การเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็ทำให้เราเริ่มคุ้นกับระบบรถไฟใต้ดินกรุงมอสโก วันนี้เราจึงสนุกกับการโดยสารและเปลี่ยนสายรถไฟเป็นว่าเล่น จุดหมายต่อไปของเราคือ เขตอนุรักษ์โคโลเมนสโคกี (Kolomenskoye) ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงมอสโก ผมไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไร เพราะจากรูปและข้อมูลที่อ่านก่อนเดินทาง ได้ความว่า ที่แห่งนี้กว้างใหญ่มาก โดยเป็นเขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรม ทีแรกก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าที่กว้างใหญ่ขนาดนี้จะอยู่ในเขตชนบทที่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินไหม แล้วจะมีคนมาเที่ยวหรือเปล่า แต่ที่ไหนได้ นอกจากตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟแล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวยังมหาศาล จนกลบความคิดก่อนการเดินทางจนสิ้น เพราะแท้จริงแล้ว สถานที่แห่งนี้คือสถานที่พักตากอากาศ หรือพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์รัสเซียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14

ช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงกลางเดือนกันยายนที่เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ภูมิอากาศจึงยังสับสนในตัวเองว่าควรทำตัวอย่างไร ช่วงเย็นจนถึงเช้า อากาศจึงหนาวเย็น แต่พอช่วงสายยันบ่ายนั้นแทบอยากจะใส่เสื้อกล้ามเดินเที่ยว ร้านไอศครีมหน้าทางเข้าจึงมีลูกค้าต่อคิวกันพอให้แม่ค้าได้ชื่นใจ ขอบอกว่าไอศครีมรัสเซียนั้น อร่อยมาก...ก

ภาพแรกที่ต้อนรับผู้มาเยือนเมื่อเข้าเขตอนุรักษ์โคโลเมนสโคกี คือ คฤหาสน์ที่สร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่บนสนามหญ้าเขียวขจี สร้างขึ้นโดยพระเจ้าซาร์ Aleksey ที่ 1 แต่คฤหาสน์สุดอลังการที่เห็นในเวลานี้ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อปีค.ศ.2010 แทนคฤหาสน์หลังเดิมที่ถูกทำลายลงในศตวรรษที่ 18 โดยเป็นการสร้างที่คงสถาปัตยกรรมเดิมทุกกระเบียดนิ้วในอัตราส่วน 1:1

สิ่งที่เห็นจากภายนอกไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าภายในนั้นมีอะไรรอเราอยู่ คฤหาสน์หลังนี้ก็เช่นกัน ทีแรกคิดว่าคงเป็นคฤหาสน์ตันๆ ทึบๆที่ภายในมากไปด้วยห้อง แต่ที่ไหนได้ เมื่อขึ้นบันไดสู่ภายในคฤหาสน์ จากส่วนด้านหน้า ที่เหล่าห้องหับได้แปรสภาพเป็นพิพธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ และห้องต่างๆอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์และเหล่าราชวงศ์ ทั้งห้องทรงงาน ห้องบรรทม จนไปถึงห้องซาวน่า ที่แต่ละห้องล้วนมีเตาและปล่องไฟเพื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว เมื่อเดินลงบันได จากคฤหาสน์ที่ดูจากภายนอกแล้วให้ความรู้สึกเหมือนตันๆ พื้นที่บริเวณตอนกลางของคฤหาสน์ได้เปิดโล่งให้แสงอาทิตย์สาดส่องมายังสวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ ความรู้สึกจึงเปลี่ยนไปทันที จากที่เดินชมโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ที่ดูเหงาหงอยไร้ชีวิตชีวา ก็แปรเปลี่ยนเป็นการเดินชมสวนดอกไม้ที่สดชื่นแจ่มใส แน่นอนน้องเนยังคงตรงเข้าไปเก็บดอกไม้เหมือนเช่นเคย และบริเวณนี้เองที่เราจะได้เห็นความใหญ่ของซุงแต่ละต้นที่ขัดและต่อเรียงกันขึ้นไปจนกลายเป็นคฤหาสน์หลังนี้

และจากที่คิดว่าใช่ ก็กลายเป็นไม่ใช่อีกครั้ง เมื่อเราเดินจนสุดคฤหาสน์ เพราะจากที่คิดว่าเป็นบริเวณด้านหลัง แต่แท้จริงแล้ว เมื่อพิจารณาจากความสวยงามของงานสถาปัตยกรรมแล้ว บริเวณนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นด้านหน้าของคฤหาสน์หลังนี้ เพราะไม่ใช่เป็นแค่เพียงอาคารไม้หลังคายอดแหลมแบบเรียบๆ แต่เป็นหลังคารูปทรงพีระมิดบ้าง โค้งแบบยอดโบสถ์บ้าง แต่ละยอดล้วนประดับด้วยกระเบื้องสีเขียวอย่างดงาม รวมถึงกรอบหน้าต่างก็งดงามอ่อนช้อยไม่แพ้กัน จนให้ความรู้สึกเสมือนอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย

ทีแรกคิดว่าจะกลับแล้ว แต่เห็นป้ายชี้ทางไปโบสถ์แอสเซนชั่น (Church of Ascension) อีกทั้งเส้นทางยังสุดแสนร่มรื่นจากร่มเงาของแมกไม้ เราจึงชักชวนกันเดินไปตามเส้นทางดังกล่าว ระหว่างการเดินก็มีจักรยานของนักท่องเที่ยวปั่นผ่านมาให้เห็นเป็นระยะ และยิ่งเดินไกลมากขึ้นเราจึงพบว่าสองข้างทางของเรานี้ไม่ใช่สวนธรรมดา หากแต่เป็นสวนผลไม้ ที่ในเวลานี้เหล่าแอปเปิ้ล ลูกพีท ต่างออกลูกกันเต็มต้น ทีแรกเห็นชาวรัสเซียแค่ไม่กี่คนปีนต้นไม้เก็บแอปเปิ้ล จึงเกรงๆไม่กล้าเก็บด้วย เพราะกลัวโดนจับ แต่พอเดินไปเรื่อยๆจึงพบว่า ทั้งชาวรัสเซียและนักท่องโลกจำนวนมากต่างสนุกสนานกับการกลายสภาพเป็นชาวสวน ที่ทั้งเอื้อม ทั้งปีน หรือแม้แต่โยนหินเพื่อเก็บผลไม้เหล่านั้น เราจึงขอร่วมสนุกด้วยกับการเก็บแอปเปิลทั้งกินในขณะนั้น และเป็นเสบียงระหว่างเดินทาง จนชักจะงงตัวเองเหมือนกันว่านี่เรามาเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน หรือทริปอร่อยทุกไร่ ชิมไปทุกสวน

แล้วเส้นทางก็เลียบขนานไปกับแม่น้ำมอสควา โดยตำแหน่งนี้สูงกว่าแม่น้ำค่อนข้างมาก มองลงไปเบื้องล่างเห็นผู้คนเดินทอดน่องเพื่อชมทิวทัศน์ของสายน้ำ และปลายทางของเส้นทางนี้คือ โบสถ์แอสเซนชั่นที่ซ่อนตัวจากแมกไม้ก็ค่อยๆเผยโฉมให้เราเห็น

โบสถ์แอสเซนชั่นเป็นโบสถ์หลังไม่ใหญ่นัก มีสีขาวสะอาดตา สร้างในปีค.ศ.1532 เพื่อฉลองวันประสูติของพระเจ้าซาร์ อิวานที่ 4 หรืออิวานผู้ชั่วร้าย (Ivan the Terrible) ประวัติของฉายานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะเล่าให้ฟังอีกทีเมื่อเราเข้าชมภายในโบสถ์เซนต์บาซิล ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงมอสโก

เราเดินเข้าไปภายในโบสถ์แอสเซนชั่น แม้ภายนอกจะสร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ภายในนั้นเรืองรองไปด้วยแสงจากเปลวเทียน ที่ส่องแสงไปยังภาพวาดพระเยซูที่ประดับบนผนังที่อยู่สูงขึ้นไป

เราจากลาเขตอนุรักษ์โคโลเมนสโคกีด้วยความสุขใจพร้อมกับแอปเปิ้ลจำนวน 3 ลูก ทีแรกกะว่าจะกลับที่พักแล้ว เพราะเริ่มเมื่อย และยังปรับตัวกับเวลาที่แตกต่างกัน 4 ชม.ไม่ได้สักเท่าไหร่ แม้เวลานี้จะเพิ่ง 5 โมงเย็น แต่หากเป็นเวลาไทยก็ 3 ทุ่มเข้าไปแล้ว แต่ในเมื่อพระอาทิตย์เหนือท้องฟ้ากรุงมอสโกยังคงฉายแสง นักเดินทางอย่างเราจะสิ้นเรี่ยวแรงไปได้ไฉน ผมจึงชวนน้องเนไปตีวงล้อมกรุงทอสโกกันต่อที่ประตูชัยแห่งกรุงมอสโก (Triumphal Arch of Moscow) ในทิศตะวันออกนอกเขตตัวเมือง

