จากประสบการณ์เมื่อวาน คือหน้าสถานีรถไฟในเวลาเย็นนั้นแทบไม่มีอะไรขาย เย็นนี้เราจึงเข้าไปฝากท้องกับซุปเปอร์มาเก็ตหน้าสถานี เพื่อซื้อนม ขนมเค้ก และผลไม้ทานเป็นมื้อเย็น จากการสำรวจสรรพสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ตพบว่า หากเป็นพวกอาหาร ของสดแล้ว ราคาสินค้าโดยรวมนั้นถูกกว่าเมืองไทยเสียอีก โดยเฉพาะไข่ไก่ แบบแผง 10 ฟอง เฉลี่ยฟองละบาทกว่าเท่านั้น ด้วยเหตุที่โฮสเทลมีห้องครัว น้องเนจึงไม่รอช้าที่จะซื้อไข่ไก่ไป 1 แผง ส่วนจะเอาไปทำอะไรนั้นค่อยว่ากัน

เรานอนที่เมืองวลาดิมีร์มา 2 คืนแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกเดินเที่ยวในเมืองนี้กันเลย วันนี้เรามีเวลาจากเช้าถึงบ่ายแก่ๆที่จะทำความรู้จักกับเมืองแห่งนี้

วลาดิมีร์ (Vladimir) เหมือนเป็นเมืองฝาแฝดกับเมืองซุสดัล โดยเป็นเมืองหลวงเก่าในยุคเดียวกัน คือราวคริสต์ศตวรรษที่ 10 ก่อตั้งโดยเจ้าชายวลาดิมีร์แห่งเมืองเคียฟ (นักประวัติศาสตร์ถือว่าเมืองเคียฟเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของรัสเซีย แต่หลังจากการล้มสลายของสหภาพโซเวียต โดยแตกเป็นประเทศน้อยใหญ่มากมาย เมืองเคียฟได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศยูเครนในปัจจุบัน) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 เมืองวลาดิมีร์ได้กลายเป็นเมืองหลวงของแคว้นวลาดิมีร์ – ซุสดัล ปัจจุบันวลาดิมีร์กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมหลักเมืองหนึ่งของรัสเซีย แต่ในเขตเมืองเก่าก็ยังคงอบอวนไปด้วยโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่น่าชมและค้นหา

เอาอีกแล้ว วันนี้ผมถูกน้องเนเทอีกแล้ว จนอยากเปลี่ยนชื่อจากน้องเน เป็นน้องเทเสียจริงๆ เธอบอกว่าไม่อยากเดินเที่ยวเก็บ RC ตามโบราณสถานที่ผมวางแผนไว้ แต่ขอเดินชิลล์เอ้าท์แถวที่พัก

เมื่อกางแผนที่ตัวเมืองเก่าวลาดิมีร์ออกมาดูพบว่า แผนผังตัวเมืองไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Klyazma มีถนนบอลซายา มอสโคว์สกายา (Bolshaya Moskovskaya) เป็นถนนสายหลักที่ขนานไปกับสายน้ำ แต่ตั้งอยู่บนเนินที่อยู่สูงขึ้นไป สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นโบสถ์และโบราณสถานตั้งอยู่บนถนนสายนี้ โดยส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่บริเวณโกลเดนเกท ซึ่งอยู่คนละมุมเมืองกับสถานีรถไฟ แต่ก็อยู่ในระยะทางที่สามารถเดินเที่ยวได้อย่างสบายอารมณ์ ตรงกลางของเส้นทางเป็นที่ตั้งของโบสถ์อัสสัมชัน ซึ่งเป็นโบสถ์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในเมือง เมื่อเห็นข้อมูลการเดินเที่ยวเช่นนี้ ผมก็รู้ล่วงหน้าเลยว่า วันนี้น่าจะเป็นอีกวันที่ผมจะมีความสุขกับการเดินเที่ยวชมเมืองในแบบเนิบช้า อย่างที่ผมชอบใจ

จากโฮสเทลผมเดินขึ้นเนินสู่ถนนบอลซายา มอสโคว์สกายา สถานที่แรกที่พบตั้งแต่หัวมุมถนนคือ อนุสาวรีย์อเล็กซานเดอร์เนฟสกี ข้างๆเป็นโบสถ์เก่าแก่ สถาปัตยกรรมดูเรียบง่าย ที่ให้ความรู้สึกถึงความเก่าแก่ และเมื่อเดินเข้าไปภายในพื้นที่จึงพบว่า ด้านหลังโบสถ์หลังนี้เป็นกำแพงโบราณที่ทอดตัวยาว หลังกำแพงเป็นแนวทางเดินบนเนินสูงที่ตลอดทางขนาบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ มองลงไปเห็นพื้นที่เบื้องล่างริมแม่น้ำ Klyazma ดูบรรยากาศร่มรื่นน่าเดินยิ่งนัก หัวใจจึงสั่งสองขาให้เดินออกนอกเส้นทางที่วางแผนไว้เพื่อสูดลมหายใจรับอากาศดีๆยามเช้า และเมื่อเดินไปสักพักจึงพบว่าทางเดินสายธรรมชาติเส้นนี้ไม่ได้มีผมเพียงแค่คนเดียวที่เดินอยู่ หากแต่เป็นเส้นทางลัดที่ชาวเมืองใช้เดินเพื่อตัดลงไปยังสถานีรถไฟที่อยู่เบื้องล่าง

