แม้ว่าการไปเที่ยวทริป “ปาย...มาแว้ว” จะผ่านล่วงเลยมาเกือบ 5 ปีแล้ว แต่ความทรงจำในทริปนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของเราเสมอ เราเลยจะมารีวิวทริปนี้แทนความคิดถึงค่ะ สำหรับใครที่วางแผนว่าจะไปเที่ยวที่นี่หลังโควิดหมดหรือระบาดก็เที่ยวทิพย์จากการอ่านรีวิวนี้ไปก่อน แล้วพอสถานการณ์ดีขึ้นเมื่อไหร่ค่อยไปเที่ยวจริงกันนะคะ จะได้เที่ยวสนุกและสบายใจแบบไม่ต้องติดเชื้อค่ะ แหม่...เกริ่นซะนาน เพื่อน ๆ คงเบื่อแย่ งั้นมาเที่ยวพร้อม ๆ กันเลยค่ะ! ^^

จำได้ว่าทริปนี้เดินทางไกลซะหน่อย เพราะต้องขึ้นเครื่องบินไปลงสนามบินเชียงใหม่และนั่งรถต่อไปยังสถานีขนส่งเชียงใหม่ เพื่อนั่งรถตู้เปรมประชาต่อไปยังเมืองปายอีก 3 ชั่วโมงด้วยเส้นทาง 752 โค้ง (ใครที่ชอบเมารถให้เตรียมถุงเปล่าและยาดมด้วยนะคะ หรือถ้าใครต้องการไปถึงที่นั่นเร็วก็สามารถนั่งเครื่องต่อไปยังสนามบินปายได้ แต่หากนั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ ไปปายจะสะดวกสุดค่ะ)

พอมาถึงสนามบินดอนเมืองปุ๊บ เราก็เข้าแถวเช็กอินและตรวจกระเป๋า เมื่อเช็กอินและตรวจกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ไปกินอาหารเช้าก่อนขึ้นเครื่องค่ะ ระหว่างเดินเข้าไปข้างในก็ถ่ายรูปแสงอาทิตย์ยามเช้าตรงที่จอดสนามบินซะหน่อย ^^

โชคดีที่เราจองที่นั่งแบบริมหน้าต่าง ระหว่างนั่งเครื่องบิน เลยได้ถ่ายรูปวิวด้านล่างหลายรูปค่ะ

ถึงเชียงใหม่แล้วค่า ตื่นเต้นสุด ๆ ที่ได้ไปเที่ยว แค่มาถึงครึ่งทางยังตื่นเต้นขนาดนี้ ถ้ามาถึงปลายทางแล้วจะตื่นเต้นขนาดไหนกันนะ 5555 ออกจากสนามบินแล้วก็รอรถตู้จะไปสถานีขนส่งผู้โดยสารอาเขต เพื่อนั่งรถตู้เปรมประชาต่อไปยังเมืองปาย (แนะนำว่าให้จองที่นั่งจะดีที่สุดค่ะ)

พอเดินทางมาถึงเมืองปายแล้วก็เช็กอินเข้าที่พัก “อ๋อ...อยู่ปาย” พร้อมกับจ่ายค่า One Day Trip ที่ทางที่พักหาให้ (หากใครขี้เกียจเดินไปถนนคนเดินเพื่อหาซื้อ One Day Trip ล่ะก็แนะนำว่าให้ทางที่พักหาให้จะสะดวกสุดค่ะ เพราะทางที่พักมีเจ้าประจำอยู่แล้ว รับรองว่าไว้ใจได้แน่นอนค่ะ หรือถ้าอยากเลือกซื้อทริปเที่ยวที่ถนนคนเดินก็ไม่ว่ากัน) จากนั้นก็ไปกินข้าวและซื้อของใช้นิดหน่อย จึงกลับมาถึงที่พัก เพื่อพักผ่อนก่อนจะออกไปกินอาหารเย็นและเดินเล่นที่ถนนคนเดินปาย แล้วก็กลับมาอาบน้ำนอน เพื่อเก็บแรงเที่ยวในวันต่อไปค่ะ พอมานึก ๆ แล้วก็แอบเสียดายที่ไม่ได้เที่ยว “ถ้ำลอด” หรือ “ถ้ำน้ำลอด” เพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลาขึ้นรถไปเที่ยวค่ะ ^^”

วันที่สองต้องบอกก่อนเลยว่าตื่นเช้ามาก ๆ ประมาณตี 3 - 4 เพื่อให้ทันขึ้นรถตู้ไปเที่ยวนั่นเองค่ะ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันดับแรกที่เราจะต้องไปก็คือ “ปางอุ๋ง” หรือ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2” ค่ะ

“ปางอุ๋ง” หรือ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2” เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ของปวงชนชาวไทยที่ทรงต้องการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ทางธรรมชาติให้มีความสมบูรณ์ยั่งยืน รวมไปถึงส่งเสริมอาชีพและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในบริเวณนี้ให้ดีขึ้น เนื่องจากว่าในอดีตที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ติดชายแดนไทย-พม่าที่มีการปลูกฝิ่น ค้ายาเสพติด และตัดไม้ทำลายป่านั่นเองค่ะ

หากใครไม่ได้ถ่ายรูปมุมนี้ บอกเลยว่ามาไม่ถึงปางอุ๋งค่ะ ^^

ไอหมอกบาง ๆ ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ สวยงามสมกับเป็น “สวิตเซอร์แลนด์ไทยแลนด์” จริง ๆ ค่ะ ^^

หงส์ดำลอยอยู่เหนือผืนน้ำ จริง ๆ มีหงส์ขาวด้วย แต่ลอยอยู่ที่ไหนไม่รู้ ^^”

ภูเขาที่ปกคลุมด้วยป่าสนสะท้อนผืนน้ำ

พระอาทิตย์ยามเช้าสะท้อนแสงที่ปางอุ๋งค่ะ ^^

ปางอุ๋งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดไฮไลท์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื่องจากในยามเช้า เราจะเห็นไอหมอกที่ลอยอยู่เหนือผืนน้ำในอ่างเก็บน้ำหรือทะเลสาบท่ามกลางภูเขาสูงสลับซับซ้อนที่เต็มไปด้วยป่าสนสองใบ สามใบ และดอกไม้เมืองหนาว และยิ่งยามพระอาทิตย์ขึ้น แสงแดดก็จะสะท้อนผืนน้ำผ่านทิวต้นสนและไอหมอกบาง ๆ จนเป็นภาพที่สร้างความประทับใจจนต้องแชะภาพเก็บไว้หลาย ๆ รูปเลยล่ะค่ะ นอกจากนั้นเรายังเห็นหงส์ขาวกับหงส์ดำลอยเป็นฉากหลังอีกด้วยนะคะ โรแมนติกสุด ๆ ด้วยบรรยากาศและธรรมชาติอันสวยงามคล้ายกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์นี้เองทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์ไทยแลนด์” หรือ “สวิตเซอร์แลนด์แดนสามหมอก” นั่นเองค่ะ

