เรากลับมาที่กรุงเวียนนา (Vienna) อีกครั้งในเวลาค่ำ ซึ่งไม่เหลือเวลาที่จะไปเที่ยวไหนแล้ว ร่างกายก็อยากไปที่พักเต็มที ดีที่ที่พักที่จองไว้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ สามารถเดินลากกระเป๋าแค่ 10 นาทีก็ถึง

โรงแรมสำหรับ 2 วัน 2 คืนในกรุงเวียนนาที่เราจองไว้คือ Kolbeck ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี โรงแรมแห่งนี้ต้องเช็คอินด้วยตนเองหากมาหลังเวลาทำงาน คีย์การ์ดจะออกมาหลังจากที่เราใส่ passward ที่ได้มาจากใบจองที่พักแบบออนไลน์ เราจึงไม่ได้เจอพนักงานต้อนรับเลยจนกระทั่งเช้าของวันใหม่

แม้ว่าใจอยากจะนอนเต็มแก่ แต่เราก็ต้องใช้เวลาหารือถึงแผนการเดินทางท่องเที่ยวในกรุงเวียนนา เพื่อให้ใช้เวลา 2 วันที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด ฉะนั้นแม้จะมีรถแบบ Hop on Hop off ให้บริการที่จะวิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวเกือบทุกแห่ง แต่เราก็เลือกที่จะโดยสารรถไฟใต้ดิน เพราะน่าจะทำเวลาในการเดินทางได้ดีกว่า อีกทั้งเต้ยยังจองตั๋วออนไลน์เพื่อเข้าพระราชวังสำหรับวันพรุ่งนี้ทั้ง 2 แห่ง ทำให้เราประหยัดเวลาในการต่อแถวซื้อหน้างานได้เยอะทีเดียว

โรงแรม Kolbeck มีอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ให้บริการด้วย แต่ไม่รวมกับราคาค่าห้อง เต้ยบอกให้ผมลองเดินไปสำรวจก่อนว่าอาหารที่โรงแรมเตรียมไว้โอเคไหม ผมเดินเข้าไปดูแว๊บเดี๋ยวก็โอเคทันที เพราะไม่อยากใช้เวลาไปกับเดินหาอาหารเช้า อยากเอาเวลาไปเที่ยววังงามๆให้มากๆ อีกทั้งอาหารเช้าที่โรงแรมจัดเตรียมไว้ก็มีคุณภาพ อร่อย จนเราอิ่มแปร้ แถมยังไม่ต้องจ่ายเงินทันที ให้ไปจ่ายวันเช็คเอ้าท์ ซึ่งก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรว่าเราเข้าไปกิน จะเช็คเอ้าท์โดยที่ไม่บอกพนักงานก็คงจะไม่รู้ แต่ก็คงไม่มีแขกคนไหนคิดจะโกง เพราะบอกแล้วว่าคนออสเตรียนั้นซื่อสัตย์ยิ่งนัก

สถานที่เที่ยววันนี้เราวางแผนที่จะไปเพียงแค่ 2 ที่ ซึ่ง 2 ที่นี้คือ 2 วังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกรุงเวียนนา นั่นคือ พระราชวังเบลเวเดียร์ กับ พระราชวังเชินบรุนน์ เพราะแค่ 2 วังนี้เราก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเราจะเที่ยวทั่วหรือเปล่า

เรากลับมาที่สถานีรถไฟเวียนนา (Wien Hauptbahnhof) เพราะเป็นศูนย์รวมของการเดินทาง ทั้งรถไฟ รถไฟใต้ดิน และรถราง จากตรงนี้โดยสารรถรางสาย 18 ไปแค่อีกเพียงสถานีเดียวเพื่อไปลงด้านหน้าของพระราชวังเบลเวเดียร์ (Belvedere palace) เราเดินเลียบไปตามสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ที่ถูกขุดไว้ตั้งแต่ทางเข้าแล้วยาวไปจนถึงพระราชวัง ระหว่างการเดินจึงได้เห็นความงดงามของพระราชวังส่วนบนที่สะท้อนเงาลงบนผิวน้ำใส

พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนของเจ้าชายยูจีน (Eugene) แห่งราชวงศ์ซาวอย (Savoy) เมื่อปีค.ศ.1663 เหตุที่ไม่ใช่เจ้าชายแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์กซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ปกครองออสเตรีย เป็นเพราะพระองค์ได้ถวายตัวเข้ารับใช้ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก จนได้รับตำแหน่งผู้นำกองทัพปราบชาวเติร์กที่ยกทัพมารุกราน จนได้รับพระราชทานที่ดินและทรัพย์สมบัติจำนวนมาก จึงสามารถสร้างพระราชวังสไตล์บาโรกได้ยิ่งใหญ่ตระการตาขนาดนี้ โดยปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

