From Matterhorn to Eiffel Tower: ทริปเร่งรัด 8 วันในสวิสเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส



สวัสดีเพื่อนๆทุกคนครับ ช่วงนี้เพื่อนๆคงไม่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศซักเท่าไหร่เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ผมเองก็เช่นกันครับ แต่โชคดีช่วงปี 2018 - 2019 ผมได้เดินทางไปหลายที่ แต่มีเรื่องราวตุนไว้มากมายที่ยังไม่ได้มาเล่าให้เพื่อนๆฟังกัน จริงๆ ก็ไม่ได้กะจะเล่าให้ฟังด้วยครับ เพราะที่ๆผมไป ไม่ได้แปลกใหม่อะไร มีรีวิวให้อ่านมากมายอยู่แล้ว แต่ไหนๆก็ไม่ได้ไปไหนกัน เพื่อนๆก็คงเริ่มเบื่อ และนอยด์กันเต็มทีกับสถานการณ์ตอนนี้

วันนี้ผมเลยขอพาเพื่อนๆหนีออกจากปัจจุบันสักแป๊บนึง มาย้อนกลับไปปี 2019 กับผมในทริปเร่งรัดสไตล์คนงบไม่เยอะ เวลาไม่เยอะ พาเที่ยวในประเทศที่ชื่อว่าโคตรมหาแพงอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ และแวะสวมบทชาวปารีเซียง เดินเล่นบนถนนถนนฌ็องเซลิเซ่ (ที่มีประท้วงอยู่) ในฝรั่งเศสกันครับ


Prologue

ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้เกิดขึ้นมาในช่วงที่ผมศึกษาต่อปริญญาโทอยู่ที่ประเทศอังกฤษนะครับ ทำให้ผมประหยัดเรื่องเวลาเดินทาง และค่าตั๋วเครื่องบินไปได้ แต่ยังต้องขอวีซ่าเชงเก้นอยู่ดีนะครับ ซึ่งก็เพื่อนๆที่เคยเรียนต่อที่อังกฤษมาก็คงจะทราบว่าวุ่นวายประมาณนึงเลย

ช่วงที่พวกเราเดินทางคือช่วงอาทิตย์แรกของเดือนเมษาครับ บรรยากาศต่างๆก็จะใกล้เคียงคนที่มาช่วงสงกรานต์ บนพื้นราบอากาศเย็นๆ ใส่เสื้อหนาวสวยๆได้ ไม่(ควรจะ)เจอหิมะครับ แต่ในทริปผม เจอพายุหิมะหลงฤดูเข้าเต็มๆ ส่วนบนยอดเขาควรจะเตรียมเสื้ออุ่นๆไปครับ พวกเสื้อขนเป็ด ถุงมือ ผ้าพันคอ และรองเท้าอุ่นๆครับ เพราะการเดินทางหลักๆในสวิตเซอร์แลนด์จะต้องใช้รถไฟครับ และที่เที่ยวก็จะอยู่กลางแจ้งซะส่วนใหญ่ ซึ่งแปลว่าเราต้องระวังเรื่องสภาพอากาศเป็นพิเศษครับ ถ้าป่วยขึ้นมาทริปไม่สนุกแน่ๆ

โดยแผนการเดินทางของเราเป็นดังนี้ครับ

Day 1: UK - Geneva - Zermatt (Matterhorn)

Day 2: Zermatt - Lauterbrunnen (Schilthorn)

Day 3: Lauterbrunnen - Grindelwald - Lauterbrunnen (First)

Day 4: Lauterbrunnen - Basel - Paris

Day 5: Eiffel Tower - Notre-Dame de Paris

Day 6: Galerie de Valois - Panthéon - Louvre Museum

Day 7: Versailles

Day 8: Paris - UK

จะสังเกตว่าเราแบ่งจำนวนวันครึ่งนึงอยู่สวิตเซอร์แลนด์ และอีกครึ่งอยู่ฝรั่งเศส เพราะเราขอวีซ่าเชงเก้งผ่านสถานทูตฝรั่งเศสครับ เนื่องจากต้องการอายุวีซ่านานๆ สำหรับทริปอื่นๆในอนาคต ซึ่งของฝรั่งเศสให้พวกเรามา 1 ปีเต็ม ดังนั้นเราจึงต้องวางทริปให้ใช้เวลาในฝรั่งเศสนานกว่าหรือเท่ากับประเทศเชงเก้นอื่นๆในทริปครับ จริงๆ กฎพวกนี้ไม่ค่อยชัดเจน บางคนก็ไม่โดนตรวจเรื่องพวกนี้ บางคนก็โดนไม่ให้เข้าประเทศ เราเลยไม่เสี่ยงดีกว่าครับ

อีกเรื่องนึงที่ผมแนะนำคือแผนการเดินทางควรจะต้องยืดหยุ่นให้มากที่สุดครับ เพราะการเที่ยวแนวธรรมชาติจะมีความเสี่ยงเรื่องสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยากอยู่ และเรามักจะไม่ได้เที่ยวตามแผนที่วางไว้ อย่างแผนที่ผมลงไว้ ก็คนละเรื่องกับแผนตอนแรกครับ เกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง เดี๋ยวทยอยเล่าให้ฟังนะครับ

ค่าใช้จ่าย

ประเด็นสำคัญเลยเรื่องนี้ ถึงฐานะของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่ไม่มีประเทศไหนที่ทุกคนจะเห็นตรงกันว่าแพง**หาย เท่ากับสวิตเซอร์แลนด์ครับ ทริปของผมจึงเป็นทริปผสมที่ช่วงแรกจะเป็นสไตล์ Backpacker กินอยู่อย่างประหยัด และครึ่งหลังก็จะแปลงร่างเป็นทริปกระเป๋าลาก กินหรูอยู่สบาย (ระดับมนุษย์เงินเดือน) 

สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้แบบไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินอยู่ที่ประมาณ 45,000 บาทนะครับ ค่าตั๋วอยู่ที่ใครจะโชคดีหาได้ มีตั้งแต่ 15,000 - 30,000 บาท และต้องเผื่อค่าเชงเก้นวีซ่าไว้ด้วยครับ ก็ราคาโหดร้ายพอดูเลย 

ในสวิตเซอร์แลนด์เราเน้นพัก Hostel และไม่ได้พักเมืองใหญ่ ทำให้ลดค่าโรงแรมลงมาได้ แลกกับค่าอาหาร และ Swiss Pass ที่แพงมหาแพง และยังมีค่าโง่ที่เรานั่งรถไฟผิดสาย และโดนให้จ่ายค่าตั๋วเพิ่มอีกประมาณ 1,200 บาทครับ

ในฝรั่งเศสเรากินดีอยู่ดีกว่าสวิตเซอร์แลนด์ จะแพงจากค่าโรงแรมครับ ผมเน้นพักใกล้กับสถานที่สำคัญ เพราะผมจะออกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น - ตก และเมืองตอนกลางคืนทุกวัน ถ้าพักพื้นไกลๆ หรือเปลี่ยวๆ มันก็จะไปเสียค่าเดินทาง เสียเวลา และอันตรายครับ จึงยอมเปย์โรงแรมไป และก็มีค่าโง่เช่นกันครับเป็นค่าปรับอีกประมาณ 1,200 บาทเช่นกันครับ 