ล่องแพไม้ไผ่ชมวิวทิวทัศน์และบรรยากาศโดยรอบของปางอุ๋งกันค่ะ เสียดายที่ล่องไปแค่แปปเดียว แอบกลัวตกรถตู้ค่ะ 5555

วิวทิวทัศน์สองข้างทางของปางอุ๋งค่ะ ^^

หากใครที่มาเที่ยวชมปางอุ๋งแห่งนี้ห้ามพลาดกิจกรรมยอดฮิตเด็ดขาดเลยนะคะ ซึ่งกิจกรรมที่ว่านั้นก็คือ “การล่องแพไม้ไผ่” เพื่อเที่ยวชมวิวทิวทัศน์และบรรยากาศโดยรอบของปางอุ๋ง โดยคิดค่าบริการลำละ 150 บาท นั่งได้ 2 คน รวมกับคนพายเป็น 3 คน ใช้ระยะเวลาในการล่องแพประมาณ 30 นาที ระหว่างที่ล่องแพไม้ไผ่ แนะนำว่าให้ใส่เสื้อชูชีพตลอดเวลาด้วยนะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ

หลังจากล่องแพไม้ไผ่ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางของปางอุ๋งแล้วก็แวะถ่ายรูปป่าสนกันค่ะ ^^

พอถ่ายภาพเสร็จแล้วก็ขึ้นรถไปเที่ยว “บ้านรักไทย” ต่อค่ะ ^^

“บ้านรักไทย” แต่เดิมนั้นชื่อ “บ้านแม่ออ” ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ซึ่งบ้านรักไทยนี้เป็นชุมชนที่ชาวจีนยูนนานอาศัยอยู่ร่วมกับพี่น้องชาวไทใหญ่และชาวไทยภูเขาเผ่าอื่น ๆ โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อยู่ใจกลางหมู่บ้านที่รายล้อมไปด้วยบ้านเรือนและร้านค้าต่าง ๆ อย่างเช่น ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และที่พัก เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว ทำให้บรรยากาศโดยรวมคล้ายกับหมู่บ้านเล็ก ๆ ในประเทศจีนนั่นเองค่ะ

หากมาเที่ยวชมบ้านรักไทย ห้ามพลาดกิจกรรมเหล่านี้เด็ดขาดเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวชมหมู่บ้าน, การชิมอาหารจีนยูนนาน โดยเฉพาะหมูอบและขาหมูหมั่นโถว, การชิมชา ทั้งชาอู่หลงและชาเขียว หรือหากใครมีเวลาว่าง ๆ ก็สามารถล่องเรือในอ่างเก็บน้ำหรือขี่ม้าเลาะชายแดนค่ะ

น้ำในอ่างเก็บน้ำใสมาก ใสขนาดที่ว่าภูเขา ต้นไม้ และบ้านเรือนต่าง ๆ สะท้อนกับผิวน้ำด้านล่างเลยทีเดียวค่ะ ^^

หลังจากเที่ยวชม พร้อมทั้งกินอาหารเช้า, ซื้อชา, ถ่ายรูปกันที่ “บ้านรักไทย” กันแล้ว (เสียดายที่ถ่ายรูปที่นี่นิดเดียวเอง เพราะจะต้องกินอาหารเช้าและซื้อชา เลยถ่ายรูปในหลากหลายมุมได้ไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ แฮะ ๆ ^^”) ก็เดินทางต่อไปยัง “น้ำตกผาเสื่อ” ค่ะ

“น้ำตกผาเสื่อ” ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำตกขนาดกลางที่มีต้นกำเนิดมาจากแม่น้ำแม่สะงาบนเทือกเขาในพรมแดนพม่า และมีน้ำไหลให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมตลอดทั้งปี โดยจุดเด่นของน้ำตกแห่งนี้ก็คือในช่วงฤดูฝนจะมีสายน้ำตกแผ่ซ่านเป็นม่านน้ำขนาดใหญ่กว้างประมาณ 15 เมตร คล้ายกับเสื่อผืนยักษ์ที่แผ่คลุมหน้าผาหิน จนกลายเป็นชื่อน้ำตกนั่นเองค่ะ

มาในช่วงฤดูหนาว น้ำก็จะไหลน้อยหน่อย จนดูไม่อลังการเหมือนชื่อน้ำตก ^^”

ส่วนในฤดูหนาวปริมาณน้ำตกจะลดลง ทำให้เห็นโขดหินเป็นหย่อม ๆ ดูสวยงามจนเป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยวค่ะ สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะกับการมาเที่ยวชมน้ำตกผาเสื่อคือ เดือนกรกฎาคม - กันยายน แต่ด้วยความที่บริเวณรอบ ๆ น้ำตกเป็นป่าเบญจพรรณที่ร่มรื่นประกอบกับกระแสน้ำค่อนข้างแรง จึงไม่เหมาะในการลงเล่นน้ำค่ะ

น้ำตกที่รายล้อมด้วยป่าเบญจพรรณอันร่มรื่น ช่างเป็นธรรมชาติที่งดงามจริง ๆ ค่ะ

พอชม “น้ำตกผาเสื่อ” กันแล้วก็เดินทางต่อไปยัง “ภูโคลนคันทรีคลับ” เพื่อแช่เท้าน้ำแร่ร้อน, พอกหน้าหรือตัวด้วยโคลน หรือนวดแผนโบราณกันค่ะ

“ภูโคลนคันทรีคลับ” ถือเป็นแหล่งโคลนคุณภาพดีที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก ซึ่งเกิดจากโคลนเดือดบริสุทธิ์ที่แทรกออกมาจากรอยเลื่อนใต้พิภพ อุณหภูมิประมาณ 60 - 140 องศาเซลเซียส โดยตะกอนโคลนสีดำสนิทจะผุดขึ้นมาพร้อมกับน้ำแร่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม, โบรไมด์, คลอไรด์, โปรแตสเซียม, แมกนีเซียม และโซเดียม ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อผิวหนังและระบบไหลเวียนโลหิต อีกทั้งยังสามารถดูดซับสารพิษตกค้างและชะล้างความมันหรือสิ่งสกปรกที่อุดตันตามผิวหนัง อันเป็นต้นเหตุของสิวเสี้ยนและริ้วรอยหมองคล้ำได้ด้วยค่ะ

