบบชิดใกล้ อาคารแห่งนี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมนีโอโกธิคเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นในโอกาสฉลองครบ 1,000 ปีของการรวมชาติฮังการี แล้วเสร็จในปีค.ศ.1904 ใช้แรงงานมากถึง 1 แสนคนในการก่อสร้าง ใช้อิฐมากกว่า 40 ล้านก้อน ใช้อัญมณีร่วม 5 แสนชิ้น และทองคำถึง 40 กิโลกรัม โดยมีความยาว 268 เมตร กว้าง 123 เมตร และสูงถึง 96 เมตร ซึ่งตัวเลขความสูงนี้มาจากปีค.ศ.1896 ปีที่ครบ 1,000 ปีของการรวมชาติฮังการีนั่นเอง ปัจจุบันยังคงเป็น 1 ใน 2 อาคารที่มีความสูงมากที่สุดในกรุงบูดาเบสท์เคียงคู่กับโบสถ์เซนต์สเตเฟนส์ บาซิลิกา

ด้วยขนาดใหญ่ยักษ์เช่นนี้ การเดินวนรอบอาคารรัฐสภาจึงกินระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ซึ่งเราก็เลือกที่จะทำเช่นนั้น เพราะอาคารแห่งนี้งดงามไปทุกมุมมอง โดยเน้นการมียอดแหลมไปทุกสิ่ง ทั้งบนยอดโดมขนาดใหญ่ตรงกลางอาคาร เสาทุกมุมของอาคาร และเสาทุกต้นที่โอบรอบหน้าต่าง อีกทั้งยังประดับประดาด้วยเหล่ารูปปั้นไว้อย่างงดงาม และด้วยเป็นย่านเมืองเก่า จึงมีรถรางคลาสสิคสาย 2 ที่วิ่งให้บริการ ซึ่งตัวรถดูแล้วก็น่าจะมีอายุอานามไม่น้อยไปกว่าอาคารรัฐสภา เราจึงโดยสารรถรางสายนี้กลับสู่ที่พักด้วยความเอิบอิ่มใจ

การเดินทางเที่ยวประเทศฮังการี ที่เจาะเฉพาะกรุงบูดาเบสท์ของเราสิ้นสุดแล้ว แต่การเดินทางของเรายังไม่จบสิ้น เราเดินทางไปสถานีรถไฟบูดาเบสท์ เพื่อเดินทางกลับกรุงเวียนนา เพราะผมแลกเงินสกุล HUF เพิ่มจากร้านแลกเงินบริเวณโบสถ์เซนต์สเตเฟนส์ บาซิลิกาเพื่อซื้อของฝาก ทำให้เงินของผมยังเหลือ ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้ที่กรุงเวียนนาได้ ผมจึงต้องจัดการใช้ให้หมดที่สถานีรถไฟจนเกือบตกรถไฟ

ในการจองตั๋วรถไฟจากกรุงบูดาเบสท์ไปกรุงเวียนนามีวันละหลายขบวน เราสงสัยว่าทำไมราคาของแต่ละขบวนจึงแตกต่างกันค่อนข้างมาก ซึ่งเผอิญว่าขบวนที่เราจองเป็นขบวนที่ออกเดินทางในเวลาที่เหมาะกับเรามากที่สุด เพราะสามารถเที่ยวกรุงบูดาเบสท์ได้เกือบทั้งวัน และถึงกรุงเวียนนาไม่ดึกเกินไป เป็นขบวนรถไฟที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับขบวนอื่นที่ออกในเวลาต่างกัน

 เมื่อเราไปถึงสถานีรถไฟ เราจึงได้ถึงบางอ้อว่า ที่แท้ราคาตั๋วที่แตกต่างกันมากเพราะรถไฟที่วิ่งระหว่าง 2 ประเทศนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นรถไฟของประเทศออสเตรียซึ่งอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยม ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นรถไฟจากประเทศฮังการี ที่มีอายุเก่าแก่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ราคาจึงแตกต่างกันเช่นนี้ แต่แม้จะเก่าแก่ สภาพภายในรถไฟก็ไม่ได้ย่ำแย่ การเดินทางจึงเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชม. เราก็กลับมาสู่กรุงเวียนนา ดินแดนที่รวยรุมด้วยศิลปะแห่งออสเตรียอีกครั้ง

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.39 น.

ความคิดเห็น