𝐒𝐮𝐬𝐡𝐢 𝐉𝐮𝐛𝐚𝐧 寿司十番 

ร้านซูชิต้นตำรับโดยเชฟชาวญี่ปุ่น กับคอร์สโอมากาเสะที่วัตถุดิบเกินราคา

          ทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคที่ ซูชิโอมากาเสะ ได้รับความนิยมมากกกก ยิ่งโดยเฉพาะในกรุงเทพนี่มีร้านโอมากาเสะเพิ่มขึ้นเยอะมากเมื่อเทียบกับไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดูง่าย ๆ เลยค่ะ รีวิวโอมากาเสะใน Youtube นี่ เดี๋ยวนี้เห็นชื่อร้านใหม่ ๆ ตลอด 5555 ซึ่งแต่ละร้านก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านราคา วัตถุดิบที่ใช้ รวมถึงฝีมือเชฟเองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ลูกค้าใช้ในการตัดสินใจเลือกว่าจะไปกินร้านไหนดี และปฏิเสธไม่ได้ว่า ลูกค้าโอมากาเสะมักคาดหวังว่าจะได้กินวัตถุดิบพรีเมียมจากญี่ปุ่น และรสชาติแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ ดังนั้นร้านไหนที่มีเชฟเป็นชาวญี่ปุ่น จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ แต่แน่นอนว่ามักจะมีราคาค่อนข้างสูง บางที 5-6 พันอัพนู่นแหละ ก็เกินเอื้อมไปเนาะ 555555

          ดังนั้นรีวิวนี้ "กิน จน จน" เลยจะพามารู้จักกับร้านซูชิต้นตำรับโดยเชฟชาวญี่ปุ่น ซึ่งทางร้านมีทั้งเมนู A La Carte และ คอร์สโอมากาเสะ ที่ราคาไม่ได้แพงเลย แต่วัตถุดิบเกินราคาไปมากกก และมีเมนูที่เรามักจะเห็นแต่ในคอร์สหลายพันบาทด้วยนะ ร้านนี้ชื่อว่า "𝐒𝐮𝐬𝐡𝐢 𝐉𝐮𝐛𝐚𝐧" ค่าาา

          "𝐒𝐮𝐬𝐡𝐢 𝐉𝐮𝐛𝐚𝐧" (อ่านว่า ซูชิ จู-บัน) เป็นร้านซูชิที่มีจุดเด่นเรื่องการนำเสนอเมนูแบบสมัยใหม่ ให้พูดง่าย ๆ ก็คือ จะมีการประยุกต์การนำเสนอหลาย ๆ เมนูแบบฟิวชั่น แต่ยังคงรสชาติแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมไว้ โดยร้านซูชิจูบันมี 3 สาขาค่ะ มีสาขาอโศก สาขาทองหล่อ และสาขาพญาไทซึ่งเป็นสาขาล่าสุด แต่ละสาขาสามารถ search จาก Google Map ละตามไปได้เลย โดยในครั้งนี้ เราได้มาลองที่สาขาพญาไทค่ะ 

           สาขาพญาไทจะอยู่ไม่ไกลจาก BTS สะพานควาย ตอนที่เดินทางจาก BTS ไปยังร้านตาม location ที่ค้นจาก Map นี่ เอาจริง ๆ ตกใจเหมือนกันนะ มันคือเราเข้าไปในหมู่บ้านอะ ถามกันกับแฟนว่า ใช่เหรอ เอ๊ะมาผิดป่าว เหมือนกำลังไปเที่ยวบ้านญาติเลย 55555 ละยิ่งเรามาตอนทุ่มกว่า ยิ่งดูแปลก ๆ แต่พอเข้ามาถึง จะเจอกับร้าน Sushi Juban ที่เปิดไฟสว่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ มีที่จอดรถด้วยนะ ภายนอกร้านมีการตกแต่งแบบสวนหินของญี่ปุ่น อลังการมากก 