ส่วนเราแช่เท้าน้ำแร่ร้อนดีกว่าค่ะ กลัวว่าถ้าจะพอกหน้าหรือพอกตัวด้วยโคลน หรือนวดแผนโบราณก็เกรงว่าจะไม่ทันเวลาค่ะ ^^” แต่ก่อนจะแช่น้ำร้อนก็ถ่ายรูปบ่อน้ำแร่ร้อนกันก่อนค่ะ 5555

พอจุ่มเท้าแช่ลงไปบ่อแร่น้ำร้อนแล้วรู้สึกสบายเท้ามาก ๆ ซึ่งประโยชน์ของการแช่เท้าน้ำแร่ร้อนก็คือ ช่วยให้เท้ามีระบบการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น แถมยังช่วยอาการปวดเมื่อยเท้าและเมารถอีกด้วยค่ะ

หลังจากแช่เท้าน้ำแร่ร้อนแล้วก็เดินทางต่อไปยัง “สะพานซูตองเป้” กันต่อค่ะ

“สะพานซูตองเป้” เป็นสะพานแห่งศรัทธาที่สร้างขึ้นจากการร่วมแรงร่วมใจของพระภิกษุสามเณร, ชาวบ้านกุงไม้สัก และคณะศรัทธาต่าง ๆ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรบิณฑบาตได้สะดวกมากขึ้นในฤดูฝนและชาวบ้านในบริเวณนั้นใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาทั้งสองฝั่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นสะพานไม้ไผ่กว้าง 2 เมตร และยาวประมาณ 500 เมตร โดยทอดยาวผ่านผืนนาระหว่าง “หมู่บ้านกุงไม้สัก” กับสถานปฏิบัติธรรม “สวนธรรมภูสมะ” ด้วยความที่คำว่า “ซูตองเป้” นั้นเป็นภาษาไทยใหญ่ หมายถึง “การอธิษฐานที่สำเร็จสัมฤทธิผล” สะพานแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนกับคำอธิษฐานที่สำเร็จของทุกคนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันสร้างขึ้นมานั่นเองค่ะ (แอบกระซิบนิดหนึ่งค่ะว่า... หากเดินมาถึงจุดกึ่งกลางระหว่างสะพานให้ตั้งจิตอธิษฐานขอพรแล้วเดินข้ามสะพาน คำอธิษฐานขอพรก็จะเป็นจริงหรือสมหวังนั่นเองค่ะ)

เดินบนสะพานซูตองเป้ผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน แต่เสียดายที่มาในช่วงหน้าหนาวหลังฤดูเก็บเกี่ยว เลยอดดูทุ่งนาสีเขียวเลย ^^” หากใครต้องการมาในช่วงที่ทุ่งนาเป็นสีเขียวล่ะก็... แนะนำว่าให้มาในช่วงฤดูฝน หรือก่อนช่วงฤดูเก็บเกี่ยว คือช่วงปลายฝนต้นหนาวก็จะเห็นทุ่งนาเป็นสีเหลืองทองค่ะ

พอเดินผ่านทุ่งนาของชาวบ้านแล้วขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแม่สะงาค่ะ ^^

ข้ามแม่น้ำแม่สะงาแล้วหันกลับมาถ่ายรูปป้ายซะหน่อย เขียนเป็นภาษาพม่า อ่านไม่ออก 5555

เดินไปเรื่อย ๆ ก็เมื่อยขา เอ้ย!!! ถึงปลายทาง ไม่ไกลหรอก (ปลอบใจตัวเอง) 5555

พักขาแป๊บ แวะดูครอบครัวช้างสักหน่อยนะ >//<

ขึ้นบันไดอีกนิดหน่อยก็ใกล้ถึงสวนธรรมภูสนะแล้ว

เดินสะพานซูตองเป้จากฝั่งหมู่บ้านกุงไม้สักมาตั้งไกล ในที่สุดก็มาถึงสวนธรรมภูสนะซะที เย้! ^^

วิหารโถง ไม่มีผนัง ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อซูตองเป้อยู่ตรงกลางค่ะ

ก่อนอื่นต้องเข้ามากราบไหว้ “หลวงพ่อซูตองเป้” ในวิหารกันก่อน ซึ่ง“หลวงพ่อซูตองเป้” นี้เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่าที่มีสีทองงามอร่าม สวยงามมากจริง ๆ ค่ะ

ถัดจากวิหารก็เป็นศาลาหลังเล็กทั้งสามศาลา ซึ่งภายในศาลาแต่ละหลังนี้จะเป็นที่ประดิษฐาน “พระสีวลีเถระ”, “พระผ่องต่ออู” และ “หมอชีวกโกมาภัจจ์” ค่ะ

“พระสีวลีเถระ” เป็นพระเถระที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็นเอกทัคคะ ผู้เลิศในทาง “ผู้มีลาภมาก”

“พระผ่องต่ออู” หรือ “พระบัวเข็ม” เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ชาวอินคาและชาวไทใหญ่เคารพนับถือหรือศรัทธา เชื่อกันว่าสามารถปกป้องอันตรายต่าง ๆ ได้ค่ะ

“หมอชีวกโกมารภัจจ์” เป็นผู้ที่บำเพ็ญแต่คุณงามความดี ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้โดยไม่เลือกฐานะ ทำให้ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็นเอกทัคคะในด้าน “การเป็นที่รักของปวงชน” นอกจากนั้นในวงการแพทย์แผนโบราณยังยกย่องท่านว่าเป็น “บรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณ” นั่นเองค่ะ

เขยิบมาอีกหน่อยเป็นศาลาหลังที่อยู่ด้านหลังสุด พอเข้าไปในศาลาแล้วให้สวดอธิษฐานขอพรด้วยการตั้งนะโม 3 จบ แล้วขออธิษฐานทีละข้อเท่านั้นค่ะ ^^

เมื่อมองจากสวนธรรมภูสนะลงมาก็จะเห็นสะพานซูตองเป้ทอดยาวมาแต่ไกล ช่างเป็นบรรยากาศที่สวยงามจริง ๆ ค่ะ

จากนั้นก็แวะกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารข้างทาง เพื่อเติมพลังยามบ่าย แล้วก็แวะไปชมวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ “หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวห้วยเสือเฒ่า” กันต่อค่ะ

“หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวห้วยเสือเฒ่า” เป็นหมู่บ้านที่กลุ่มชาวปาดองหรือกะเหรี่ยงคอยาวอาศัยอยู่ในกลุ่มชนของตนเอง ถือว่าเป็นกลุ่มชนหนึ่งที่รักสงบ ซึ่งลักษณะของหมู่บ้านเป็นถนนสายสั้น ๆ ที่ขนาบด้วยบ้านยกพื้น หลังคามุงใบตองตึง ประมาณ 20 หลัง ส่วนหน้าบ้านดัดแปลงเป็นเพิงจำหน่ายสินค้าแฮนด์เมดในราคาไม่แพง ไม่ว่าจะเป็นผ้าพันคอทอมือ, ผ้าถุงพม่า, ผ้าทอ, เครื่องแต่งกายประจำเผ่า, กระเป๋าหรือย่ามใบน้อย, เครื่องประดับ, ของที่ระลึกต่าง ๆ นั่นเองค่ะ

บรรยากาศภายในหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวห้วยเสือเฒ่า สองข้างทางจะเป็นหน้าบ้านที่ดัดแปลงเป็นร้านขายสินค้าแฮนด์เมดประเภทต่าง ๆ ค่ะ แถมราคาก็เบาสบายกระเป๋าอีกด้วยค่ะ ^^

แม่ค้าชาวกะเหรี่ยงของที่นี่ใจดีมากค่ะ เป็นกันเองสุด ๆ

ห่วงทองเหลืองที่เพื่อนเห็นในรูปนี้ เด็กผู้หญิงจะเริ่มใส่ตั้งแต่อายุประมาณ 5 - 9 ปี โดยใส่เพิ่มปีละ 1 ห่วงจนกว่าจะมีน้ำหนักรวม 6 กิโลกรัม ซึ่งห่วงทองเหลืองจะไปกดบริเวณกระดูกไหปลาร้าและซี่โครงให้ต่ำลงจนดูเหมือนคอยาวมากนั่นเองค่ะ

ในชีวิตประจำวันของชาวปาดองนั้น ผู้ชายจะไปรับจ้างและหาของป่า ส่วนผู้หญิงจะทอผ้าและจำหน่ายของที่ระลึกตามเพิงต่าง ๆ หน้าบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผ้าทอมือ, กำไลทองเหลือง, ห่วงคอตีด้วยมือ, ย่าม ราคาก็ไม่แพงเลย

สาวชาวปาดองคนสวยถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว โดยเราเป็นตากล้องถ่ายรูปให้ ซึ่งพี่คู่สามี-ภรรยานี้เป็นเพื่อนร่วมทริปเดียวกับเราเอง น่ารักมาก ๆ เป็นกันเองสุด ๆ เสียดายที่ไม่ได้ติดต่อกันอีก (ข้อดีของการเที่ยวคนเดียวก็คือได้รู้จักเพื่อนร่วมทางคนใหม่ ๆ นี่แหละค่ะ ^^)

ถ้าจำไม่ผิด เราซื้อของจากร้านนี้เป็นร้านสุดท้าย พอซื้อเสร็จก็เห็นรูปพระบรมฉายาลักษณ์พ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ตั้งอยู่ เรารู้สึกประทับใจที่พวกเขารักและเทิดทูนพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย เลยขออนุญาตแม่ค้าถ่ายรูปเก็บไว้ค่ะ ซึ่งเท่าที่สังเกตดูตามร้านค้าต่าง ๆ บ้านทุกหลังจะมีรูปพ่อหลวงแขวนหรือประดับไว้ค่ะ

หลังจากเที่ยวชมวิถีชุมชนของชาวปาดองหรือกะเหรี่ยงคอยาวกันไปแล้วก็เดินทางไปกราบไหว้พระธาตุเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตที่ “วัดพระธาตุดอยกองมู” กันต่อค่ะ

“วัดพระธาตุดอยกองมู” นั้นนอกจากเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ที่โดดเด่นเหนือดอยกองมูแล้วยังเป็นวัดแห่งแรกที่สร้างขึ้นในจังหวัดแม่ฮ่องสอนอีกด้วยค่ะ ซึ่งเดิมทีวัดแห่งนี้ชื่อว่า “วัดปลายดอย” แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตามนามพระธาตุเป็น “วัดพระธาตุดอยกองมู” นั่นเองค่ะ เรียกได้ว่าเป็นวัดที่สำคัญมากอีกวัดหนึ่งของจังหวัดนี้กันเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าหากใครมาเที่ยวที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้วไม่ได้แวะมาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงค่ะ

ภายในวัดประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญที่สำคัญด้วยกัน 2 องค์ คือ พระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ กับพระธาตุเจดีย์องค์เล็ก ซึ่งพระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่สร้างขึ้นโดย “จองต่องสู่” คหบดีชาวไทยใหญ่กับ “นางเหล็ก” ผู้เป็นภรรยา เมื่อปี พ.ศ. 2403 ภายในเป็นที่บรรจุพระธาตุของพระมหาโมคคัลลานะเถระที่อัญเชิญมาจากประเทศพม่าค่ะ ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างขึ้นโดย “พญาสิงหนาทราชา” เจ้าผู้ครองเมืองแม่ฮ่องสอนท่านแรก เมื่อปี พ.ศ. 2417 ส่วนใกล้กับพระธาตุเจดีย์ทั้งสองนี้ก็เป็นวิหารพระแบบศิลปะไทใหญ่ค่ะ

หากใครที่มาเที่ยวชมวัดพระธาตุดอยกองมูในตอนเช้า ห้ามพลาดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่มุมนี้เด็ดขาดเลยนะคะ ^^

ส่วนด้านหลังของพระธาตุเจดีย์ทั้งสององค์นั้นจะเป็นจุดชมวิวเมืองแม่ฮ่องสอนในมุมสูงที่สุดและสวยงามที่สุด ชนิดที่ว่าสามารถมองได้แบบเต็มตา ไม่มีสิ่งบดบัง เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการมาที่นี่จริง ๆ ค่ะ ^^

เดินทางไปเที่ยวชมปลาต่าง ๆ ที่ “ถ้ำปลา” กันต่อค่ะ

“ถ้ำปลา” ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-ผาเสื่อที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในอำเภอเมืองและอำเภอปางมะผ้า บรรยากาศภายในจะร่มรื่นไปด้วยร่มไม้เขียวครึ้มกับไอเย็น ๆ จากแม่น้ำแม่สะงีที่ไหลออกมาจากปากถ้ำ ซึ่งถ้ำปลานี้จะมีลักษณะพิเศษตรงที่มีธารน้ำไหลออกมาจากโพรงถ้ำใต้ภูเขา ด้านหน้าถ้ำเป็นวังน้ำลึกประมาณ 1.5 เมตร และมีปลาพลวงตัวใหญ่ขนาด 1 - 2 ฟุต จำนวนหลายร้อยตัวแหวกว่ายวนเวียนไปมาค่ะ