** เพิ่มเติมเรื่อง Swiss Pass **

เชื่อว่าเพื่อนๆหลายๆคนคงเคยได้ยินเรื่อง Swiss Pass กันมาบ้างแล้ว สาเหตุที่เราต้องใช้ Swiss Pass เพราะว่าค่ารถไฟในสวิตเซอร์แลนด์นั้น มันแพงมากๆ ค่าปรับ 1,200 บาทที่ผมโดนนั้นมาจากการนั่งรถไฟขบวนที่ Swiss Pass ไม่ครอบคลุมครับ คือผมดูแผนที่ไม่ละเอียดเองแหละ อันนี้ผิดเต็มๆก้มหน้าจ่ายไปพร้อมน้ำตา แต่ 1,200 บาทที่จ่ายไปนั้นมันคือราคาที่ใช้ Swiss Pass ลดแล้ว ไม่ใช่ราคาเต็ม และระยะที่นั่งเลยไปนั้นมีระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยครับ ดังนั้นถ้าเราไปขึ้นรถไฟและจ่ายค่าตั๋วแบบปกติเลย ทริปนี้คงได้แตะแสนแน่ๆครับ 


Swiss Pass ที่เราใช้ๆกัน ชื่อเต็มๆคือ Swiss Travel Pass ราคาจะแบ่งตามจำนวนวันที่เราจะใช้ครับ มีตั้งแต่ 3 - 15 วัน มีทั้งแบบต้องใช้ xx วันติดกัน และแบบที่เดือนนึงใช้วันไหนก็ได้จำนวน xx วัน รวมถึงมีตั๋วเด็ก ราคาก็จะแตกต่างกันไปครั

Swiss Travel Pass จะใช้กับการเดินทางได้ทุกประเภทในสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งรถไฟ เคเบิลคาร์ รถบัส และเรือครับ โดยทาง Swiss Pass จะให้แผนที่มาที่บอกว่าเส้นทางไหนใช้ Pass ได้บ้าง โดยจะมีทั้งแบบที่ขึ้นฟรี ลด 50% และลด 25% แผนที่นี้จึงสำคัญมากสำหรับวางแผนการเดินทางของเราครั

โดยราคาและเงื่อนไขต่างๆ รวมถึงแผนที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ สามารถเช็คได้จากเว็ปของการรถไฟของสวิตเซอร์แลนด์ (SBB) ได้เลยครับ โดยแผนที่จะอยู่ตรงหัวข้อ Download นะครับ

https://www.sbb.ch/en/leisure-holidays/travel-in-switzerland/international-guests/swiss-travel-pass.html

สุดท้ายอย่าลืมโหลด App ของ SBB ไว้นะครับ ใช้ในการจองตั๋วรถไฟ และเชครอบรถไฟ รวมถึงเป็น e-Ticket ด้วยสะดวกสุดๆครับ


Part I - Land of Helvetia


Day I: Road to The Matterhorn

มาเริ่มการเดินทางวันแรกกันนะครับ โดยแผนของเราคือเดินทางจากเมือง Leeds ประเทศอังกฤษตั้งแต่เช้าตรู่ บินมาลงที่เมือง Geneva ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเริ่มใช้ Swiss Pass นั่งรถไปยาวๆจาก Geneva ไปยังเมือง Zermatt อันเป็นที่ตั้งของยอดเขา Matterhorn อันโด่งดัง จุดหมายหลักของทริปนี้เลยครับ

สาเหตุที่พุ่งตรงไป Matterhorn เลยเพราะความเสี่ยงในเรื่องสภาพอากาศ มีโอกาสสูงมากในช่วงเปลี่ยนฤดูที่จะมีเมฆมาบังยอดเขาครับ ผมจึงวางแผนว่าไปให้ถึงเมืองก่อนในขณะที่ยังอากาศดี และเก็บจุดหมายสำคัญให้ได้ก่อน ซึ่งการเแผนนี้ทำให้เรามีโอกาสขึ้นยอดสองครั้ง คือวันแรกตอนเย็น และเช้าวันที่สองครับ

เพราะฉะนั้นในช่วงแรกของการเดินทาง เราจะเห็นประเทศสวิตเซอร์แลนด์แค่จากวิวหน้าต่างรถไฟครับ

โดยระยะเวลาเดินทางก็นานเอาการเลยครับ ประมาณ 4 ชม. โดยประมาณ 3 ชม.แรกจะเป็นการนั่งยาวๆ จากสนามบิน Geneva ผ่านเมือง Lausanne ไปหยุดที่เมือง Visp ซึ่งเป็นเมืองบนพื้นราบก่อนถึง Zermatt ครับ จากนั้นก็ต่อรถไฟขึ้นเขาอีกขบวนก็ถึงแล้ว

โดยระยะเวลาบวกการบินมาจากอังกฤษก็จะรวมเป็น 5 ชม. ซึ่งก็ไม่หนักหนามาเทียบกับถ้าต้องบินมาจากไทยครับ แถมยังได้นั่งดูวิวทะเลสาบ Geneva ไปตลอดทางด้วยครับ (ให้นั่งฝั่งขวา จะเห็นวิวทะเลสาบครับ)

เมือง Visp เป็นอีกเมืองที่เราผ่านไปไม่ได้แวะลงไปเดินครับ แต่ถ้าเลือกขับรถเที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ เมือง Visp น่าจะเป็นอีกในจุดที่เราฝากรถไว้ได้ก่อนจะเดินทางไปเมือง Zermatt ครับ เพราะเมืองนั้นจะไม่อนุญาตให้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันขึ้นไปครับ โดยจะต้องนั่งรถไฟ หรือเเท็กซี่ไฟฟ้าขึ้นไปแทน

หลังจากนั่งรถไฟขึ้นเขา (ทั้งชมวิวทั้งงีบ) มาสักพัก เราก็ได้มาถึงเมือง Zermatt ซะที ซึ่งภาพแรกที่เห็นเมื่อออกจากสถานีก็ทำให้พวกเราหายเหนื่อยจากการเดินทางทันทีเลย

โชคดีมากๆ ที่ฟ้าเปิดตอนเรามาถึงพอดี พวกเราจึงรีบเอาของไปเก็บที่โรงแรม เพื่อที่จะไปนั่งรถไฟอีกขบวนเพื่อขึ้นไปบนยอดเขา Gornergrat ซึ่งเป็นจุดชมวิวยอดเขา Matterhorn ของฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ครับ (อีกฝั่งจะเป็นมุมจากประเทศอิตาลี)

โรงแรมคืนนี้ของเราชื่อ Hotel Cima เป็นโรงแรมเล็กๆไม่ไกลจากสถานีรถไฟ เป็นหนึ่งในไม่กี่โรงแรมที่ยังว่างในช่วงที่เราไปครับ ถึงทำเลจะไม่ใกล้ตัวเมือง แต่สะดวกในการเดินทาง และมีร้านสะดวกซื้ออยู่ใกล้ๆครับ

ตอนไปถึงมีความวุ่นวายนิดหน่อยคือเจ้าของโรงแรมไม่อยู่ครับ ไปซื้อของหรืออะไรสักอย่าง ทิ้งแม่บ้านไว้ซึ่งไม่พูดภาษาอังกฤษครับ เราก็ต้องภาษามือไปสักพัก จนเค้าโทรไปหาเจ้าของโรงแรมให้คุยกับเราครับ ซึ่งตัวโรงแรมเองก็ค่อนข้างเก่า ทั้งห้องนอน ห้องน้ำค่อนข้างคลาสสิก แต่ก็สะอาดและใช้งานได้ดี เป็นการนำอาคารเดิมมา Renovate ซึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างนึงครับ