เมื่ออกจากรถไฟใต้ดินขึ้นสู่พื้นดิน ภาพของประตูชัยก็โดดเด่นแต่ไกล โดยเกาะกลางถนนที่พุ่งตรงสู่ประตูชัยแห่งนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในเกาะกลางถนนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อมที่เรียงรายไปด้วยดอกไม้ ผู้คนที่ผ่านไปมา บ้างก็เดินเล่น นั่งเล่น หรือแม้แต่ปั่นจักรยาน จนเราปล่อยเวลาเพื่อนั่งพักให้สายตาได้ชื่นชมไปกับความงามของดอกไม้ และปล่อยให้สองขาได้พักจากการเดินตลอดทั้งวัน

ประตูชัยแห่งกรุงมอสโกนี้สร้างขึ้นในลักษณะและเหตุผลเดียวกับประตูชัยที่สร้างขึ้นในหลายประเทศในยุโรป นั่นคือเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ โดยประตูชัยแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของรัสเซียที่มีต่อจักรพรรดินโปเลียน แห่งฝรั่งเศส เมื่อปีค.ศ.1812 แต่เดิมตั้งอยู่ที่จัตุรัส Tverskaya Zastava โดยย้ายมาที่จัตุรัส Pobedy แห่งนี้เมื่อปีค.ศ.1960

ลักษณะโดยรวมของประตูชัยแห่งกรุงมอสโกเป็นสี่เหลี่ยม ช่องตรงกลางเป็นซุ้มประตูยอดโค้ง สองข้างประดับด้วยเสาศิลปะโรมัน พร้อมด้วยรูปปั้นนักรบยืนพิทักษ์ประตูชัยทั้งซ้ายขวา ชุดรบเป็นการผสมผสานระหว่างรัสเซียกับโรมัน เหนือขึ้นไปเป็นรูปปั้นเทพีแห่งชัยชนะ ด้านบนสุดเป็นรูปปั้นรถม้าศึก ด้วยสายตาระดับพื้นดิน จึงมองเห็นแค่ม้า 6 ตัว ไม่สามารถเห็นเทพีแห่งชัยชนะที่กำลังควบรถม้าศึกได้ แต่ด้วยสายตาระดับพื้นดินนี้ หากเพ่งสังเกตให้ดีจะพบรูปปั้นนูนต่ำของเทพเจ้าในตำนานกรีกโบราณอีกหลายองค์ พร้อมด้วยภาพการต่อสู้ของทหารรัสเซียกับฝรั่งเศส ดูแล้วให้ความรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย

สัญลักษณ์แห่งชัยชนะยังมีอีกแห่ง เพราะนอกจากประตูชัยแล้ว ใกล้ๆกันยังเป็นสวนวิคตอรี (Victory) สัญลักษณ์แห่งชัยชนะของรัสเซียที่มีต่อนาซีเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง 50 ปี ด้านหน้าสวนแห่งนี้จึงเป็นประติมากรรมการต่อสู้ดังกล่าว

ภายในสวนมีเนินขนาดใหญ่ การเดินขึ้นบนเนินแห่งนี้ นอกจากเห็นทิวทัศน์กว้างไกลสุดสายตาแล้ว ยังมีสายลมเย็นและอากาศบริสุทธิ์ให้สูดอย่างชื่นปอด ยิ่งเวลาพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเช่นนี้ ยิ่งเป็นภาพและบรรยากาศที่งดงามนัก

ไม่รู้ว่าช่วงที่เรามากรุงมอสโกเป็นช่วงเทศกาลอะไรหรือเปล่า หรือว่าเขาจัดคอนเสิร์ตกันเป็นเรื่องปกติ เพราะเมื่อวานที่หน้าโบสถ์เซนต์ซาเวียร์ก็มีคอนเสิร์ต มาวันนี้ที่ Monument to the Conquerors of Space ก็มีคอนเสิร์ต ในเวลานี้ที่สวนวิคตอรีก็มีคอนเสิร์ต โดยเป็นการเล่นดนตรีที่เร้าใจยิ่งนัก เราจึงไม่รอช้าที่จะพาตัวเองให้ไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้น

แม้จะดึกดื่นและเหน็บหนาว แต่เราก็ดูคอนเสิร์ตจนเพลงสุดท้ายบรรเลง บนเส้นทางเดินกลับ ผ่านน้ำพุจำนวน 1,418 หัวที่กำลังเต้นระบำประกอบเสียงดนตรีภายใต้แสงไฟหลากสีที่อาบไล้ ช่างเป็นภาพงดงามที่ปิดฉากการเที่ยวแบบตีวงล้อมกรุงมอสโกได้อย่างน่าประทับใจ

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 16.42 น.

ความคิดเห็น