ปลาพลวงเรียกอีกอย่างว่า “ปลาคัง” หรือ “ปลามุง” เป็นปลามีเกล็ดขนาดใหญ่ในตระกูลเดียวกับปลาคาร์ฟ สามารถพบได้ตามธารน้ำตก แต่ไม่สามารถนำมากินได้นะคะ เพราะปลาชนิดนี้จะกินลูกไม้ป่าเป็นอาหาร ซึ่งลูกไม้ป่าบางชนิดจะมีพิษ ทำให้เนื้อของปลามีพิษตามไปด้วยค่ะ นอกจากนั้นชาวบ้านในบริเวณนั้นยังเชื่อกันว่าเป็นปลาเจ้า หากกินเข้าไปอาจต้องมีอันเป็นไป จึงไม่มีใครกล้าจับไปกินนั่นเองค่ะ

ปลาพลวงจำนวนมากกำลังแหวกว่ายไปมาในลำธารหรือวังน้ำขนาดใหญ่ค่ะ ^^

ปลาพลวงจำนวนมากแหวกว่ายบริเวณปากถ้ำ ซึ่งเป็นธารน้ำที่ไหลออกมาจากใต้โพรงภูเขาหินตลอดเวลา

สะพานปลาสำหรับเดินข้ามลำธารหรือแม่น้ำแม่สะงี ซึ่งแม่น้ำแม่สะงีมีต้นน้ำอยู่ในประเทศพม่าค่ะ

พรรณไม้ใหญ่อันร่มรื่นกับสนามหญ้าที่เขียวขจีในยามบ่าย มีแสงแดดสะท้อนจากพระอาทิตย์ทอดยาวลงมา ช่างเป็นภาพที่สวยงามมากจริง ๆ ค่ะ รูปนี้เป็นรูปที่ถ่ายเองแล้วสวยที่สุด สวยกว่าทุกรูปที่ผ่านมาซะอีก 5555

เที่ยวชมปลาพลวงและวิวทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่ถ้ำปลากันไปแล้วก็เดินทางต่อไปยัง “บ้านจ่าโบ่” กันค่ะ ^^

“บ้านจ่าโบ่” เป็นชุมชนชาวเขาที่ตั้งอยู่ใน อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งจุดเด่นของบ้านจ่าโบ่นั้นก็คือ “ร้านก๋วยเตี๋ยวชมวิวบ้านจ่าโบ่” นั่นเองค่ะ ว่ากันว่าเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวราคาหลักสิบ แต่วิวระดับหลักล้าน โดยร้านก๋วยเตี๋ยวมีมุมที่นั่งให้ห้อยขาให้ฟินกันแบบสุด ๆ ชนิดที่เรียกว่ากินก๋วยเตี๋ยวไป ชมวิวธรรมชาติแบบไกลสุดลูกหูลูกตาไปพร้อม ๆ กันค่ะ แต่หากว่าใครที่กลัวความสูงหรือมองลงไปข้างล่างแล้วเกิดอาการใจสั่นเฉียบพลัน ทางร้านก็มีที่นั่งด้านในไว้คอยบริการค่ะ

รูปนี้ต้องรีบถ่ายซะหน่อย เดี๋ยวพระอาทิตย์ตกดินจะมองไม่เห็นค่ะ รูปก็จะน้อยนิดนึง ^^”

ชมทิวทัศน์และดวงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้ากันค่ะ ^^

จริง ๆ ในตอนแรกต้องแวะชมวิวที่ “ดอยกิ่วลม” กันก่อน แต่ด้วยความที่ท้องฟ้ามืดมาก เพราะใกล้ค่ำแล้ว คนขับรถเลยจอดให้ชมวิวแป๊บเดียว เราเลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ค่ะ จากนั้นเราก็เดินทางกลับปาย

เมื่อถึงปายแล้ว เราก็ไปกินอาหารเย็นและเดินเล่นซื้อของนิด ๆ หน่อย ๆ ที่ถนนคนเดินปาย แล้วก็กลับที่พัก เพื่อเก็บแรงไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพฯ ในตอนเย็นค่ะ ^^

วันรุ่งขึ้นเราก็ตื่นเช้าอีกเช่นเดิม เพราะเราจะไปเที่ยวชมทะเลหมอกที่ “อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง” กันค่ะ แต่ระหว่างรอรถ เราก็ถ่ายรูปที่พัก “อ๋อ...อยู่ปาย” ค่ะ ที่นี่บริการดี มีแนะนำ One Day Trip ด้วย อย่างที่บอกไปในข้างต้นแล้วว่า... หากใครขี้เกียจหาทริปเที่ยวก็สามารถบอกพี่เจ้าของที่พักได้ เขาจะแนะนำให้ค่ะ ^^

ที่พัก “อ๋อ...อยู่ปาย” นั้นมาจากพี่เจ้าของที่พักชื่อ “อ๋อ” นั่นเองค่ะ ^^

หากใครต้องการขี่จักรยานเที่ยวชมรอบเมืองปายก็สามารถนำไปขี่ได้ฟรี แต่อย่าลืมนำจักรยานมาจอดคืนนะคะ หรือถ้าหากเบื่อที่จะต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องก็สามารถมานั่งเล่นชมสวน หรือซื้อขนมมากินที่นี่ได้ค่ะ ^^

เมื่อรถตู้มารับ เราก็เดินทางมุ่งตรงไปยัง “อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง” เพื่อชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากันค่ะ

“อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง” เป็นอุทยานที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีสภาพป่าและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ภูเขาสูงสลับซับซ้อนกัน และเป็นป่าต้นน้ำลำธาร รวมไปถึงมีจุดชมวิวทางธรรมชาติที่สวยงามและร่มรื่น สามารถชมบรรยากาศกันได้แบบฟิน ๆ จุใจเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะในตอนเช้าของช่วงปลายฝนต้นหนาวหรือประมาณเดือนพฤศจิกายนก็จะเห็นทะเลหมอกได้มากที่สุด แถมยังเก็บทางช้างเผือกในช่วงโค้งสุดท้ายได้อีกด้วย แต่ถ้าใครจะมาพักค้างแรมล่ะก็... ทางอุทยานก็ยังมีที่ว่างให้กางเต็นท์หรือบ้านพักอุทยานคอยให้บริการค่ะ

ระหว่างรอชมทะเลหมอกก็ถ่ายรูปวิวตอนพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ค่ะ

ทะเลหมอกยามเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยงามไปอีกแบบค่ะ ^^

เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้นอกจากรอยเท้า เราจะไม่เก็บอะไรไปนอกจากภาพถ่าย

เมื่อถ่ายรูปจากมุมด้านล่างก็จะเห็นบริเวณโดยรอบของที่ทำการอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังค่ะ ^^

เมื่อมาชมทะเลหมอกที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง บอกเลยว่าสวยงามสมคำร่ำลือจริง ๆ ค่ะ ^^

ช่วงใกล้พระอาทิตย์ขึ้น ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง ทำให้เห็นทะเลหมอกชัดเจน สวยงามไปอีกแบบค่ะ

พอมีแสงตะวันบนท้องฟ้าตัดกับทะเลหมอกยามเช้า บอกเลยว่าน่าแชะภาพเก็บไว้หลาย ๆ รูปเลยล่ะค่ะ ^^

พอชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังกันไปแล้วก็เดินทางต่อไปยังร้านกาแฟที่ “Coffee In Love” กันค่ะ

Coffee In Love” เป็นร้านกาแฟสวยเก๋น่ารัก ๆ บนยอดเขาที่สามารถดื่มด่ำหรือชื่นชมบรรยากาศของวิวทิวทัศน์เมืองปายได้รอบด้าน ทำให้มีนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางแวะเข้ามากันอย่างไม่ขาดสายค่ะ ซึ่งภายในร้านจะมีเครื่องดื่มทั้งร้อน-เย็นและเบเกอรี่คอยให้บริการ นอกจากนั้นยังมีมุมโปสการ์ด ของฝาก และของที่ระลึกอีกด้วยค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นทางซ้ายมือของร้านยังมีบ้านหลังสีเหลืองสดใสเป็นจุดเด่นหรือ Hi-Light สำคัญที่ใครต่อใครเดินทางผ่านไปมาเป็นต้องแวะถ่ายรูปทุกครั้งนั่นเองค่ะ

ซุ้มที่นั่งหน้าร้านนี้จะใช้นั่งโพสท่าถ่ายรูปเก๋ ๆ หรือจะนั่งพักดื่มน้ำก็ได้ทั้งนั้น

มุมถ่ายรูปเก๋ ๆ เพื่อประกาศให้ก้องโลกว่า “ฉันอยู่ปายนะ” จะโพสต์ลง Facebook หรือ IG ก็เริ่ดสุด ๆ ค่ะ 5555

วิวทิวทัศน์รอบเมืองปายในยามเช้าบริเวณร้านกาแฟ หมอกก็จะหนา ๆ หน่อย สวยไปอีกแบบค่ะ ^^

บ้านหลังสีเหลือง ถือว่าเป็นจุดเด่นของร้านที่ใครเดินทางผ่านไปมาต้องแวะถ่ายรูป ซึ่งเราแวะมาถ่ายรูปบ้านหลังนี้อีกรอบในตอนบ่ายค่ะ (ทางผ่านก่อนกลับ) ตอนเช้ามองไม่เห็นว่าทางซ้ายของร้านมีบ้านหลังนี้ด้วย มัวแต่ถ่ายรูปมุมอื่นกับเลือกซื้อของที่ระลึกอยู่ 5555

ด้านหลังของบ้านสีเหลืองเป็นแปลงสำหรับปลูกดอกไม้สีสันสวยงามนานาชนิดค่ะ ^^

หากมองจากแปลงดอกไม้หลังบ้านสีเหลืองออกไปก็จะเห็นวิวภูเขาและธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่นค่ะ ^^

พอแวะร้านกาแฟ Coffee In Love แล้วก็กลับเข้าที่พัก เพื่อ Check-Out ที่พัก แล้วก็เดินทางต่อไปยังวัดพระธาตุแม่เย็นค่ะ

“วัดพระธาตุแม่เย็น” เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองปาย ซึ่งไฮไลต์ของที่นี่ก็คือการเดินขึ้นบันไดกว่า 300 ขั้นเพื่อไปสักการะ “พระพุทธโลกุตระมหามุนี” พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่สีขาวโดดเด่นที่ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาสูงค่ะ หลังจากไหว้พระกันแล้วก็ชมวิวสวย ๆ ของเมืองปายแบบ 360 องศาให้หายเหนื่อยค่ะ

เจดีย์ด้านหลังพระอุโบสถเป็นเจดีย์ทรงระฆังแบบพม่า สูงประมาณ 3 เมตร และมียอดเจดีย์แบบพม่าค่ะ

วิวสวย ๆ ของเมืองปายบนยอดเขาค่ะ แต่ด้วยความที่หมอกลงจัดทำให้มองไม่เห็นอะไร 5555

ระหว่างเดินทางไปยัง “บ้านต้นไม้ปาย” ก็เห็นซุ้มต้นไม้ที่ออกดอกสีเหลืองสวยงาม คนขับรถก็จอดให้แวะลงไปถ่ายรูป พอถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็เดินทางต่อค่ะ

“บ้านต้นไม้ปาย” เป็นรีสอร์ทสวยในเมืองปายที่ตกแต่งห้องพักสไตล์ล้านนาบนต้นไม้ ช่วยให้ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งบ้านต้นไม้นี้เกิดจากความใฝ่ฝันของเจ้าของรีสอร์ทตั้งแต่วัยเด็กว่า... ต้องการมีบ้านอยู่บนต้นไม้สักหลังเพื่อความเป็นส่วนตัวค่ะ นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำปายไหลผ่านกลางรีสอร์ท และไม่ไกลจากรีสอร์ทนักยังมีแหล่งกำเนิดของน้ำพุร้อนที่เป็นน้ำแร่ทางธรรมชาติอีกด้วยค่ะ สำหรับใครที่มาพักค้างแรมแล้วรู้สึกเบื่อกับการอุดอู้อยู่แต่ในห้องก็สามารถออกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ของทางรีสอร์ทได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งช้างลงเล่นน้ำ การล่องแพ หรือทำสปา

เดินเข้ามาก็จะเห็นบ้านพักแบบจิ๋ว ๆ จำลองไว้บนต้นไม้ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักค่ะ

ซุ้มถ่ายรูปสวย ๆ ที่เป็นซุ้มหัวใจ ซึ่งเหมาะสำหรับแฟนหรือคู่รักที่มาเที่ยว จะบอกรักที่พักหรือคนที่มาด้วยก็ได้ทั้งนั้น ค่ะ 5555

เมื่อไหร่ที่หิวข้าว กระหายเครื่องดื่ม ก็สามารถแวะมากินข้าว ดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ ให้สดชื่นได้ที่นี่ค่ะ