ที่สิ่งที่เราชอบที่สุดของที่นี่คงไม่พ้นวิวนอกหน้าต่าง

จากนั้นเราก็รีบเดินทางไปยังสถานี Zermatt GGB ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ Zermatt เราต้องขึ้นรถไฟไปยอดเขา Gornergrat จากสถานีนี้ครับ ใช้ Swiss Pass ลดราคาเส้นทางนี้ได้ 50% ครับ

จาก Zermatt ไปยังยอดเขาก็จะมีสถานีย่อยๆหลายแห่งให้แวะเที่ยวครับ บางสถานีก็จะมีโรงแรมตั้งอยู่ บางสถานีเป็นลานสกี และบางสถานีจะมี Trail ให้เดินครับ โดยแผนแรกสุดเราจะแวะเดินทะเลสาบ Lake Riffelsee ที่อยู่ที่สถานี Rotenboden ในวันพรุ่งนี้ครับ แต่ตอนก่อนเรามาถึงมีพายุหิมะลงมารอบนึง ปิดเส้นทาง และฝังทะเลสาบไปหมดแล้ว แผนนี้เลยตัดทิ้งไป

นั่งรถไฟชมวิวประมาณเกือบชม. เราก็มาถึงยอดเขา Gornergrat ซะที มาถึงตอนเย็นๆพอดี ก็จะอดเห็นยอดเขากับท้องฟ้าสีฟ้า แต่แบบนี้สวยไปอีกแบบครับ

บนนี้นอกจากตัวสถานีรถไฟ และลานสกีแล้ว ก็จะมีโรงแรม Hotel Gornergrat ตั้งอยู่อีกแห่งนึงครับ ไม่ต้องสืบเลยว่าราคาแพงแค่ไหน จองลำบากแค่ไหน แต่ถ้าอยากเห็นยอดเขา Matterhorn กับดาวก็คงต้องมาจองพักที่นี่ครับ

สำหรับคนที่อยากได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้น วิธีที่ทำกันเยอะๆคือ นั่งรถไฟรอบแรกไปสถานี Rotenboden และเดินเท้าไปดูที่  Lake Riffelsee ครับ โดย Hotel Gornergrat และร้านอาหารตามสถานีก็จะมี Package พร้อมไกด์ทัวร์พาเราเดินครับ แต่ต้องดูฤดูกาลดีๆนะครับ ถ้าเจอหิมะแบบผมก็อดเหมือนกัน

ชมวิวแถวนั้นสักพัก ก็ใกล้ถึงเวลากลับครับ ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้ม อากาศเริ่มเย็นทะลุเสื้อเสื้อหนาวเข้ามา พวกเรานั่งรถไฟรอบสุดท้ายลงจาก Gornergrat พร้อมๆกับพระอาทิตย์ที่ทยอยลับขอบฟ้าไป

กลับมาในเมือง Zermatt พร้อมความประทับใจจากวิวบนยอด Gornergrat พอความประทับใจเริ่มซาลง ความหิวก็เข้ามาแทนที่  พวกเราจึงเดินเที่ยวในชมแสงสีในเมืองยามค่ำคืน พร้อมๆกับการเสาะหาอาหารมื้อสุดท้ายของวันแรกในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ซึ่งสุดท้ายพวกเราได้ไปลองทานอาหารขึ้นชื่อของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก็คือ Fondue นั่นเอง จะมีทั้งแบบที่เป็นเนื้อนำไปจุ่มในน้ำมัน  และขนมปังจุ่มในชีสครับ ซึ่งที่เราก็ใช้โควต้าอาหารหรูมื้อเดียวที่มีไปกับ Fondue เนื้อของร้าน Old Zermatt ครับ

เรื่องรสชาติไม่ได้ว้าวมาก แต่ที่รู้สึกได้คือเนื้อนุ่มอร่อยมาก การนำไปจุ่มในน้ำมันทำให้ไม่ได้ทำให้เหนียว น้ำมันเองก็ไม่ได้ทำให้เลี่ยน หรือมันแต่อย่างใด กินกับซอสที่ใช้มาเข้ากันดีมากครับ แต่ต้องสั่งอย่างอื่นมาทานคู่กันด้วยไม่งั้นจะไม่อิ่มกันนะครับ


Day II: A village under the giant fall

เช้าวันถัดมา ตามแผนแรกเราจะขึ้นยอด Matterhorn และ Trek ที่ Lake Riffelsee ครับ แต่เนื่องจากเมื่อวานขึ้นไปแล้ว วันนี้ก็เลยเปลี่ยนแผนให้ช่วงเช้ามีเวลาพักผ่อน เดินเล่นสบายๆในเมือง Zermatt แทนครับ เพราะเมื่อวานเราเห็นเมืองนี้แต่ตอนที่มืดแล้วเท่านั้น

เมือง Zermatt มีขนาดกำลังพอดี ไม่เล็กไป ไม่ใหญ่ไป เดินได้ทั่ว มีมุมแปลกๆสวยๆให้ดูครับ บ้านในเมืองจะเป็นบ้านแบบดั้งเดิมตามแบบฉบับ Heritage city ที่ภายนอกคงเดิม ภายในถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรมและร้านค้า บวกกับความที่เมืองไม่ให้รถยนต์ดีเซลวิ่ง ทำให้ท้องถนนไม่พลุกพล่าน เต็มไปด้วยคนเดินและจักรยานครับ

ที่น่าสนใจคือผมเจออนุสาวรีย์ในสวนกลางเมืองที่สลักภาพยอดเขา Matterhorn กับยอดเขา Daimonji ของญี่ปุ่นไว้คู่กันครับ โดยเค้าบอกว่า Daimonji คือ Matterhorn ของญี่ปุ่น และมีข้อความว่า Lasting friendship ไว้ด้วย

ผมมาหาข้อมูลเพิ่มเติมทีหลังเจอว่าประเทศญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และได้สร้าง City Partherships ขึ้น โดย Zermatt กับเมือง Myoko นับเป็นเมืองพี่น้องกัน เพราะเมืองทั้งสองติดยอดเขาหิมะ มีสกี Resort เป็นเมือง Hertitage จึงมีการเเลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ทั้ง Zermatt ฝึกและส่ง Rescue dog ให้เมือง Myoko และเมือง Myoko มาเปิดร้าน Sushi ในเมือง Zermatt รวมถึงการแชร์ความรู้ แลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างสองเมืองครับ ซึ่งยังมีอีกหลายๆเมืองในญี่ปุ่นและสวิตเซอร์แลนด์ที่จับคู่เป็นพี่น้องกันเหมือนสองเมืองนี้ครับ มีเว็บไซต์ของเค้าเองด้วย https://grandtourofswitzerland.jp/

พอเดินเล่นกันหนำใจแล้ว เราก็เก็บของ Check out ออกจากโรงแรม และเตรียมตัวเดินทางไปจุดหมายถัดไปของวันนี้นั่นคือเมือง Lauterbrunnen ครับ ซึ่งตลอดเส้นทางสามารถใช้ Swiss Pass ขึ้นได้ฟรีครับ ก่อนขึ้นรถไฟเราแวะทานอาหารเช้าง่ายๆกันก่อน นั้นคือ McDonald นั่นเอง เป็นอาหารกันตายประจำทริปเนื่องจากหาง่ายและราคาถูกครับ

