รถบัสประจำทางแล่นออกจากสถานีขนส่ง ผ่านวัดเล็กๆที่มีเจดีย์สีทองงามอร่าม ผมบอกกับตัวเองว่า อย่าเพิ่งตื่นเต้นไป เพราะตลอดระยะเวลาในการเดินทางในพม่า จะต้องพบเจดีย์สีทองในลักษณะเดียวกันนี้อีกนับสิบ นับร้อยองค์ ซึ่งนั่นรวมถึงเหล่ามหาเจดีย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชเวสิกอง ชเวซันดอว์ ชเวมอดอว์ รวมถึง ชเวดากอง ซึ่งเจดีย์ที่ว่ามานี้ ยิ่งใหญ่กว่าเจดีย์ข้างทางอย่างเทียบกันไม่ได้

รถแล่นได้ไม่นานก็จอดที่ชุมชนข้างทาง เหล่าแม่ค้าที่แก้มผัดจนขาวผ่องด้วยตะนาคา ต่างถือถาดบรรจุอาหารขึ้นมาขายบนรถ ซึ่งนอกจาก ส้มโอ ฝรั่ง หรือข้าวโพดต้มที่คนไทยคุ้นเคยแล้ว ยังมีไข่นกกระทาต้ม ซึ่งผู้โดยสารชาวพม่าต่างอุดหนุนมากกว่าอาหารอย่างอื่น แม้อยากซื้อมากินเพื่อดับหิว แต่ก็ไม่กล้า เพราะยังเกรงในไข้หวัดนก จึงทนเก็บท้องไว้กินอาหารเที่ยง ที่ได้แต่หวังว่าคนขับคงจอดแวะที่ร้านอาหารในเวลาอีกไม่นาน

แล้วผมก็สมหวัง เมื่อรถบัสเลี้ยวเข้าไปจอดที่หน้าร้านอาหารร้านใหญ่ริมทาง ในเวลาเกือบบ่ายโมง ผู้โดยสารเดินลงจากรถไปสั่งอาหารที่มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งข้าว และก๋วยเตี๋ยว ซึ่งถ้าเป็นเรื่องกินแล้วต้องยกหน้าที่นี้ให้แท่ง

แท่งเดินสำรวจแทบทุกโต๊ะว่าอาหารโต๊ะไหนน่ากินที่สุด สุดท้ายจึงสรุปว่า กินบะหมี่แล้วกัน ไม่ใช่เพราะดูน่ากิน แต่เพราะดูจะสั่งง่ายและคุ้นเคยที่สุด โดยอาหารอย่างอื่นเป็นอาหารพม่าที่หน้าตาไม่คุ้นเอาเสียเลย แล้วเราก็ได้บะหมี่แห้ง ที่มีเศษเนื้อไก่มากินคนละชาม นอกจากน้ำซุปแล้ว ยังมีเครื่องเคียง เป็นกะหล่ำปลีดิบซอย ราดด้วยซอสพริก แม้จะดูแปลกๆ แต่เมื่อกินคู่กับบะหมี่ ก็อร่อยไม่ใช่น้อย และเรายังได้ลิ้มลองน้ำอัดลมสัญชาติพม่า ยี่ห้อ MAX ซึ่งทีแรกเห็นสีแล้วคิดว่าเป็นน้ำโคล่า แบบโค้ก หรือเป๊ปซี่ แต่เมื่อลิ้มลองแล้วจึงรู้ว่าเป็นน้ำรสมะขาม เออ...แปลกดี อร่อยดี

ระยะทางที่ผ่านมา กับเวลาที่ผ่านไป ทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงถนนในพม่ามากกว่าที่เคยอ่านหรือเคยได้ยิน เพราะด้วยสภาพถนนที่ลาดยางเพียงให้รถวิ่งได้แค่เลนเดียว พอรถอีกฝั่งสวนมา ต่างฝ่ายก็ต้องแบ่งพื้นที่บนถนนที่มีอยู่น้อยนิด โดยหลบลงข้างทาง ทุกครั้งที่รถหลบลงข้างทาง ฝุ่นก็ฟุ้งกระจายเต็มถนน และพัดเข้ามาในรถที่ต้องเปิดหน้าต่างเพื่อรับอากาศจากภายนอก ทำให้ผู้โดยสารต้องสูดฝุ่นเสียจนอิ่ม ซึ่งนั่นเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ผู้มาเที่ยวพม่าแบบแบกเป้ต้องเตรียมใจยอมรับ แต่ก็คุ้มค่า หากสิ่งนี้ถูกแลกด้วยการได้ชมเหล่าวัดวาอารามและเจดีย์ที่ส่องแสงทองงามอร่าม บนแผ่นดินทองแห่งพระพุทธศาสนา


และแม้การเดินทางครั้งนี้ จะถูกวางแผนไว้อย่างดี แต่เพราะการตัดสินใจอย่างกะทันหันของผมที่เลือกไปเมืองแปรเป็นเมืองแรก แทนการไปพุกาม แผนที่วางไว้จึงแทบจะถูกโยนทิ้ง และนั่นคือการเดินทางด้วยตัวเองแบบแบกเป้ ที่เสน่ห์อยู่ตรงการไม่อาจคาดเดาสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น และได้ใช้ชีวิตการเดินทาง ตามแบบที่ใจเลือกเดิน ซึ่งในเวลานี้ ผมบอกตัวเองว่าพร้อมแล้ว ที่จะแบกเป้ และเดินทางไปเจอกับสิ่งต่างๆ ทั้งที่วางแผนไว้ และที่เกินกว่าจะคาดคิด

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 12.56 น.

ความคิดเห็น