          เข้ามาในร้านยิ่งอลังการกว่านั้นอีก โต๊ะจะเป็นแบบเคาท์เตอร์หน้าเชฟเลย กะด้วยสายตาน่าจะรับได้สูงสุด 20 กว่าที่นั่งเลยค่ะ ตกแต่งผนังร้านด้วยขวดสาเกหลาย ๆ แบบ

          ร้านตกแต่งหรูมากเลยค่ะ เน้นสีโทนไม้และสีครีม

          ที่เห็นเป็นถาดสีดำบนเคาท์เตอร์ คือเชฟจะวางแต่ละคำที่เสิร์ฟให้บนถาดนี้นะคะ          

ที่เคาท์เตอร์จะเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้ลูกค้าค่ะ มีผ้าเย็น ตะเกียบ ถ้วยโชยุ ละก็ที่รองแก้ว

ก่อนจะสั่งอาหาร เชฟก็จะเตรียมวาซาบิและขิงดองไว้ให้ก่อนเลยค่ะ

          จากนั้นจะมีพี่พนักงานมาถามเครื่องดื่มที่อยากได้ เราเลือกเป็น ชาเขียวร้อน และชาเขียวเย็นค่ะ ถ้าเป็นชาเขียวร้อน จะ Refill ได้เรื่อย ๆ นอกนั้นไม่ Refill นะจ๊ะ 

ชาร้อนดีมาก ๆ เป็นชาจืดที่หอมชามาก รสชาตินัว ๆ

ชาเขียวเย็นก็เป็นชาเขียวจืด มีความขมกว่าแบบร้อนนิดหน่อย แต่สดชื่นมาก

          จากนั้นทางร้านจะมีเมนูมาให้เลือกค่ะ คอร์สโอมากาเสะของที่ร้าน เริ่มต้นที่ 980 บาท ++ (net 1,153 บาท) เท่านั้นเอง โดยจะแยกเป็นเซ็ตมื้อเที่ยง และเซ็ตมื้อเย็นค่ะ ราคาและเมนูก็จะต่างกันไป แต่ละช่วงก็อาจจะมีโปรโมชั่นที่แตกต่างกันด้วย อย่างรอบที่เราไปจะมีโปรโมชั่นของเดือนเมษายน 2564 ลดราคาคอร์ส 14 คำ และคอร์ส premium ค่ะ

เซ็ตมื้อเที่ยง Service Charge จะคิด 12% นะคะ

          ครั้งนี้เรามาลองคอร์ส Omakase Premium เลยค่าา โปรช่วงนี้อยู่ที่ราคา 2,800 บาท ++ ถ้าเป็นสุทธิจะอยู่ที่ 3,296 บาท คอร์สนี้รวมทุกอย่างแล้วจะได้ 19-20 คำเลยค่ะ แล้วมีหลายเมนูที่เราจะเห็นแค่ในคอร์สที่แพงกว่านี้ เดี๋ยวมาดูเมนูกันเนาะ

          ละก็อย่างที่บอกไปว่า ร้านนี้มี A La Carte ด้วยนะคะ ใครที่ไม่ได้อยากกินเป็นคอร์สใหญ่ก็สั่งแยกได้ หรือใครมากินโอมากาเสะแล้วอยากกินอะไรเพิ่มอีก ก็สั่งเพิ่มเลยค่ะ แต่สำหรับครั้งนี้เรามากินโอมากาเสะ เลยจะไม่ได้พูดถึงมาก เดี๋ยวเราจะแปะเมนู A La Carte ไว้ท้ายรีวิวนะคะ 

          เชฟที่เป็นคนทำให้เรา เป็นเฮดเชฟของซูชิจูบันสาขานี้ค่ะ ชื่อคาสึกิซัง มีประสบการณ์การทำซูชิมานานกว่า 30 ปี พูดไทยได้ในระดับที่คุยกับลูกค้าคนไทยได้เลยค่ะ ใจดีกับลูกค้ามาก อธิบายหมดเลยว่าแต่ละเมนูคืออะไร ทำจากอะไร ที่มาเป็นยังไง 