การเดินทางจาก Zermatt ไป Lauterbrunnen จะต้องต่อรถไฟ 3 ครั้ง รอบแรกที่เมือง Visp ที่เราต่อตอนขามาจะเป็นการเปลี่ยนจากรถไฟขึ้นเขาเป็นรถไฟพื้นราบครับ อีกครั้งต่อที่เมือง Spiez ซึ่งจะมีเวลาให้เราแว่บออกไปชมวิว Lake Thun ได้เร็วๆครับ และต่อสุดท้ายคือที่เมือง Interlaken ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแถบนั้น มีทั้งโรงแรม รีสอร์ต ห้าง และร้านอาหารมากมายครับ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมใช้เมือง Interlaken เป็นที่พักหลักในการท่องเที่ยวในแถบนี้ แต่เนื่องจากเรามีเวลาไม่เยอะ ผมจึงเน้นไปพักจุดที่ใกล้กับที่เที่ยวเลยดีกว่า เป็นสาเหตุให้เมือง Lauterbrunnen จะเป็นเบสของเราในคืนที่เหลือในสวิตเซอร์แลนด์

อีกสาเหตุนึงที่ผมเลือกเมือง Lauterbrunnen เพราะว่าเมื่อเราออกจากสถานีรถไฟนี่คือภาพแรกที่เราเห็นครับ

ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ เงียบ ไม่ค่อยมีที่พักและร้านอาหารให้เลือกเท่าไหร่ เวลาเดินทางไปไหนจะต้องต่อรถไฟที่ Interlaken ทุกครั้ง แต่เมือง Lauterbrunnen นั้นมีน้ำตกขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า Staubbach Waterfall เป็นแบคกราวน์ครับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นภาพเมืองนี้ผมก็เก็บเป็น Bucket ไว้ทันทีครับ ฝันว่าวันนึงจะต้องมาเที่ยวเมืองนี้ให้ได้

อีกข้อนึงที่สำคัญคือเมืองนี้ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Schilthorn ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คชื่อดังอีกแห่งของสวิตเซอร์แลนด์ ความพิเศษของ Schilthorn มี 3 เรื่องหลักๆคือ

1) เป็นยอดเขาที่สามารถมองเห็นยอดเขาชื่อดัง 3 ยอดนั่นคือ Eiger, Mönch และ Jungfrau ซึ่งเป็นหลังคาของยุโรป

2) เป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน Mürren หมู่บ้านเยอรมันดั้งเดิม ที่สวยงามสุดๆ ตัวหมู่บ้านอยู่ที่ความสูง 1,638 m ห้อมล้อมไปด้วยยอดเขาสูงรวมถึงเจ้าแฝดสาม Eiger, Mönch และ Jungfrau ก็สามารถมองเห็นได้จากหมู่บ้านนี้

3) สำคัญที่สุด การเดินทางทุกอย่างใน Schilthorn นั้น ใช้ Swiss Pass ขึ้นได้ฟรีทั้งหมดครับ

หลังจากถึงเมืองแล้ว เราก็ตรงไปที่พัก ซึ่งปัญหาประจำเมืองท่องเที่ยวของสวิตเซอร์แลนด์คือ โรงแรมเต็มเร็วมากครับ โดยตอนผมจองที่ถูกๆทำเลดีๆ เต็มไปหมดแล้ว แต่โชคดีที่เมืองไม่ใหญ่ทำให้โรงแรมที่อยู่ไกลก็ยังเป็นระยะที่เดินเท้าไหวครับ และเมืองนี้ก็มีรถบัสวิ่งผ่านเมืองอยู่แล้ว ซึ่งใช้  Swiss Pass ขึ้นได้ฟรีเช่นกันครับ

ที่พักคืนนี้ชื่อว่า Hotel Hornerpub เป็น Hostel ที่ชั้นล่างเป็น pub & restaurant เล็กๆ เจ้าของเคลมว่าเป็นผับแห่งเดียวของเมืองนี้ด้วย อาจจะเสียงดังหน่อย แต่เรามาในช่วง Low season จึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ เราพักเป็นห้องแชร์ 6 เตียง แชร์ห้องน้ำ ตกคืนละ 1,200 บาทครับ ซึ่งเพราะช่วงนี้นักท่องเที่ยวไม่เยอะ เราก็ได้ยึดห้องเป็นส่วนตัวไปเรียบร้อย

เก็บของ ทานข้าวเที่ยงเรียบร้อย เราก็เริ่มเที่ยวยอดเขา Schilthorn กันเลย โดยเราต้องขึ้นไปที่หมู่บ้าน Mürren ก่อนเป็นอย่างแรก โดยจาก Lauterbrunnen สามารถไปได้สองทางครับ คือ

1) ขึ้น Cable Car ที่อยู่ตรงข้าม สถานีรถไฟ แล้วไปต่อรถไฟเลียบเขาไปยังหมู่บ้าน

2) นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Stechelberg ซึ่งจะมีสถานี Cable car พาขึ้นไป Mürren เช่นกันครับ

ความแตกต่างของสองเส้นทางนี้คือ เส้นทางแรกจะพาเราไปลงที่ท้ายหมู่บ้าน (สถานีชื่อว่า Mürren BLM) ซึ่งจากสถานีนี้เราจะต้องเดินทะลุหมู่บ้านไปยังสถานี Mürren Schilthornbahn เพื่อนั่ง Cable Car ขึ้นไปยังยอดเขา Schilthorn

ส่วนเส้นทางที่สอง Cable Car จะพาเรามาลงที่ Mürren Schilthornbahn เลย เราสามารถต่อ Cable Car ขึ้นยอดเขา Schilthorn ได้โดยตรง ไม่ต้องเดินทะลุหมู่บ้านแบบวิธีแรก

ถ้าเวลาไม่เยอะแนะนำให้ขึ้นด้วยเส้นทางที่สอง ไปเที่ยวยอดเขาก่อน แล้วขากลับถ้าเวลาเหลือค่อยลองกลับด้วยเส้นทางแรกครับ ถ้ามีเวลามากๆแบบผม และอยากสัมผัส Mürren ให้เต็มที่ ผมมีเส้นทางพิเศษมาแนะนำ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะครับ

แต่เริ่มแรก เราเลือกเส้นทางแรกก่อน โดยเดินเท้าไปขึ้น Cable Car ที่ตรงข้ามสถานีรถไฟ Lauterbrunnen ซึ่งเราก็จะได้เห็นวิวมุมสูงของเมือง Lauterbrunnen และเมือง Wengen ที่อยู่ข้างๆครับ

Cable Car จะพาเรามาที่สถานีรถไฟ Grütschalp ซึ่งเราจะต่อรถไฟเลียบหน้าผาไปยังหมู่บ้าน ตรงจุดนี้จะเริ่มมีหิมะปกคลุม และวิวก็จะสวยสุดๆครับ

เรามาลงที่สถานี Mürren BLM ท้ายหมู้บาน จากจุดนี้จะเป็นการเดินชมวิวหมู่บ้าน Mürren ไปตลอดทาง ซึ่งผมชอบหมู่บ้านนี้มากๆครับ บ้านเรือน ร้านค้าต่างๆน่ารักมาก วิวข้างหลังก็อลังการ เป็นไฮไลต์ไม่แพ้ยอดเขา Schilthorn เลยครับ

