“อยู่เมื่อไทยเจอกันยาก งั้นไปเจอที่มอสโกแล้วกัน” เขียนเหมือนประชด แต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กับเพื่อนเกือบทุกคนที่แบกเป้ลากกระเป๋าท่องโลกด้วยกัน เมื่อกลับจากเดินทางจะนัดเจอกันแต่ละทีนั้นแสนยากเย็น แต่พอนัดเที่ยวทีไร เป็นได้เจอหน้ากันทุกที กับน้องเนก็เช่น หลังจากกลับจากตุรกีเมื่อ 3 ปีก่อน ก็ไม่ได้เจอกันเลย เพราะกลับจากตุรกีเธอก็ว่ายน้ำข้ามอ่าวไทยไปเปิดรีสอร์ตที่เกาะพะงัน โดยลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาพักก็คือชาวรัสเซีย พอผมชวนไปรัสเซีย เธอจึงอยากคืนกำไรให้กับประเทศของลูกค้าเธอบ้าง จึงตอบตกลงทันที

เรานัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลาเครื่องออกราว 3 ชม. เพราะได้ Check in มาล่วงหน้า เราจึงใช้เวลาเพียงไม่นานกับการโหลดกระเป๋าโดยเจ้าหน้าที่สาวสวยที่ยังไม่แน่ใจนักว่าเธอเป็นคนไทยเชื้อสายรัสเซีย หรือเป็นสาวรัสเซียที่พูดภาษาไทยได้ หลังจากอิสระกับกระเป๋าเดินทางผมก็พาน้องเนเข้าเล้าจ์ อ๊ะๆอย่างเพิ่งคิดลึกนะครับ เพราะผมพาน้องเนเข้าเล้าจ์คิงพาวเวอร์ ที่มีทั้งเครื่องดื่ม ของกินเล่น และอาหารหนักที่อิ่มจนอยู่ท้อง โดยบอกน้องเนว่า กินเข้าไปเยอะๆนะ เพราะนอกจากอาหารที่เสริฟบนเครื่องบินแล้ว มื้อนี้อาจเป็นมื้อที่ดีที่สุดของทริปนี้ก็เป็นได้

จากสุวรรณภูมิ สายการบินแอโรฟรอตพาเราเหินฟ้าข้ามทวีปเอเชียสู่กรุงมอสโก 10 ชั่วโมงของการเดินทางนั้นไม่น่าเบื่อเลยกับอาหารอร่อยๆ 2 มื้อที่แอร์โฮสเตทสาวสวยนำมาเสริฟให้ พร้อมด้วยไอศครีมเป็นอาหารว่างขั้นระหว่างมื้อ ด้วยเหตุที่เวลากรุงมอสโกช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง การเดินทางไปจึงได้เปรียบเรื่องเวลา เราออกจากสุวรรณภูมิเวลา 10.40 น. ถึงมอสโกเวลา 16.40 น. ซึ่งเป็นเวลากำลังดี เพราะฟ้ายังไม่มืด จึงน่าจะสะดวกต่อการเดินหาโฮสเทลที่จองไว้

วิธีที่สะดวกที่สุดในการเดินทางจากสนามบิน Sheremetyevo สู่ใจกลางเมืองมอสโกคือการใช้บริการรถไฟ Aeroexpress ที่สุดแสนสะดวกสบาย ใช้เวลาเพียง 30 นาที เราก็มาถึงสถานี Rechnoy Vokzal ซึ่งสามารถโดยสารรถไฟใต้ดินสู่ใจกลางกรุงมอสโกได้อย่างสบายๆ นอกจากเป็นจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟใต้ดินแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานีรถไฟบนดินอีก ผมจึงเกิดความคิดว่า เราน่าจะซื้อตั๋วรถไฟไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจากที่นี่ได้ แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ทำได้แค่เดินงงและวนไปวนมา เพราะไม่สามารถสื่อสารรู้เรื่อง อีกทั้งมองหาป้ายภาษาอังกฤษแทบไม่เจอ เอาเป็นว่าการจองตั๋วรถไฟเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้เราควรเดินทางไปยังที่พักก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า เพราะหากท้องฟ้ามืด การเดินกางแผนที่เพื่อหาที่พักจะยิ่งยากมากขึ้น