          ได้เวลาเริ่มคอร์สแล้วค่า เมนูแรกที่มาเสิร์ฟชื่อว่า Mineoka Tofu (อ่านว่า มิเนะโอกะ โทฟุ) เป็นเต้าหู้นมสดญี่ปุ่นค่ะ อร่อยมากก ให้ลืมเต้าหู้นมสดของบ้านเราไปก่อน ไม่เหมือนกันเลย Texture ของตัวนี้จะหยุ่น ๆ เด้ง ๆ คล้าย ๆ มาชเมลโล่เลยค่ะ รสชาติจะเป็นเต้าหู้ที่หวานนมสด เพราะงั้นจริง ๆ เมนูนี้สามารถเป็นได้ทั้งของคาวและของหวาน อยู่ที่ว่าเชฟจะทำแบบไหน ซึ่งร้านนี้เสิร์ฟเป็นออเดิร์ฟของคาว โดยซอสด้านล่างจะเค็มและเปรี้ยว น่าจะเป็นปอนซึค่ะ เปิดต่อมรับรสได้ดีมาก

𝟭) 𝙈𝙞𝙣𝙚𝙤𝙠𝙖 𝙏𝙤𝙛𝙪

          

𝟮) 𝙃𝙖𝙢𝙖𝙘𝙝𝙞 & 𝙈𝙖𝙜𝙪𝙧𝙤 𝙕𝙪𝙠𝙚 𝙎𝙖𝙨𝙝𝙞𝙢𝙞

            เมนูต่อไปเป็น Hamachi & Maguro Zuke Sashimi เป็นซาชิมิปลาฮามาจิ และทูน่าส่วนอากามิ (เนื้อแดง) ที่เอาไปหมักในซีอิ๊ว หลาย ๆ คนที่เป็นแฟนอาหารญี่ปุ่นจะรู้จักในชื่อ อากามิสิเกะ

          ซาชิมิฮามาจิ เนื้อปลาจะนุ่มและค่อนข้างละลาย รสชาตินัว ๆ และกลมกล่อม ส่วนอากามิสึเกะนี่เราว้าวมากเลยค่ะ รสชาติเข้มข้นมาก ๆ ตามแบบเนื้อแดง แต่ละลายในปากไปเลย ปกติทูน่าอากามินี่ถ้าไม่ทำอะไรมาเลย รสชาติก็จะปกติ ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่พอเอาไปหมักซีอิ๊วมานี่ คนละเรื่องเลยค่ะ อร่อยขึ้นมากก

𝟯) 𝙆𝙖𝙩𝙨𝙪𝙤 𝙏𝙖𝙩𝙖𝙠𝙞

          เมนูต่อไปชื่อ Katsuo Tataki เป็นปลาคัตสึโอะ หรือที่บางคนเรียกปลาโอ เอาไปปรุงรสด้วยปอนซึและต้นหอมค่ะ เมนูนี้หลาย ๆ คนจะคุ้นเคยกับร้านที่เป็น A La Carte ซึ่งคัตสึโอะนี่ต้องกินเป็น Tataki จริง ๆ นะ รสเปรี้ยวของปอนซึช่วยชูรสชาติปลาคัตสึโอะได้ดีเลย 

          แต่ของร้านนี้พิเศษมากกว่านั้นค่ะ เชฟมีการรมควันก่อนเสิร์ฟเพื่อเพิ่มความหอมด้วย รวม ๆ กันแล้วทำให้คำนี้สดชื่นมากเลยค่ะ นับจากคำแรกมาถึงคำนี้นี่ เปิดต่อมรับรสได้แบบสุดค่ะ