เดินทะลุหมู่บ้านประมาณ 20 นาที (อยู่ที่เราอู้ชมวิวนานแค่ไหนด้วย) ก็จะมาถึงสถานี Mürren Schilthornbahn จุดขึ้น Cable Car ไปยังยอดเขาครับ โดยจะมี 4 สถานีให้แวะลงได้คือ Allmendhubel (1,970 m) ทุ่งดอกไม้ Birg (2,677 m) มีทางเดินริมหน้าผา และ Piz Gloria (2,970) คือจุดสูงสุดของ Schilthorn เป็นจุดชมวิว และทุกๆสถานีจะมีจุดเล่นสกีครับ

พวกเราจะนั่ง Cable Car ยาวๆ ขึ้นไปบนยอดก่อน แล้วค่อยแวะลงเที่ยวตามสถานีครับ

หลังจากนั่งมาสักพักใหญ่ๆ เราก็มาถึงสถานี Piz Gloria ครับ ซึ่งจะมีอาคารนิทรรศการ ร้านขายของ และ Platform ให้ชมวิวภูเขารอบๆ

ใครเป็นแฟนหนัง 007 น่าจะคุ้นๆสถานีนี้เป็นพิเศษเพราะเป็นฉากในหนัง 007 ภาค On Her Majesty's Secret Service ในยุคที่ Sean Connery เป็น Jame Bond ครับ โดยจะมี 007 Walk of Fame ให้แฟนๆเดิมชมข้อมูลต่างๆด้วย แต่ช่วงที่ผมมาหิมะยังเยอะอยู่ เลยทำให้ทางเดินโดนหิมะกลบหมด จะเดินดูก็ได้นะครับ แต่มันจะลื่นหน่อย ละข้างๆก็นะ เหวทั้งนั้นเลย ดูจากไกลๆก็แล้วกันครับ

ส่วนไฮไลต์ของการดูวิวที่นี่คือการตามหายอดเขา Eiger, Mönch และ Jungfrau ครับ ซึ่งก็ไม่ยากไม่ง่าย คือจุดนี้มันล้อมรอบไปด้วยยอดเขาตลอดทั้ง 360 องศา เราจึงต้องหันให้ถูกด้านถึงจะหาเจอครับ บวกกับทัศนวิสัยต้องดีในระดับนึงด้วย ตอนผมไปหมอกลงหน่อยๆ ก็จะดูยากนิดนึง แต่ก็พอหาเจอครับ

สังเกตในรูปด้านบนนะครับ Jungfrau จะเป็นยอดที่เป็นทรงสามเหลี่ยมสมมาตรกว่ายอดอื่นๆ ส่วนถัดไปทางซ้ายของ Jungfrau คือ  Eiger และ Mönch ถ้ามาวันฟ้าใสจะเห็นเป็นยอดๆชัดกว่านี้ และจะเห็นว่า สามยอดนี้สูงกว่าเพื่อนๆรอบๆ และ Jungfrau สูงทึ่สุดครับ

บนนี้ลมแรงและหนาวครับ เราอยู่ไม่นานก็พากันลงไปเที่ยวสถานีที่เราผ่านไป แต่สวนดอกไม้ที่สถานี Allmendhubel ตอนนี้ยังไม่เกิดครับ  หิมะกลบมิด เราเลยแวะแค่ทางเดินเลียบหน้าผาที่ Birg ครับ ซึ่งออกจากสถานีก็จะเจอทางลงไปเดินครับ ทางเดินแข็งแรง และปลอดภัย แต่ลมจะแรงหน่อย จำเป็นมากที่จะต้องแต่งตัวอุ่นๆนะครับ

ระหว่างทางนอกจากวิวที่อลังการมากๆแล้ว ก็จะมีของเล่นให้เล่นรายทาง เช่นสะพานเชือก และพื้นกระจกใสให้แวะเล่น แวะถ่ายรูปกันไปครับ

ตอนผมไปมันจะงงๆตรงทางออกนิดหน่อย คือคนกลุ่มนึงจะเดินกลับทางเดิมครับ แต่ปลายทางมันก็มีอุโมงค์พากลับไปสถานี เราก็งงว่าทำไมไม่ไปทางนั้นกัน ซึ่งเราก็เข้าอุโมงค์ไปได้ปกติ แต่ประเด็นมันอยู่ตอนออกจากอุโมงค์ครับ คือมันไม่ถึงสถานีซะทีเดียว เรายังต้องเดินลุยหิมะอีกนิดหน่อยซึ่งมันลื่นมหาลื่นมากๆ แทบจะต้องคลานไป เพราะถ้าล้มกลิ้ง ก็ได้ลงไปพร้อมๆกับคนที่เล่นสกีนี่แหละ ก็สนุกดี(มั้ง?) ตอนนั้นกลัวล้มกล้องกระแทกพื้นมากกว่าชีวิตตัวเองอีก

จบจากสถานี Birg เราก็ลงมายังหมู่บ้าน Mürren ครับ ตามปกตินักท่องเที่ยวก็จะนั่ง Cable car ต่อลงไปยาวๆ จนถึงข้างล่าง และนั่งรถบัสกลับเมือง Lauterbrunnen

แต่พวกเรามีเวลาเหลือเฟือเลยเปิด Route พิเศษสำหรับคนว่าง คือการเดินเท้าจากหมู่บ้าน Mürren ลงไปยังสถานี Gimmelwald ซึ่งเป็นครึ่งทางก่อนที่จะถึงป้ายรถกลับเมือง แล้วค่อยนั่ง Cable car ลงต่อ ซึ่งทำให้เราได้มีเวลาเดินเล่นชมวิวในหมู่บ้านอย่างเต็มที่ และเส้นทางเป็นทางเดินลงตลอดจึงไม่เหนื่อยเลย แฮปปี้สุดๆ

ระยะเดินทั้งหมดประมาณชั่วโมงนิดๆ อยู่ที่เราแวะถ่ายรูปเล่นบ่อยแค่ไหนด้วย ระหว่างทางเราก็จะเห็น Cable car วิ่งผ่านไปเป็นระยะๆครับ เส้นทางช่วงหลังๆเราจะออกนอกตัวหมู่บ้านมาแล้ว จะเป็นธรรมชาติสองข้างทาง มีบ้านฟาร์มเล็กๆรายทาง เจอเพื่อนๆเต็มไปหมดครับ

และแล้วเราก็มาถึงสถานี Gimmelwald รอ Cable Car มารับลงไปข้างล่าง ซึ่งก็เป็นรอบเกือบท้ายสุดแล้ว คนที่จะเที่ยวตามเส้นทางนี้ต้องตรวจดูรอบ Cable Car และรถบัสดีๆนะครับ ต้องลงไปให้ทันรถรอบสุดท้าย ไม่งั้นได้เดินกลับเมืองกันแน่ๆ

วาร์ปกลับมาเมือง เรามาลอง Fondue กันอีกรอบ โดยคราวนี้ไปลองที่ร้านอาหารของ Hotel Steinbock ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ โดยเราสั่ง Fondue ขนมปังกับชีส มาทานคู่กับพิซซ่า ในช่วง Low season แบบนี้ต้องหาร้านอาหารเตรียมไว้ดีๆนะครับ เพราะในเมืองเล็กๆร้านส่วนใหญ่จะยังไม่เปิดกัน

และก่อนจบวันนี้ ผมแวะไปถ่ายภาพเมืองตอนกลางคืนรอบนึง ที่นี่จะส่งไฟให้ Staubbach Waterfall ด้วยครับ