หลังจากที่บันไดเลื่อนพาเราดิ่งลึกลงใต้ดินไม่รู้กี่สิบเมตร เราก็งงกับสถานีรถไฟใต้ดิน รัสเซียเป็นประเทศแรกๆในโลกที่มีระบบรถไฟใต้ดิน มีป้ายบอกเส้นทางเดินรถสุดแสนจะละเอียด อย่างบ้านเราจะบอกแค่สถานีสุดท้ายปลายทาง ซึ่งเราจะเดินทางไปทางไหนก็ให้ยึดสถานีสุดท้ายปลายทางเป็นที่ตั้ง แต่สำหรับที่มอสโกจะบอกทุกสถานีที่เส้นทางนี้ผ่าน อีกทั้งยังบอกด้วยว่าเส้นทางนี้จะไปตัดกับเส้นทางอื่นที่สถานีไหน และเส้นทางที่ตัดนั้นประกอบด้วยสถานีอะไรบ้าง โอ้โหละเอียดมากจนทำให้คนต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยเช่นเราถึงกับงงจนตาลาย อีกทั้งป้ายชื่อสถานีก็มีแต่ภาษารัสเซีย ดีที่ก่อนมาเตรียมแผนที่รถไฟใต้ดินแบบภาษาอังกฤษกับภาษารัสเซียมาด้วย จึงต้องรีบควักออกจากเป้ก่อนที่จะงงไปมากกว่านี้

เราขึ้นรถไฟใต้ดินสาย 2 สีเขียวเข้าสู่ใจกลางเมือง ในตำแหน่งจุดตัดของรถไฟใต้ดินถึง 3 สาย จากนั้นเดินหาทางไปรถไฟใต้ดินสาย 1 สีแดง หลังจากเดินหลงและงงอยู่สักพักสัญชาตญาณแห่งการเดินทางก็พาเรามายืนอยู่บนช่องทางรถไฟใต้ดินสายสีแดง จากตรงนี้เราต้องโดยสารต่อไปอีก 3 สถานีสู่สถานี Kropotkinskaya ซึ่งใกล้กับโฮสเทลที่เราจองไว้มากที่สุด

ทันทีที่เราโผล่ขึ้นสู่โลกบนดิน เราก็ได้พบกับโบสถ์เซนต์ซาเวียร์ (Christ the Saviour) นอกจากเป็นโบสถ์สวยขนาดใหญ่แล้ว ในเวลานี้ยังมีการแสดงดนตรีที่มีผู้คนจำนวนมากยืนชมยืนฟังความไพเราะจากเสียงเพลง จนผมหลงคิดไปเองว่า นี่ชาวมอสโกจัดงานต้อนรับเรายิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ

ยัง เรายังไม่มีเวลาชมความงามของโบสถ์ หรือฟังความไพเราะของเสียงเพลงใดๆ เพราะหน้าที่หลักของเราตอนนี้คือการหาโฮสเทลที่เราจองไว้ให้พบก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดไปมากกว่านี้ ซึ่งตำแหน่งของโบสถ์เซนต์ซาเวียร์นั้นช่วยเราจับทิศจับทางได้เยอะทีเดียว ว่าเราควรจะเดินไปทางไหน ประกอบกับเรามี GPS จากมือถือจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะหาโฮสเทล Tikhy Tchas ได้ไม่ยาก แต่สุดท้าย GPS จากมือถือนั้นก็สู้ GPS ธรรมชาติจากการเอ่ยปากถามตำรวจจราจรไม่ได้

ดูจากแผนที่แล้วชัดเจนมากว่าโฮสเทลต้องอยู่บริเวณนี้แน่ๆ แต่มันอยู่ตรงไหน เพราะมองไปก็มีแต่อาคารอายุกว่าครึ่งศตวรรษตั้งอยู่ท่ามกลางความมืด แต่มันต้องใช่อาคารนี้แน่ๆ จึงลองเดินผ่านรั้วเข้าไปดู ใช่จริงๆด้วย เลขที่อาคารตรงกับเลขที่บนใบจอง เราพยายามกดปุ่มเรียกจากภายนอก รวมถึงการเคาะประตู แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบกลับของสิ่งมีชีวิตใดๆ อีกทั้งบรรยากาศโดยรอบประกอบกับความเก่าของอาคารนั้นชวนให้จินตนาการถึงโรงแรมผีสิงยิ่งนัก