𝟰) 𝙊𝙩𝙤𝙧𝙤

          มาถึงซูชิคำแรกแล้วค่า คำนี้คือ Otoro หรือก็คือทูน่าส่วนที่มีไขมันมาก ที่แฟนอาหารญี่ปุ่นรู้จักกันเป็นอย่างดีค่ะ ตอนเชฟเสิร์ฟคำนี้เราตกใจเลย เพราะปกติแล้วโอมากาเสะมักจะเสิร์ฟไล่จากปลาเนื้อขาว หรือเมนูที่รสชาติอ่อน ไล่รสชาติขึ้นไปเรื่อย ๆ ละโอโทโร่มักจะอยู่กลางคอร์สเพราะว่าเข้มข้น แต่นี่มาคำแรกเลยค่ะ อร่อยมากกกก ละลายในปากอย่างที่คิดไว้เลย แล้วด้านบนเชฟมีการท็อปด้วยพริกเผาที่เชฟทำเอง จะเป็นพริกเผาที่เค็มนำหวานน้อย กินกับปลาที่หวานละลายและเปรี้ยวนิดหน่อย ทำให้คำนี้รสชาติเข้มข้นมากเลยค่ะ เปิดคำแรกก็ขนาดนี้เลยหรอคะ 55555

𝟱) 𝙆𝙖𝙜𝙤𝙨𝙝𝙞𝙢𝙖 𝙒𝙖𝙜𝙮𝙪 𝙎𝙖𝙡𝙖𝙙

          เมนูต่อไปเป็น Kagoshima Wagyu Salad เป็นเนื้อจากเมืองคาโกชิม่า ข้างล่างเป็นสลัดผักค่ะ เสิร์ฟมาในกล่องดูแกรนด์มาก เนื้อที่ใช้จะไม่ได้เป็นเนื้อที่มันแทรกเยอะ ๆ นะคะ เป็นเนื้อที่ลีน แล้วก็ปรุงมาเกือบจะเป็น Well-done ละ ตัวเนื้อไม่ได้มีรสชาติเข้มข้นอะไรมาก แต่รสชาติหลักของเมนูนี้อยู่ที่สลัดค่ะ วิธีกินคือ ต้องกินสลัดผักด้วยกันกับเนื้อ กินพร้อมกันแล้วอร่อยมากกกก เข้ากันพอดีเป๊ะ

𝟲) 𝙄𝙠𝙪𝙧𝙖

          เมนูต่อไปคือ Ikura (อิคุระ) หรือไข่ปลาแซลม่อนที่ทุกคนรู้จักค่ะ ของร้านนี้รสชาติจะไม่ได้เค็มมาก
เม็ดใหญ่ แตกในปากโป๊ะ ๆๆ เลย ซึ่งข้าวซูชิที่ทางร้านใช้จะปรุงด้วยน้ำส้มสายชูแดง ซึ่งทำให้ข้าวเป็นสีน้ำตาล รสชาติจะเข้มกว่าข้าวซูชิสีขาวตามร้าน A La Carte ทั่วไป ทำให้รสชาติของซูชิแต่ละคำเข้มข้นขึ้นค่ะ

𝟳) 𝙆𝙪𝙧𝙪𝙢𝙖 𝙀𝙗𝙞 𝙔𝙖𝙠𝙞

          เมนูนี้คือ Kuruma Ebi Yaki หรือ กุ้งลายเสือย่างค่ะ สำหรับร้านนี้เค้า present คุรุมะเอบิด้วยการทำเป็นกุ้งย่างกับซอสเดมิกลาส ให้ฟีลแบบสเต็กกุ้งย่างค่ะ จานนี้อร่อยเลย คาแรคเตอร์ของกุ้งลายเสือคือจะตัวใหญ่ และกรอบกว่ากุ้งแม่น้ำ