Day III: Through The Snowy Mountains


และแล้วก็มาถึงวันที่ 3 ของการเดินทาง แผนวันนี้เดิมจะใช้เวลาครึ่งวัน แชร์กับการเที่ยวยอดเขา Schilthorn เมื่อวาน แต่เพราะเราไม่ได้เดิน Trail ที่ Zermatt ทำให้เรามีเวลาพอที่จะอยู่เที่ยว Schilthorn ทั้งวัน และมีเวลาเหลืออีกวันเต็มๆ

ในวันนี้เราจะไปเที่ยวเมือง Gimmelwald ครับ โดยปกติเมืองนี้จะเป็นจุดพักสำหรับคนที่จะไปเที่ยวยอดเขา Jungfrau อันโด่งดัง แต่ทริปนี้เราไม่ได้กะจะไปเนื่องจาก Route นี้มันแพงมาก ตัว Swiss Pass เองก็จะใช้ลดราคาได้แค่ 25% ทำให้แค่ทริปขึ้นลงยอดเขา Jungfrau จะต้องเสียค่าตั๋วรถไฟไปร่วมครึ่งหมื่นเลยทีเดียว รอกลับไทยไปเก็บตังก่อน แล้วจะกลับมาแก้มือนะครับ

ที่ๆเราจะไปวันนี้คือยอดเขาอีกลูกนึงชื่อว่า First ครับ เป็นสกีรีสอร์ตชื่อดัง ขึ้นชื่อเรื่องวิวบน Cable Car ที่สวยงาม และมี Cliff walk เลียบหน้าผาที่โด่งดังอีกแห่งนึง ในหน้าร้อนก็จะมี Trail ให้เดินอีกหลายแห่งครับ แต่เส้นทางนี้ไม่ฟรีนะครับ Swiss Pass จะลดได้ 50% แต่ข้อดีคือค่า Cable Car ไม่แพงครับ ไปกลับแค่ 30 CHF เท่านั้นเอง

การเดินทางจาก Lauterbrunnen ไป Gimmelwald ใช้ Swiss Pass ได้ฟรีครับ เรานั่งรถไฟไปแต่เช้าไปหาข้าวเช้ากินกันที่ Gimmelwald ครับ ไปเจอร้านเบเกอรี่น่ารักๆชื่อว่า Ringgenberg มีชุดอาหารเช้าเป็นกาแฟ ขนมปังต่างๆ และครัวซองต์ครับ

เมือง Gimmelwald จะมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดๆ คล้ายๆ Zermatt ที่ไม่ Hertiage มีร้านค้าและโรงแรมเต็มไปหมด รถทัวร์วิ่งกันขวักไขว่ นักท่องเที่ยวทั้งมาเที่ยว Jungfrau และมาเล่นสกีตามรีสอร์ตรอบๆใส่เสื้อหนาวสีสันสดใสเดินกันเต็มเมือง

พออิ่มกันแล้ว ก็เดินไปขึ้น Cable Car ไปยอดเขา First กัน ตัวสถานีจะชื่อว่า Grindelwald (Firstbahn) ต้องขึ้นให้ถูกสถานีนะครับ ไม่งั้นได้ไปโผล่ยอดเขาอื่นแน่ๆ ซึ่งวิวจาก Cable Car นี้สวยไม่เสียชื่อสวิตเซอร์แลนด์ครับ เสียดายตรงมันเป็น Cable Car คันเล็กนั่งได้ 4 คน ทำให้ขยับไปชมวิวลำบาก และกระจกก็ทึบทำให้ถ่ายรูปมาสีไม่ค่อยสวย แต่มองด้วยตาก็สวยเกินพอแล้วครับ

พอขึ้นมาถึงยอด First ก็จะเจอลานสกีโล่งๆกว้างๆครับ เห็นวิวยอดเขาข้างๆสวยงามเลยทีเดียว โดยนอกจากลานสกีแล้ว ก็จะมี Observation Deck ที่มีร้านขายของฝากและร้านอาหารต่างๆ ซึ่งจะเชื่อมกับ Cliff walk ครับ

โดยเราตรงไปเดิน Cliff walk ก่อนเลย จะคล้ายๆกับ Cliff walk ที่ Schilthorn ครับ แต่จะไม่มีพวกด่านผจญภัยให้เล่น เน้นเดินดูวิว มีสะพานแขวนให้ข้าม มีป้ายบอกข้อมูลเป็นระยะๆ ว่ายอดเขานี้ชื่ออะไร ข้างล่างเป็นเมืองอะไร ตอนผมไปหมอกลงเยอะหน่อย เลยเห็นวิวไม่ค่อยชัดครับ

และปลายสุดจะมี Platform กระจกยื่นออกไปให้ถ่ายรูปกับวิวด้านล่างครับ ถ้าไปตอนคนเยอะๆน่าจะต้องต่อคิวกันนานหน่อยครับ

หลังจากเดินเล่นจนหนำใจ (และหนาว) แล้ว พวกเราก็กลับลงมาที่เมือง Gimmelwald ครับ โดยเราจะกลับเมือง Lauterbrunnen อีกทางนึง โดยจะเป็นเส้นที่ผ่านให้เราแวะเมือง Wangen ที่เราเห็นไกลๆเมื่อวานด้วยครับ

แต่ดันมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างทางครับ คือเราขึ้นรถไฟคันที่ขึ้นว่าไป Wangen โดยไม่ทันดูว่ามันไม่ใช่สายที่เราตั้งใจจะไป ซึ่งผมก็สงสัยๆ ตั้งแต่นั่งไปสักพักแล้วว่าวิวมันสวยผิดปกติ แถมรถไฟยังพาเราขึ้นภูเขาหิมะไปเรื่อยๆครับ จนสุดท้ายพาเรามาหยุดแวะที่สถานี Kleine Scheidegg ซึ่งเป็นสถานีแวะเปลี่ยนรถไฟสำหรับขึ้น Jungfrau ครับ ซึ่งเราพลาดขึ้นผิดขบวนไป สุดท้ายต้องนั่งอีกขบวนลงไป Wangen แทนซึ่งถึงวิวจะสวย แต่ก็ใช้เวลานานกว่า และต้องเสียค่ารถไฟด้วยเพราะเส้นทางนี้ Swiss Pass ลดให้แค่ 25% ครับ โดนไปเลยคนละ 31 CHF ครับ

หลังจากนั่งรถฝ่าภูเขาสูงไปหลายชม. เราก็มาถึงเมือง Wangen ซะทีครับ ซึ่งเมืองนี้จะอยู่บนหน้าผาเหนือเมือง Lauterbrunnen พอดี จะเหมือน Zermatt ตรงที่จะเข้าถึงได้โดยรถไฟกับรถไฟฟ้าเท่านั้นครับ ตัวเมืองจะเล็กๆ อาคารไม่เยอะเป็นโรงแรม และร้านขายของที่ระลึกซะส่วนใหญ่

ไฮไลต์ของเมืองนี้คือวิวล้วนๆครับ วิวที่มองลงไปยังเมือง Lauterbrunnen นั้นสวยมากๆ จริงๆน่ามานอนพักที่เมืองนี้สักคืน วิวตอนกลางคืนน่าจะสวยมากแน่ๆ

การจะลงไปเมือง Lauterbrunnen ก็จะมีรถไฟชมวิวพาไต่เขาลงไปครับ เป็นรถไฟแบบคลาสสิก วิ่งช้าๆ ชมวิวไปเรื่อยๆ ใช้ Swiss Pass ขึ้นได้ฟรีครับ