ซุ้มถ่ายรูปสวย ๆ ไม่ว่าจะนั่งหรือยืนรูปมุมไหนก็สวยทั้งนั้นค่ะ เพราะวิวสวยทุกมุมจริง ๆ ^^

ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ปลูกไว้รอบรีสอร์ทนั้นทำให้รีสอร์ทดูสวย และน่าเข้าพักมากจริง ๆ ค่ะ ^^

ด้านหลังรีสอร์ทยังมีซุ้มถ่ายรูปกับวิวทิวทัศน์สวย ๆ

บ้านพักบนต้นไม้ตกแต่งสวยตามสไตล์ล้านนา แถมมีชิงช้าให้นั่งโยกเล่นด้วยนะคะ ^^

เมื่อชมวิวรอบ ๆ บ้านต้นไม้ปายรีสอร์ทกันแล้วก็เดินทางต่อไปยัง “โป่งน้ำร้อนท่าปาย” ค่ะ

“โป่งน้ำร้อนท่าปาย” อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ซึ่งมีลักษณะเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ไหลมาจากใต้ดิน โดยบริเวณรอบ ๆ ก็จะเป็นป่าสักที่สมบูรณ์ร่มรื่นโอบล้อมด้วยขุนเขา และมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่จำนวน 2 บ่ออยู่กลางแจ้งที่ให้สามารถลงไปแช่ตัวได้ ส่วนบ่ออื่น ๆ ก็จะมีน้ำผุดขึ้นมาหลายจุดด้วยกัน อุณหภูมิที่จุดตาน้ำหรือกำเนิดความร้อนนั้นจะสูงประมาณ 80 - 100 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ทำให้สามารถนำไข่มาต้มให้สุกได้อีกด้วยนะคะ แต่อุณหภูมิก็จะลดลงเรื่อย ๆ ตามระยะทาง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจึงนิยมมาแช่ตัวกันค่ะ

บ่อน้ำร้อนที่มีหมอกควันขาว ๆ ลอยขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ค่ะ

น้ำร้อนที่ไหลจากบ่อน้ำพุร้อนลงสู่ลำธาร ซึ่งอุณหภูมิก็จะลดลงเรื่อย ๆ ตามระยะทาง ทำให้สามารถลงไปแช่ตัวได้ค่ะ ^^

หลังจากแวะชมธรรมชาติที่โป่งน้ำร้อนท่าปายแล้วก็เดินทางต่อไปที่ “สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย” ค่ะ ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าหากใครแวะมาเที่ยวที่ปายแล้วไม่ได้แวะมาที่นี่ก็ถือว่ามาไม่ถึงค่ะ

“สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย” ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของเมืองปายที่มีความสวยงามและคลาสสิก ซึ่งแต่เดิมนั้นเป็นสะพานนวรัฐอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 จึงได้ยกมาตั้งอยู่ที่นี่ เพื่อใช้เป็นเส้นทางคมนาคมระหว่างสองฝั่งแม่น้ำค่ะ และบริเวณใกล้ ๆ กับสะพานยังมีบริการล่องแม่น้ำปายด้วยแพไม้ไผ่อีกด้วยค่ะ

แวะถ่ายรูปที่สะพานประวัติศาสตร์ท่าปายแล้วก็เดินทางไปกินข้าวกลางวัน เพื่อเติมพลังในยามบ่ายที่ “สวนสตรอว์เบอร์รี่มนตรี” กันก่อนค่ะ เดี๋ยวเป็นลม 5555

“สวนสตรอว์เบอร์รี่มนตรี” เป็นสวนสตรอว์เบอร์รี่ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางเชียงใหม่-ปาย ซึ่งมีทั้งร้านอาหารและร้านขายของฝากเป็นเมนูที่ทำจากสตรอว์เบอร์รี่หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นขนมเค้ก เบเกอรี่ และเครื่องดื่มเย็น โดยตกแต่งบรรยากาศที่ดูดีแสนน่ารักด้วยซุ้มถ่ายรูปต่าง ๆ ที่มีให้เลือกอย่างจุใจค่ะ

ซุ้มถ่ายรูปหน้าร้านเป็นรูปหัวใจลายสตรอว์เบอร์รี่พร้อมกุญแจปลดล็อก เหมาะสำหรับถ่ายภาพแฟนหรือคู่รักค่ะ

สตรอว์เบอร์รี่ลูกใหญ่ ซึ่งเป็นมุมถ่ายรูปภายในร้าน จะถ่ายภาพหมู่ ถ่ายคู่ หรือถ่ายเดี่ยวก็เหมาะทั้งนั้นค่ะ ส่วนเราถ่ายแบบไม่ติดคน 55555

มุมถ่ายรูปมุมนี้ถือเป็นมุม Hi-Light ของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะวิวด้านหลังเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนรายล้อมสวนสตรอว์เบอร์รี่อย่างสวยงามค่ะ

กินข้าวกลางวันและถ่ายรูปสวย ๆ กันแล้วก็เดินทางต่อไปยัง “กองแลน Pai Canyon” กันค่ะ

“กองแลน Pai Canyon” เป็นกองดินภูเขาสีส้มน้ำตาลที่เกิดจากการยุบตัวหรือกัดเซาะดินของลมและฝนตามหุบเขาจนกลายเป็นเพียงทางเดินเล็ก ๆ บนสันเขาท่ามกลางภูเขาสูงสลับซับซ้อน ซึ่งบรรยากาศจะสวยงามคล้ายแพะเมืองผี จ.แพร่ สามารถเดินสำรวจเส้นทางได้เป็นวงกลมและชมวิวสวยงามโดยรอบได้แบบ 360 องศาค่ะ แต่เส้นทางเดินบางช่วงจะค่อนข้างแคบและชวนน่าหวาดเสียว สำหรับคนที่ไม่กล้าเดินลุยหรือกลัวความสูงก็เดินขึ้นไปที่หอชมวิวกันได้ รับรองว่าวิวสวยงามไม่แพ้กันค่ะ โดยในช่วงฤดูฝนนั้นพื้นจะลื่น จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเดิน นอกจากที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของการชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกในที่เดียวกันแล้วยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Pai In Love” อีกด้วยนะคะ

ป้ายนี้บอกให้รู้ว่ากองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “Pai In Love” ก็มาถ่ายทำที่นี่ด้วยนะ ^^

บอกเลยว่าเห็นทางเดินบนกองแลนแบบนี้แล้วไม่กล้าเดินจริง ๆ ค่ะ กลัวตกลงไปด้วย กลัวความสูงด้วย 5555

วิวภูเขาบนกองแลน พอขึ้นมาชมวิวสวย ๆ บนกองแลนแล้วหายเหนื่อย หายเมื่อยขาเลยค่ะ 55555