𝟴) 𝙈𝙖𝙙𝙖𝙞

          เมนูต่อไปเป็นเมนูที่เราชอบเป็นอันดับ 1 ของคอร์สนี้เลย คำนี้คือ Madai หรือปลามาได เป็นปลากะพงชั้นสูงของญี่ปุ่น จัดเป็นปลาเนื้อขาว ซึ่งปกติหลาย ๆ ร้านที่เสิร์ฟมาได เค้าจะเสิร์ฟเป็นคำแรก ๆ เพราะปลาเนื้อขาวรสชาติจะอ่อน แต่คำนี้คือไม่ใช่เลยค่ะ เพราะเชฟมีการปรุงรสด้วยทรัฟเฟิลออยล์ เกลือหิมาลัย และผงดอกซากุระ คำนี้เข้าปากปุปนี่ รสชาติระเบิดในปากเลยค่ะ เข้มข้นมากกกกก เนื้อปลาแทบจะละลายเลย รสเค็มของเกลือ ผงซากุระ และรสเข้มข้นของทรัฟเฟิลออยล์ ตายยยย คนที่ชอบกินซูชิรสเข้มข้น อันนี้รับรองว่าต้องชอบแน่นอนค่ะ

เชฟมีการโชว์วิธีการปรุงรสแต่ละขั้นตอนด้วยนะคะ ตื่นเต้นมากตอนทำคำนี้ว่า ต้องอร่อยแล้วววว

𝟵) 𝙈𝙖𝙙𝙖𝙞 𝙀𝙜𝙜 𝙂𝙧𝙖𝙩𝙞𝙣

          จากนั้นเชฟจะตัดรสด้วยการเปลี่ยนฟีลของเมนูเลยค่ะ เมนูนี้คือ กราแตงไข่ปลามาได ให้เรียกง่าย ๆ คือ ไข่ปลามาไดอบชีสค่ะ คำนี้เหมือนกินมันบดอบชีสที่อร่อยมาก แล้วได้รสเค็มของไข่ปลาค่ะ ครั้งแรกที่ได้กินไข่ปลามาไดเหมือนกัน


𝟭𝟬) 𝙎𝙝𝙖𝙠𝙤

          เมนูต่อไปคือ "Shako" หรือก็คือ กั้งแก้ว อันนี้เป็นกั้งแก้วจากภาคใต้บ้านเรานี่เอง ซึ่งกั้งแก้วเนี่ยเป็นวัตถุดิบไทยไม่กี่อย่างที่เรารู้สึกว่า มันสู้วัตถุดิบนานาชาติได้ค่ะ แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้กินกั้งเกรดที่กินดิบได้ อร่อยมากกกก ปกติเรากินกั้งทอดหรือย่างมันจะแน่น ๆ อันนี้หวานเจี๊ยบและละลายหายไปเลย ขึ้นแท่นไปคู่กับมาไดเลยค่ะ

𝟭𝟭) 𝙒𝙖𝙠𝙖𝙨𝙖𝙜𝙞 𝙏𝙚𝙢𝙥𝙪𝙧𝙖

          เมนูต่อไปเป็น เทมปุระปลาวาคาซากิ วิธีกินให้บีบมะนาวใส่ก่อน รสชาติจะเป็นฟีลเทมปุระปลาไข่ค่ะ อันนี้รสชาตินวล ๆ ไม่ได้จัดอะไร น่าจะเป็นเมนูเอาไว้เบรครสชาตินะคะ กินเข้มข้นมาเยอะละเนาะ 555

𝟭𝟮) 𝙃𝙤𝙩𝙖𝙩𝙚 𝙔𝙖𝙠𝙞

          เมนูนี้เป็น Hotate Yaki หรือหอยเชลล์ย่าง อันนี้เห็นบ่อยตามร้านอาหารญี่ปุ่น โอมากาเสะหลายร้านก็เสิร์ฟเมนูนี้นะ ส่วนร้านนี้มีความแตกต่างคือ จะมีข้าวพองกรอบไว้กินกับหอยเชลล์ด้วยค่ะ คำนี้จะได้ Texture ตอนเคี้ยวมาก ๆ หอยเชลล์หนึบนุ่มและหวาน ข้าวพองกับสาหร่ายก็กรอบ อร่อยเลยค่ะ