กิจกรรมสุดท้ายของวันนี้คือพวกเราแวะกลับไปเมือง Interlaken ครับ ไปหาข้าวเย็นทาน และซื้อขนม ของฝากต่างๆ เพราะนี่จะเป็นคืนสุดท้ายในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว


Day IV: White Railway


วันนี้งานหลักของเราคือการเดินทางครับ เราจะบอกลาสวิตเซอร์แลนด์ และเดินทางเข้าสู่ฝรั่งเศสกัน โดยจะไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหนยกเว้นตอนรอต่อรถไฟที่เมือง Basel และเดินเล่นตอนเย็นในกรุงปารีสครับ

การไปยังเมือง Basel ก็ไม่ยากครับ เราจะนั่งรถไฟยาวๆ ไปจาก Lauterbrunnen ดังนั้นวันนี้ควรจะเป็นวันที่เราได้นั่งดูวิวบนรถไฟสบายๆ แวะเดินเล่นหาอะไรกินใน Basel และไปเดินเล่นต่อที่ปารีสแบบสบายๆ

แต่ชีวิตจริงไม่ใช่แบบนั้น เพราะนี่คือภาพที่เห็นเมื่อเรามองออกไปนอกหน้าต่างตอนเช้าครับ

หิมะตกมาแบบไม่มีเตือน เปลี่ยนเมือง Lauterbrunnen ที่เป็นสีขาวให้กลายเป็นสีขาวภายในหนึ่งคืน จริงๆถ้าเป็นวันว่างพวกเราคงลงไปปั้นสโนวแมนเล่นแล้ว แต่พอเป็นวันเดินทาง ผมก็จะเก็บความรู้สึก **หายเบาๆไว้ในใจ เพราะหิมะแบบนี้แหละ ตัวดีเลยที่ทำให้การเดินทางต่างๆหยุดชะงัก รถไฟดีเลย์ และอื่นๆอีกมากมาย

แถมด้วยถ้าคุณนำกระเป๋าลากมา หิมะก็จะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตของคุณ

เราพากันมาถึงสถานีรถไฟกันจนได้พร้อมกับหิมะหลายกิโลกรัมที่ติดอยู่ตามตัว ลำดับถัดมาต้องคอยลุ้นให้รถไฟมารับเราได้ตามเวลา ซึ่งก็ยังถือว่าโชคดีที่รถไฟยังวิ่งได้ แค่ Delay นิดหน่อยเท่านั้นเอง

ตอนนี้ตลอดสองข้างทางที่เคยเป็นสีเขียวมาโดยตลอด ถูกย้อมเป็นสีขาวไปเรียบร้อยแล้ว เหมือนอยู่คนละโลกกับเมื่อวานเลยครับ

จนกระทั่งเรามาถึงสถานี Zweilütschinen ชื่อสถานีว่ายาวแล้ว แต่เราต้องยืนรอรถไฟที่สถานีนี้ยาวกว่า เพราะ ณ ตอนนี้ หิมะตกหนักจนรถไฟหยุดวิ่งแล้ว ทางสถานีประกาศว่าจะรีบจัดหารถทัวร์มารับเราไปส่งสถานีที่ยังวิ่งได้ต่อไป ซึ่งเรารออยู่ที่สถานีนี้ร่วมชม. โดยมีแค่หลังคาสถานีคอยบังหิมะให้ โชคดีที่ใส่อุปกรณ์กันหนาวกันมาเต็มไม่งั้นมีไม่สบายกันแน่นอน

สุดท้ายก็ไม่มีรถทัวร์มารับเพราะทางการรถไฟสามารถเคลียร์หิมะได้สำเร็จ และส่งรถไฟขบวนใหม่มารับเราครับ ซึ่งโชคดีที่เราออกเดินทางกันแต่เช้า ทำให้การ Delay เหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสี่ยงต่อการตกรถไฟไปปารีสในตอนเย็นครับ

เรามาถึง Basel ตอนเที่ยงๆ โดยต้องเดินทางต่อตอนบ่ายสองกว่าๆครับ หักเวลาฝากของ และทานข้าวเที่ยงไป เรามีเวลาเดินเล่นใน Basel ชั่วโมงนิดๆเท่านั้น บวกกับสภาพอากาศตอนนี้ไม่ดีสักเท่าไหร่ นอกเมืองหิมะตกก็จริง แต่พอเข้ามาในเมือง มันกลายเป็นหิมะผสมฝน ซึ่งยิ่งทำให้หนาวครับ เราจึงได้แค่เดินชมๆเมืองนิดเดียว ก่อนจะเข้าไปหลบหนาวในสถานีรถไฟ

และแล้วก็ถึงเวลาบอกลาสวิตเซอร์แลนด์จริงๆซะที หลังจากนี้พวกเราจะนั่งรถไฟของ Euro Star คันนี้ ตรงเข้ากรุงปารีสยาวๆครับ โดยนี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปฝรั่งเศสเช่นกัน โดยนี่นับเป็นวิวแรกของประเทศฝรั่งเศสที่ผมได้เห็นครับ


Part II: La Ville-Lumière


กรุงปารีสจะแบ่งเมืองเป็นเขตๆ (Arr. - Arrondissements) มีทั้งหมด 20 เขต โดยมีเขต 1 อยู่ในสุดติดแม่น้ำ Seine แล้วค่อยๆวนเรียงกันเป็นก้นหอยไปเรื่อยๆ แต่ละเขตก็จะมีชื่อเรียกเป็นแลนมาร์คของเขตนั้นๆ ที่เราคุ้นๆกันก็น่าจะเป็น 1st - Lourve, 4th - Hôtel-de-Ville, 5th - Panthéon,7th - Palais-Bourbon, 8th - Élysée และ 9th - Opéra

Credit: TripSavvy / Lisa Fasol

โดยที่เที่ยวหลักๆ จะอยู่ในเขต 1 - 8 ครับ ยิ่งใกล้ที่เที่ยว ห้างร้านจะเยอะ ของกินเยอะ แต่ก็จะยิ่งพลุกพล่าน ที่พักแพง ถ้าออกนอกเขต 9 ไปก็จะเริ่มถูกลง แต่ก็จะเงียบลงตามไปด้วย ซึ่งอาจจะเสี่ยงอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวครับ ถ้าอยากประหยัดค่าที่พัก ต้องหาข้อมูลดีๆว่าเขตไหนปลอดภัยครับ แต่เราเองก็ต้องเที่ยวอย่างมีสติด้วยนะครับ

อีกเรื่องนึงที่ต้องพิจารณาในการเลือกที่พักคือการเดินทาง ในกรุงปารีสจะใช้รถไฟใต้ดินที่เรียกว่า Metro เป็นหลักครับ จะมีแค่บางที่เช่น พระราชวังแวร์ซายที่จะต้องใช้รถไฟชานเมืองเรียกว่า RER ในการเดินทาง

แต่ไม่ว่าจะเดินทางแบบไหนก็จะใช้ตั๋วประเภทเดียวกัน เรียกว่า Paris Metro Ticket t+ ซึ่งสามารถใช้ขึ้น Metro ในกรุงปารีส ได้ทุกเส้นทาง และขึ้นรถไฟชานเมือง RER ได้ในโซน 1 ครับ ถ้าจะนั่งข้ามโซนเช่นไป พระราชวังแวร์ซาย จะต้องซื้อตั๋วแยกเพิ่มไปครับ