แล้วผมก็ต้องกลับมาเริ่มต้นเพื่อเดินขึ้นเนินสู่ถนนบอลซายา มอสโคว์สกายาอีกครั้ง โบสถ์เซนต์เดมิทรี (St. Demetrius Cathedral) คือจุดหมายในการเข้าไปเยือน โบสถ์หลังนี้สร้างด้วยหินสีขาว ลักษณะทรงสูง ยอดโบสถ์เป็นสีทองอร่าม สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1191 แม้ว่าจะมีอายุกว่า 8 ร้อยปีแล้วก็ตาม แต่ก็ดูมีความแข็งแกร่งมาก เมื่อมองจากระยะไกล โบสถ์หลังนี้ดูเรียบๆ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้น จึงพบว่าพื้นผิวผนังนั้นไม่ธรรมดา เพราะละลานตาไปด้วยลวดลายแกะสลักเป็นรูปนักบุญ สัตว์และไม้ดอกอย่างระเอียดยิบ

พ้นจากอาณาบริเวณของโบสถ์เซนต์เดมิทรี เป็นที่ตั้งของโบสถ์อัสสัมชัญ (Cathedral of the Assumption) โบสถ์ที่มีขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดของเมืองวลาดิมีร์ สร้างขึ้นในสมัยที่เมืองวลาดิมีร์เป็นเมืองหลวงของแคว้นวลาดิมีร์ – ซุลดัส ตั้งแต่ปีค.ศ.1158 โดยเจ้าชายอังเดร โบโกลยุบสกี้ (Andrei Bogolyubsky) ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามและสมมาตรจากทั้งตัวโบสถ์ที่มียอดโดมสีทองอร่าม 5 โดม และหอระฆังยอดแหลมสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ทำให้โบสถ์อัสสัมชัญแห่งวลาดิมีร์ ได้กลายเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมในการสร้างโบสถ์อัสสัมชัญในพระราชวังเครมลิน กรุงมอสโก

ผมเดินเข้าไปเลียบๆมองๆที่ประตูแต่ละบานว่าสามารถเข้าชมภายในโบสถ์อัสสัมชัญได้หรือไม่ ประตูบานแรกปิด ผมเดินต่อไปที่ประตูบานที่ 2 ปรากฏว่าประตูบานนี้เปิด ผมจึงไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปชมความงามภายในโบสถ์ที่ตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังไว้อย่างงดงาม โดยเป็นฝีมืออังเดร ไม่ใช่เจ้าชายอังเดร โบโกลยุบสกี้ ซึ่งเป็นผู้สร้าง แต่เป็นนายอังเดร รับบลีฟ (Andrei Rublev) จิตรกรชื่อดังชาวรัสเซีย เมื่อปีค.ศ.1408 ซึ่งเหตุที่ปีในการสร้างโบสถ์กับปีของการวาดภาพจิตรกรรมห่างกันกว่า 2 ร้อยปีเป็นเพราะ โบสถ์แห่งนี้เคยถูกเพลิงไหม้และผ่านการบูรณะมาแล้วหลายครั้งนั่นเอง

ด้านหลังโบสถ์อัสสัมชัญเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เจ้าชายวลาดิมีร์ที่ 1 ในลักษณะทรงม้าถือธงชัย รอบอนุสาวรีย์มากไปด้วยดอกไม้สวยงามที่ต่างผลิดอกหลากสีอย่างสวยงาม

พื้นที่เนินเขาโดยรอบที่กว้างใหญ่ของอนุสวรีย์นี้ได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นจุดชมวิวชั้นยอดของวลาดิมีร์ (Observation Desk) ที่เปิดโล่งรับสายลมและทิวทัศน์ที่กว้างไกล มองทอดสายตาลงไปยังพื้นเบื้องล่างพบกับแม่น้ำ Klyazma ที่ไหลผ่านพื้นที่สีเขียวที่แทบจะปราศจากบ้านเรือนสิ่งก่อสร้าง หากแต่มองย้อนกลับขึ้นมายังพื้นที่บนเนิน สายตาได้เห็นบ้านเรือนหลังน้อยที่สร้างอย่างสวยงามที่ขึ้นกระจายไปตามเนินเขา ภายใต้การโอบล้อมของเรือนยอดไม้สีเขียวขจี จนเป็นภาพความงามที่ทำให้ผมต้องหยุดสายตาเพื่อชื่นชมไปนาน

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.31 น.

ความคิดเห็น