𝟭𝟯) 𝙐𝙣𝙞

          มาถึงคำนี้ที่เรารอคอย นี่คือ Uni หรือไข่หอยเม่นค่าาา อร่อยมากกกก หวานมาก มีความเค็มตัดนิดหน่อย และมีกลิ่นทะเล อูนิร้านนี้อร่อยสุดเท่าที่เคยกินมาเลยค่ะ          

𝟭𝟰) 𝙉𝙚𝙜𝙞 𝙏𝙤𝙧𝙤

          เมนูต่อไปคือ Negi Toro เป็นทูน่าสับ น่าจะมีทั้งเนื้อแดงและเนื้อติดมันนะคะ ผสมกับต้นหอม และ
ไชเท้าดองที่เค้าเรียกว่า ทา-กวง ละก็ท็อปด้วยไข่ปลาแซลม่อน คำนี้อร่อยและเข้มข้นมาก ๆๆ เลยค่ะ มี Texture หลากหลายมาก ทั้งความนุ่มของทูน่าสับ กลิ่นหอมของต้นหอม ความกรอบของไชเท้าดอง และไข่แซลม่อน 

𝟭𝟱) 𝙆𝙞𝙣𝙢𝙚𝙙𝙖𝙞

        คำนี้คือ ปลาคินเมได เป็นปลาเนื้อขาวที่มีจุดเด่นเรื่องความมัน เชฟมีการเบิร์นหนังมานิดหน่อย ด้านบนจะท็อปด้วยไข่ปลาคาราสึมิขูด เชฟเล่าให้ฟังว่า ไข่ปลานี้ต้องหมักเกลือ และตากแห้งนานถึง 2 เดือนเลย เพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้นค่ะ คำนี้ดีมาก รสชาติจะไม่แรงมาก นวล ๆ ละลาย กลมกล่อมค่ะ


𝟭𝟲) 𝙃𝙤𝙩𝙖𝙧𝙪 𝙄𝙠𝙖

        คำต่อไปคือ Hotaru Ika หรือปลาหมึกหิ่งห้อย เมนูนี้เราเห็นใน Youtube บ่อยมากแต่ไม่เคยได้กิน เท่าที่รู้มานี่แพงเอาเรื่องเลยนะ 55555 ซอสที่ใช้ท็อปด้านบนเป็นซอสมิโสะ แล้วก็รอบข้าวซูชิจะพันด้วยสาหร่ายคอมบุดอง ทำเป็นกุนกันมากิค่ะคำนี้เหมือนไม่ใช่ปลาหมึกเลยค่ะ เป็นปลาหมึกที่แทบจะละลายเลยตอนเคี้ยว แล้วก็หวานมาก ๆ ความคาวของปลาหมึกที่เราคุ้นเคยกันนี่ไม่มีเลยซักนิด

𝟭𝟳) 𝘼𝙣𝙠𝙞𝙢𝙤

          เมนูที่เป็นซูชิคำสุดท้ายคือ  Ankimo หรือ ตับปลาอังโกะ ตอนเชฟบอกว่าต่อไปจะเสิร์ฟอังคิโมะนี่ เราว้าวมาก เพราะเท่าที่ดูใน Youtube มา คอร์ส 4-5 พันยังไม่มีเมนูนี้เลยค่ะ เจอแต่ในคอร์สแพงมากทั้งนั้น เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวซูชิ แล้วก็ที่เห็นเป็นกลม ๆ นี่ เชฟบอกว่าเป็น มาการองญี่ปุ่นค่ะ รสชาติจะคล้าย ๆ กับข้าวโป่งนิดหน่อย 55555

          อร่อยมากกกก ที่เค้าเรียกว่าเป็นฟัวกราส์แห่งทะเล คือใช่เลย ความมันและเข้มข้นแบบฟัวกรา แต่ไม่มีกลิ่นคาวแบบฟัวกราส์ เป็นรสที่สะอาดมาก แล้วก็หอมความเป็นทะเล ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้กินอังคิโมะราคานี้ เปิดประสบการณ์มากเลยค่ะ