“พี่เอ๋ รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวเนลองเดินไปดูอีกฝั่งหนึ่ง เห็นมีประตูเหมือนกัน”

ว่าแล้วน้องเนก็ทิ้งกระเป๋า 2 ใบ และทิ้งผมยืนให้อยู่ในความมืดเพียงคนเดียว

เพียงแค่อึดใจ น้องเนก็เดินกลับมาพร้อมบอกว่า

“ฝั่งนั้นมีประตูและปุ่มกดเหมือนกัน เราลองไปดูไหม”

เราสองคนลากกระเป๋าไปยังอีกฝั่งหนึ่งของอาคาร อย่างที่น้องเนบอกไว้ ฝั่งนี้ก็มีลักษณะประตูและปุ่มกดเหมือนกันเลย โดยต้องกดรหัส แล้วเราจะกดรหัสอะไร แต่ยังไม่ทันได้กด บานประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน หากเป็นหนังสยองขวัญ ฉากต่อไปคงเป็นฉากที่เราวิ่งกันป่าราบจากสิ่งที่ได้เห็นเมื่อบานประตูถูกเปิดออก แต่ความจริงในเวลานี้คือ สาวสวยที่ผลักบานประตูออกมาพร้อมคำกล่าวว่า “Sorry”

เธอคือหนึ่งในแขกที่พักที่นี่ เรารีบคว้าบานประตูเพื่อไม่ให้ปิดลงอีกครั้ง พร้อมกล่าวขอบคุณและพากันยกกระเป๋าขึ้นบันไดไปยังชั้น 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโฮสเทล

การจองตั๋วเครื่องบิน และวางแผนการเดินทางเป็นหน้าที่ของผม แต่สำหรับการจองที่พักนั้นน้องเนขอรับอาสา โดยเธอบอกว่า แม้จะเป็นโฮสเทล แต่ตลอดทั้งทริปเธอจองห้องพักแบบไพรเวท สุดแสนส่วนตัวให้เชียวนะ

ที่พักไพรเวทสุดแสนส่วนตั๊วส่วนตัวคืนแรกนี้ เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็ถึงกับทำให้ผมอึ้ง เพราะขอบประตูเกือบจะชนขอบเตียงไม้สองชั้น นั่นหมายความว่ามีระยะห่างระหว่างขอบเตียงถึงผนังเพียงแค่ครึ่งเมตร เมื่อเอากระเป๋าเดินทางเข้าไปตั้งจึงเหลือที่ให้ยืนพอดิบพอดีแบบห้ามเอี่ยวหน้าเอี่ยวหลังไปทางไหน เข้าห้องปุ๊บก็จงหมุดหรือปีนขึ้นเตียงให้ไว พนักงานโฮสเทลร่างอ้วนแต่หน้าตาน่ารักเห็นผมทำหน้าพิลึกพิลั่นจึงถามว่าผมอยากจะอัพเกรดห้องให้กว้างกว่านี้ไหม แต่ผมปฏิเธอโดยบอกว่า เอาห้องแบบนี้แหละอบอุ่นดี แต่ในใจบอกว่า จะเปลี่ยนทำไม เอาห้องแบบนี้แหละประหยัดดี