พระราชวังแห่งนี้ประกอบด้วย 2 อาคารคือพระราชวังส่วนบน กับ พระราชวังส่วนล่าง การเข้าชมพระราชวังสามารถเข้าชมได้จากทั้ง 2 ฝั่ง โดยเราเข้าจากประตูทางด้านพระราชวังส่วนบน ทีแรกเราก็แปลกใจว่าทำไมจึงไม่มีการเก็บค่าเข้าชม เพราะการชมแต่เพียงภายนอกนั้นไม่ต้องเสียค่าบัตร ซึ่งจริงๆแล้วก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การมาเยือนพระราชวังงามๆพร้อมด้วยด้วยสระน้ำขนาดใหญ่และสวนสวยแล้ว แต่มาทั้งทีเราจึงเลือกที่จะซื้อบัตรเข้าชมภายใน ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าพระราชวังส่วนไหน หรือเข้าชมทั้ง 2 ส่วน เราจึงเลือกที่จะซื้อบัตรเข้าพระราชวังส่วนบน เพราะดูแล้วพระราชวังส่วนนี้มีขนาดใหญ่กว่าจึงน่าจะมีอะไรให้ได้ชมมากกว่า และน่าจะเหมาะสมกับเวลาที่เรามีอยู่

เราเดินเข้าสู่พระราชวังส่วนบนซึ่งมีขนาดใหญ่ความสูง 3 ชั้น ภายนอกงดงามเพียงใด ภายในก็งดงามไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะห้องโถงกลางที่อยู่ชั้น 2 เดิมเป็นที่เจ้าชายยูจีนใช้ต้อนรับแขกนั้นงดงามยิ่งนัก ประดับด้วยโคมไฟระย้า พร้อมด้วยรูปปั้น และภาพวาดขนาดใหญ่บนเพดาน

ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภาพวาดของศิลปินชื่อก้องโลก โดยมีภาพวาดร่วมพันภาพ แต่สำหรับภาพวาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด จนถูกนำมาใช้ประกอบของที่ระลึกหลากหลายแบบนั่นคือภาพวาดที่มีชื่อว่า The Kiss ของศิลปินคลิมต์ (Klimt) เป็นภาพวาดสีทองที่ผู้ชายกำลังโน้มตัวลงจูบหญิงสาวที่มีท่าทีเขินอาย ซึ่งผู้มาเยือนจำนวนมากต่างมุงกันถ่ายรูปนี้ แต่สำหรับผมแล้วกลับชื่นชอบภาพวาดธรรมชาติภาพกรุงเวียนนาในอดีตที่มองดูแล้วเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามและห้วงเวลาในอดีตของผู้คนชาวออสเตรียมากกว่า

นอกจากภาพวาดแล้ว การเข้ามาภายในพระราชวังส่วนบนยังสามารถมองเห็นภาพที่งดงามของสวนขนาดใหญ่ ที่ทอดตัวจากพระราชวังส่วนบนไปยังพระราชวังส่วนล่างที่อยู่ไกลออกไป

เราเดินไปตามสวนขนาดใหญ่ที่มีความยาวร่วมกิโลเมตรสู่พระราชวังส่วนล่าง บนสวนแห่งนี้มีทั้งสระน้ำ ดอกไม้ และเหล่ารูปปั้นที่ประดับไว้ในตำแหน่งที่สวยงาม แม้ว่าในช่วงที่เรามาเยือนจะเป็นช่วงปรับเปลี่ยนดอกไม้ตามฤดูกาลที่เปลี่ยนไป ทำให้ดอกไม้บางส่วนดูเหี่ยวเฉาไปบ้าง แต่โดยรวมสวนแห่งนี้ก็ยังคงสวยงามในสายตาของผู้มาเยือน

เราไม่ได้ซื้อบัตรเพื่อเข้าชมภายในพระราชวังส่วนล่างซึ่งปัจจุบันแปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสมบัติของเจ้าชายยูจีน จึงทำได้เพียงชมความงามภายนอกเท่านั้น แม้จะเป็นอาคารที่มีความสูงเพียงแค่ 1 ชั้น แต่พระราชวังส่วนล่างนี้ก็สวยงามสอดรับกับพระราชวังส่วนบนที่อยู่ไกลออกไป

เมื่อเข้าทาง ออกอีกทาง จึงแอบลุ้นว่าตรงทางออกของพระราชวังส่วนล่างจะมีรถไฟใต้ดินหรือรถรางให้บริการไหม ซึ่งก็มีรถรางสาย 71 ให้บริการเพื่อไปยังสถานี Karlsplatz ซึ่งเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางในกรุงเวียนนา บริเวณนี้จึงคึกคักไปด้วยผู้คน

เมื่อมีคนร้านค้าจึงมีตามมา มากรุงเวียนนาทั้งที ต้องได้ลิ้มลองไส้กรอกเวียนนาที่เลื่องชื่อสักหน่อย แต่จะกินในภัตรคารหรูคงไม่ใช่ เพราะอย่างเราต้องกินที่ร้านริมถนน ซึ่งบริเวณนี้ก็มีซุ้มขายอาหารอยู่หลายแห่ง ทั้งเบเกอร์ ทั้งไส้กรอกเวียนนาหลายรสชาติ ดูแล้วน่าลิ้มลองทั้งนั้น เราจึงซื้อมาลิ้มลองหลายแบบ จนชายร่างใหญ่ที่ยืนซื้อต่อจากเราต้องร้องทักว่า ที่พวกคุณตัวเล็กกว่าผมตั้งเยอะ ทำไมกินได้เยอะขนาดนี้ ซึ่งก็เป็นตามที่เขาพูดจริงๆ เพราะเราสามารถจัดการไส้กรอกเวียนนาที่แสนอร่อยได้หมด แต่ก็หมดแรงที่จะจัดการกับเบเกอร์ จึงต้องเก็บใส่กระเป๋าเพื่อพกไว้กินต่อยามหิว

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.24 น.

ความคิดเห็น