𝟭𝟴) 𝙕𝙪𝙬𝙖𝙞 𝙆𝙖𝙣𝙞 𝙎𝙝𝙖𝙗𝙪

          จานหลักจานสุดท้ายจะเป็น ชาบูปูหิมะ เชฟจะเอาขาปูไปลวกในซุปชาบูที่ base เป็นพริก แล้วก็จะใส่ไข่ออนเซ็นมาให้กินคู่กันค่ะ อันนี้รสชาติจะเป็นแบบซอสพริกญี่ปุ่นนะคะ ขาปูหวานแล้วก็นิ่มมาก อันนี้ก็อร่อยค่ะ

𝟭𝟵) 𝘼𝙨𝙖𝙧𝙞 𝙈𝙞𝙨𝙤 𝙎𝙤𝙪𝙥

          จบจากจานหลัก ต่อไปเป็นซุปค่ะ ซุปที่เสิร์ฟในคอร์สเป็น Asari Miso Soup หรือซุปมิโสะใส่หอยตลับญี่ปุ่นค่ะ พ้อยท์ของเมนูนี้ไม่ได้อยู่ที่หอย แต่เป็นซุปค่ะ ไม่ใช่แค่กลมกล่อม แต่เข้มข้นมาก ๆ หลาย ๆ ร้านเสิร์ฟซุปมิโสะนี่รสชาติทั่วไปนะ อันนี้คืออร่อยมากกก ซดได้หมดเลยค่ะ

𝟮𝟬) 𝙏𝙖𝙢𝙖𝙠𝙤 𝙔𝙖𝙠𝙞

          คอร์สโอมากาเสะจะไม่มี Tamako Yaki หรือ ไข่หวานย่าง ได้ยังไงกันคะ 55555 ไข่หวานนี่เป็นเมนูที่เวลาไปกินโอมากาเสะ จะต้องลุ้นทุกครั้งค่ะ ต่อให้กินโอมากาเสะมาบ่อยแค่ไหนก็ต้องลุ้นอยู่ดี เพราะเป็นเมนูที่แต่ละร้านทำรสชาติได้ต่างกันที่สุดละ ซึ่งของร้านนี้กินแล้วเหมือนเป็นของคาวมากกว่านะคะ มีรสหวานแต่ไม่เยอะ ได้ความเค็มของส่วนผสมที่ใส่ลงไป ซึ่งน่าจะเป็นกุ้งนะคะ อร่อยมากเลยเหมือนกัน เราคนไทยที่เคยชินกับไข่หวานที่หวานเจี๊ยบบ คำนี้ถือว่าแปลกเลย

ดูเผิน ๆ นึกว่าหมูกรอบ 55555555

ประทับตราซะหน่อย


𝟮𝟭) 𝙈𝙖𝙩𝙘𝙝𝙖 𝙋𝙪𝙙𝙙𝙞𝙣𝙜 & 𝘿𝙖𝙞𝙛𝙪𝙠𝙪

          และเมนูสุดท้ายเป็นของหวานจริง ๆ ละค่ะ อันนี้คือ พุดดิ้งชาเขียว และไดฟุกุองุ่น ไดฟุกุนิ่มและหวาน ตัดกับรสเปรี้ยวขององุ่นได้พอดีเป๊ะ ส่วนพุดดิ้งชาเขียวเป็นพุดดิ้งที่เข้มข้นมากก