ขึ้นไปชมวิวสวย ๆ บนกองแลนแล้วก็เดินทางไปชมหรือเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวจีนยูนนานใน “หมู่บ้านสันติชล” กันต่อค่ะ ^^

“หมู่บ้านสันติชล” เป็นหมู่บ้านที่จำลองวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชาวจีนยูนนาน ซึ่งชาวจีนยูนนานหรือจีนฮ่อนั้นเป็นทหารจีนคณะชาติกองพล 93 ก๊กมินตั๋งที่อพยพหนีภัยสงครามกันมาจากมณฑลยูนนาน (มณฑลที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน) ด้วยเรื่องเกี่ยวกับการเมืองในประเทศค่ะ แต่ก่อนหมู่บ้านนี้ถูกเรียกขานว่า “บ้านน้ำฮูจีน” แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “หมู่บ้านสันติชล” ที่มีความหมายว่า “แม่น้ำแห่งสันติ” นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวจีนยูนนานแล้วยังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในหมู่บ้านได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้ารอบหมู่บ้าน ชมกำแพงเมืองจีนจำลอง ซื้อของที่ระลึก และโล้ชิงช้าไม้โบราณค่ะ

ม้าในหมู่บ้านสันติชล สามารถขี่เล่นรอบ ๆ หมู่บ้านได้ค่ะ ^^

บ้านดินสร้างขึ้นจากวัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่าย บางหลังปรับเป็นร้านอาหารหรือร้านขายของที่ระลึกค่ะ

ชิงช้าไม้แบบโบราณ สามารถเล่นได้ 4 คน คนละ 25 บาท ซึ่งการโล้ชิงช้าไม้เป็นกิจกรรมยอดฮิตของหมู่บ้านนี้ และตอนที่นั่งอยู่ด้านบนสุดของชิงช้ายังสามารถเห็นวิวมุมบนของหมู่บ้านสันติชลได้อีกด้วยค่ะ ^^

ซุ้มถ่ายรูปที่เป็นเกี้ยวแบบจีน สามารถเข้าไปถ่ายรูปได้ค่ะ เพียงคนละ 10 บาทเท่านั้น

สะพานข้ามลำธารและศาลากลางหมู่บ้าน ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งของประเทศจีนเลยค่ะ

บ้านดินที่ปรับเป็นร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม และร้านค้าต่าง ๆ โดยมีบ่อน้ำตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน

สัญลักษณ์หยิน-หยางที่ประตูหน้าหมู่บ้าน ซึ่งสัญลักษณ์นี้เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเต๋าที่เกี่ยวข้องกับพลังชีวิตค่ะ

ชมวิถีชีวิตของชาวจีนยูนนานที่หมู่บ้านสันติชลแล้วก็เดินทางต่อไปยัง “วัดน้ำฮู” กันต่อค่ะ

“วัดน้ำฮู” นั้นสันนิษฐานกันว่าเป็นวัดที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา แต่เดิมวัดแห่งนี้ถือเป็นวัดร้าง ต่อมาได้บูรณะวัดใหม่จึงได้อัญเชิญ “พระอุ่นเมือง” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองปายมาประดิษฐานเป็นพระประธานภายในโบสถ์ โดยทางวัดจะเปิดโบสถ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปนมัสการเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น หากเป็นช่วงอื่นต้องขออนุญาตเจ้าอาวาสค่ะ

พระอุ่นเมือง เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ซึ่งมีพุทธลักษณะพิเศษกว่าองค์อื่น ๆ ตรงที่มีพระเศียรกลวง ส่วนบนเปิด-ปิดได้ และมีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลา ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ค่ะ

รูปหล่อสมเด็จพระเอกาทศรถ, สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา ประดิษฐานภายในศาลากลางน้ำ สำหรับให้ประชาชนได้กราบไหว้ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

เจดีย์อัฐิพระสุพรรณกัลยา ตั้งอยู่ด้านหลังโบสถ์ มีขนาดไม่ใหญ่มาก เชื่อกันว่าสร้างโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อบรรจุพระอัฐิและเส้นพระเกศาของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา ซึ่งเสด็จไปเป็นตัวประกันที่พม่าแทนสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่ต่อมาทรงถูกปลงพระชนม์ที่พม่านั่นเองค่ะ

เมื่อเที่ยวชมและไหว้พระอุ่นเมืองที่วัดน้ำฮูแล้วก็เดินทางไปชมธรรมชาติและน้ำตกสวย ๆ ที่ “น้ำตกแพมบก” กันค่ะ

“น้ำตกแพมบก” เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่บริเวณน้ำตกแพมกลาง มีลักษณะเป็นเพียงสายน้ำเส้นเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านหน้าผาในช่องเขาสูงกว่า 40 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งมีการแบ่งออกเป็น 8 ชั้นย่อย ๆ ด้วยกัน โดยสายน้ำจะตกลงมาตามช่องเขา เกิดเสียงกระทบที่ไพเราะและเพลิดเพลินอย่างมากค่ะ สำหรับการเดินเข้าไปชมน้ำตกนั้นต้องเดินทางขึ้นเขาไป 150 เมตร แม้ว่าหนทางอาจจะลำบากสักเล็กน้อย แต่ไม่ยากเย็นมากนัก และระวังพื้นลื่นด้วยค่ะ

ลำธารสายเล็กที่ไหลลงมาจากน้ำตกแพมบก สวยงามตามธรรมชาติจริง ๆ ค่ะ ^^

หลังจากชมน้ำตกแพมบกแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้วสินะ คิดแล้วก็เศร้า 5555 เราขึ้นรถกลับไปที่ท่ารถตู้เปรมประชา เพื่อเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ที่สถานีขนส่งอาเขต โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นก็นั่งรถสองแถวแดงไปยังสนามบินเชียงใหม่ เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับถึงกรุงเทพฯ ที่สนามบินดอนเมืองค่ะ

วิวมุมสูงของจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างเครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้ากลับสู่สนามบินดอนเมืองในกรุงเทพฯ ค่ะ

รีวิวเที่ยว “ทริปปาย...มาแว้ววว” เพราะคิดถึงจบแล้ว สำหรับใครที่สนใจเที่ยวเมืองปาย เมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ล่ะก็... สามารถเที่ยวชมแบบ One Day Trip ค่ะ เพราะนอกจากจะได้ชมบรรยากาศสวย ๆ ในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ รอบเมืองปายกับจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้วยังได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นอีกด้วยค่ะ ^^

Windy_love_Travel หญิงสาวผู้รักการท่องเที่ยว

 วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23.09 น.

ความคิดเห็น