โฮสเทล Tikhy Tchas นั้นก็เหมือนโฮสเทลทั่วไปคือมีที่นั่งเล่นรวม แต่ที่นี่นั่งรวมกันได้แค่ 2 คน เพราะมีเพียงโซฟาตัวเล็กๆนั่งได้แค่ 2 คน ตั้งอยู่หน้าทางเข้าออก แต่มีดีที่ห้องครัวและห้องทานข้าวรวม เพราะมีชากาแฟให้ชงฟรี แถมด้วยลูกอมรสชาติอร่อย สำหรับห้องอาบน้ำมีเพียงแค่ห้องเดียวจึงต้องช่วงชิงกันน่าดู แต่ห้องอาบน้ำรวมนี้สุดแสนพิเศษ เพราะแม้ห้องพักจะสุดแคบเพียงใด แต่ห้องอาบน้ำกว้างสุดๆ จนสามารถนั่งล้อมวงเล่นหมากเก็บได้ นอกจากชักโครก อ่างอาบน้ำและอ่างล้างหน้าแล้ว ภายในห้องน้ำยังมีเตารีดไอน้ำและที่รองรีดให้ผู้เข้าพักได้รีดผ้ากันอีก ซึ่งผมได้ใช้บริหารหลายครั้ง เพราะการเดินทางแต่ละครั้งผมมักจะเอาเสื้อผ้ามาน้อยชิ้น เพื่อลดน้ำหนักของสัมภาระ แต่ด้วยเหตุที่มีห้องอาบน้ำเพียงห้องเดียว ผมจึงต้องตื่นมาใช้บริการเตารีดตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน

แม้เวลารัสเซียจะเพิ่ง 2 ทุ่ม แต่เวลาไทยในขณะนี้เที่ยงคืนเข้าไปแล้ว มาถึงวันแรกจึงง่วงนอนสุดๆ แต่ครั้นจะให้อยู่แต่ในห้องคงไม่มีอะไรทำนอกจากเอาตัวขึ้นไปคดบนเตียง เราจึงชวนกันออกไปดูคอนเสิร์ตกันที่โบสถ์เซนต์ซาเวียร์ ซึ่งในเวลานี้ผู้คนที่มาชมนั้นมีจำนวนมากจนล้นลานหน้าโบสถ์ เพลงที่ขับร้องและบรรเลงนั้นเป็นแนวออสเครสตร้าที่ขนเครื่องดนตรีมาเต็มวง ประกอบกับเสียงขับร้องที่ร้องกันอย่างเต็มพลังจึงไพเราะสุดๆ แต่เราก็ชมกันเพียงไม่นานเพราะในขณะนี้เสียงท้องเริ่มร้องแข่งกับเสียงเพลง จึงชวนกันเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของโบสถ์ซึ่งติดกับแม่น้ำมอสควา (Moskva) เส้นเลือดสำคัญที่ไหลผ่านใจกลางกรุงมอสโก

บริเวณริมแม่น้ำมอสความากไปด้วยผู้คนที่มาชื่นชมความงามยามค่ำของกรุงมอสโก โดยเฉพาะบนสะพาน Patriarshiy most ที่ในเวลานี้กลายเป็นสะพานสำหรับคนเดินที่ผู้คนต่างเดินทอดน่องบนสะพานเพื่อชื่นชมแสงไฟที่อาบไล้ พร้อมบรรยากาศที่เย็นสบายของสายน้ำ และภาพพระราชวังเครมลินอันแสนงามงามที่อยู่ไม่ไกลเกินสายตาทอดไปถึง

สุดปลายสะพานเป็นย่าน Red October ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าเกี่ยวอะไรกับสีแดงและเดือนตุลาคม รู้เพียงแต่ว่าย่านนี้เป็นแหล่งบรรเทิงยามราตรี พวกผับบาร์แหล่งอโคจรนั้นเราไม่สน สนแต่การร้องรำทำเพลงของชาวรัสเซียที่เชื้อเชิญชาวต่างถิ่นมาร่วมสนุกกับการเต้นรำเป็นคู่แบบง่ายๆ ที่แต่ละคู่ต่างหมุนและคล้องแขนของต่างคู่สลับกันไปมาอย่างสนุกสนาน จึงเป็นสัมผัสแรกแห่งการต้อนรับที่ประทับใจยิ่ง ว่าแต่ผมยังไม่สามารถหาอะไรกินได้เลย แม้บริเวณนี้จะมีผู้คนมากมาย แต่กลับมีขายเฉพาะน้ำและเครื่องดื่ม ผมจึงได้แต่กินความงามของบรรยากาศยามค่ำเคล้าด้วยความครื้นเครงก่อนกลับไปนอนท้องร้องต่อในห้องพัก

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 16.43 น.

ความคิดเห็น