          ครบถ้วนทุกคอร์สของ Omakase Premium Course ของร้าน Sushi Juban สาขาพญาไทแล้วค่า สำหรับร้านนี้เราสรุปได้เลยว่า เทียบกับวัตถุดิบที่ได้กิน ถือว่าเป็นคอร์สที่คุ้มราคาแทบจะที่สุดที่เราเคยเจอเลยค่ะ ในราคาสุทธิที่ 3,000 บาทนิด ๆ มีเมนูถึง 21 เมนูในครั้งนี้ที่เรามากิน แล้วยังมีวัตถุดิบที่ปกติจะมีแค่ในคอร์สที่ราคาหลายพัน ไม่ว่าจะเป็นโอโทโร่ กั้งแก้ว โฮตารุอิกะ และสำคัญสุด อังคิโมะหรือตับปลาอังโกะ เปิดประสบการณ์เรามาก ๆ กลายเป็นว่ามีเมนูโปรดเพิ่มเข้ามาในชีวิตอีก ละเป็นของหากินยากด้วย ยุ่งดิงี้ 5555555 

          นอกจากนี้เท่าที่เราสังเกตเห็น เชฟจะนำเสนอหลาย ๆ เมนูเป็นแบบเมนูฟิวชั่นสมัยใหม่ และรสชาติอร่อยมาก และยังคงความดั้งเดิมของรสชาติต้นตำรับไว้ค่ะ แล้วก็ลำดับการเสิร์ฟแต่ละเมนูของเชฟนี่ ฉีกจากกฎเดิม ๆ ที่ต้องเสิร์ฟไล่รสชาติมาก ๆ นี่เชฟไม่สนเลยค่ะ เสิร์ฟตามใจตัวเองมาก แต่รสชาติแต่ละคำไม่มีอันไหนเหมือนกันเลย อีกทั้งระหว่างคอร์สจะมีเมนูที่เชฟจงใจทำมาเพื่อตัดรสด้วย เพื่อให้สามารถอร่อยได้กับทุกคำในคอร์สเลยค่ะ 

          เป็นร้านที่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ชอบกินโอมากาเสะ แล้วอยากลองวัตถุดิบระดับพรีเมียมในราคาที่ไม่ได้แพงจนเกินไป แล้วถ้าใครงบน้อย ทางร้านก็มีคอร์สเริ่มต้นที่ไม่แพงเลยด้วยนะ จำนวนเมนูน้อยกว่า แต่คุณภาพระดับเดียวกันเลยค่ะ ทิ้งท้ายไปด้วยเมนู A La Carte และช่องทางการติดต่อของทางร้าน Sushi Juban นะคะ มี 3 สาขา ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นเลย คุณภาพระดับเดียวกันค่ะ สำหรับคอร์สโอมากาเสะแนะนำให้จองล่วงหน้าน้า เผื่อร้านที่นั่งเต็ม แล้วเจอกันใหม่กับรีวิวต่อไปของ "กิน จน จน" นะคะ บ๊ายบายยย

📌📌สำหรับการจองโต๊ะหรือสอบถามเพิ่มเติม

Sushi Juban Phayathai
📞 Tel : 092-271-1618
🆔 LINE Official : Jubany
website : https://www.sushijuban-phayath...

🕦 Open time
Lunch 11:30 - 15:00 (Last order 14:30)
Dinner 17:00 - 22:00(Last order 21:30)
(Delivery 11:30 - 21:30)

📌 ที่อยู่, address
@ อินทามระ ซอย3
@ Sutthisan Phayathai , Intamara soi 3, Bangkok

Sushi Juban Takumi Thong Lor
02-392-0489 , 06-3189-2440
https://g.page/sushijubantakum...

Sushi Juban Asok
02-258-2813 , 063-225-4115
https://goo.gl/maps/PFKTefbsVK...

Juban Omakase
092-872-4679

Soba Juban with Rokkaku
02-262-0584 , 092-283-1072


#ซูชิ #ซูชิพรีเมี่ยม #foodlover #juban #phayathai #sushi #omakase #sushiaddict #japaneserestaurant #bangkokfoodies #รีวิวโอมากาเสะ #กินจนจน #โอมากาเสะ #sushi

กินจนจน : Poor Eater

 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 20.59 น.

ความคิดเห็น