รายละเอียดโซน ตั๋ว และราคา สามารถตรวจสอบได้ตามเว็บนี้ครับ เห็นว่าซื้อตั๋วเหมาทีละสิบใบจะราคาถูกที่สุดครับ

https://parisbytrain.com/paris-metro-tickets/

https://parisbytrain.com/wp-content/uploads/2013/01/rer-transilien-train-zone-map.pdf

ข้อควรระวังเกี่ยวกับตั๋ว T+ นะครับ ช่องเสียบตั๋วของ Metro ของกรุงปารีสจะเป็นระบบ Hornor system นั่นคือเราจะเสียบตั๋วเข้าหรือไม่เสียบก็สามารถลงได้ครับ ทีนี้มันก็มีโอกาสที่เครื่องที่รับตั๋วเราเข้าไปมันจะเบลอ แล้วไม่แสตมป์เวลาในตั๋วให้กับเราครับ ซึ่งผมก็เจอเคสนี้ ตอนเสียบเข้าไปไม่ได้ดู เสียบเสร็จก็เดินต่อไปเลย ทีนี้ขาขึ้นเจอพนักงานสุ่มเช็คตั๋วครับ ซึ่งเราก็ยื่นตั๋วให้พนักงานเช็คตามปกติแต่เนื่องจากเครื่องมันเบลอตั๋วนั้นเลยเป็นตั๋วเปล่าซึ่งผมเองก็พยายามบอกว่าผมใส่เครื่องลงจริงๆ แต่ทางพนักงานก็ไม่ยอมครับ เข้าใจว่าเจอเคสคนโกงบ่อยๆเลยค่อนข้างเคร่ง สรุปสุดท้ายโดนปรับไป 35 ยูโรครับ แพงกว่าค่าตั๋ว Metro ทั้งทริปรวมกันเลย โกรธก็โกรธ แต่ก็เข้าใจพนักงานเค้าครับ เพราะฉะนั้นระวังเรื่องนี้กันด้วยนะครับ เช็คให้ดีว่าตั๋วผ่านเครื่องอย่างถูกต้องครับ

ประมาณสี่โมงรถไฟก็พาเรามาถึงกรุงปารีสครับ จริงๆควรจะถึงเร็วกว่านี้แต่ มี Delay ระหว่างทางจากสาเหตุบางอย่าง ซึ่งทาง SNCF ก็ชดเชยให้เราเป็นเครดิตโดยไม่ต้องทำเรื่องขอเลยครับ โดยเราลงรถไฟที่สถานี Paris-Gare-de-Lyon และใช้ Metro เดินทางต่อไปยังที่พักที่อยู่ในเขต 2 ครับ

ที่พักคืนที่เหลือในปารีสชื่อว่า Hotel Montpensier เป็นโรงแรมธรรมดาทั่วไป แต่ที่ตั้งของโรงแรมสะดวกต่อการเดินทางมากๆครับ อยู่ใกล้ๆกับ Metro ดึกๆ ไม่เปลี่ยว สามารถเดินเท้าไป Galerie de Valois และ Louvre Museum ได้ ติดๆกันมีโซนร้านอาหาร และที่ช้อปปิ้งด้วยครับ ข้อเสียเลยคือราคานั่นเอง เพราะใกล้ที่เที่ยว ราคาจะแพงตาม ตกคืนละ 2 พันบาทเลยทีเดียว

หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว เราก็แวะไปเดินดูหอไอเฟลตอนหัวค่ำกันซะหน่อย จริงๆเราสามารถมองเห็นหอไอเฟลได้แทบจะทุกมุมในปารีสเลยครับ แต่จุดที่คนชอบไปกันเยอะๆคือฝั่งอาคาร Palais de Chaillot ซึ่งจะเห็นหอไอเฟลจากมุมสูง และฝั่งปลายสุดของสวน Champ de Mars ที่จะมีพื้นหญ้าเป็น Foreground ซึ่งเป็นจุดที่ผมแวะมาถ่ายไฟเป็นจุดแรกครับ

หอไอเฟลจะมีการเปิดไฟโชว์เป็นเวลานะครับ โดยจะเริ่มเปิดตอนพระอาทิตย์ตกทุกชั่วโมงตั้งแต่ช่วงประมาณสองทุ่มจนถึงเที่ยงคืนครับ สำหรับช่างภาพสาย Stock ภาพหอไอเฟลตอนจัดแสดงไฟนำไปขายไม่ได้นะครับ นับเป็นงานอาร์ต จะติด Copyright ครับ

จริงๆหลังจากนั้นผมก็มีไปฝั่ง Palais de Chaillot  ด้วยครับ แต่คนเยอะมากๆ เลยยังไม่ถ่ายรูปดีกว่า ไปดูวิวเฉยๆ กะว่าจะกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าจะได้ไม่มีคนครับ


Day V: The City of Light


เช้าวันถัดมาเรากลับไปยัง Palais de Chaillot ตั้งแต่เก่อนพระอาทิตย์ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยว และชาวเมืองมาเดินเล่นชมวิวกันเต็มไปหมด ในมุมนึงผมก็จะเศร้านิดๆ อดได้มุมสวยๆ โล่งๆ ของหอไอเฟล แต่อีกมุมผมก็จะชอบมากที่ได้เก็บภาพวิถีชีวิตของชาวเมืองแบบนี้ เรียกว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดของการเดินทางเลยก็ว่าได้ครับ

ช่วงที่สวยที่สุดผมยกให้ช่วงสายๆ หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นมาสักพักนึงแล้ว กรุงปารีสยามเช้าเป็นอะไรที่สวยงาม และสดใสมากๆ รวมถึงหอไอเฟลที่ตั้งตระหง่านตรงกลางเป็นจุดเด่นให้กับเมืองนั้นสมศักดิ์ศรีการเป็นแลนด์มาร์คของยุโรปจริงๆครับ

อีกมุมนึงที่แปลกตาของ Palais de Chaillot อยู่ตรงสระน้ำด้านล่างของอาคาร จะมีแนวสระน้ำเป็นเส้นนำสายตาครับ

หลังจากชมวิวจนหนำใจแล้ว เราก็ไปหาอาหารเช้าทานแถวๆนั้น เป็นชุดครัวซองต์กับกาแฟธรรมดา (8 ยูโร) เป็นอาหารเช้าพื้นฐานของแถบนี้ครับ โดยผมวนรอบหอไอเฟล และผ่านไปตรงสวน Palais de Chaillot ที่แวะไปเมื่อวานครับ ซึ่งแถวๆนั้นจะมีร้านอาหารอยู่หลายร้านครับ

พออิ่มแล้วก็เดินเท้ากันต่อ แผนวันนี้คือการเที่ยวรอบๆกรุงปารีสแบบสบายๆครับ จะใช้ Metro ในการเดินทางซะส่วนใหญ่ โดยที่หลักๆที่ไปมีดังนี้ครับ

1. Musée de l'Armée

2. The Cathedral of Notre-Dame de Paris

3. Boat Tour at Seine River

4. Champs-Élysées

โดยจุดแรก Musée de l'Armée (The Royal Army Museum) จะอยู่ไม่ห่างจาก Palais de Chaillot และ ร้านอาหารเท่าไหร่ครับ เราจึงแวะเดินผ่านไปดูอาคารด้านหน้าเฉยๆ และเดินต่อไปลง Metro ครับ

เราลง Metro สถานี Saint-François-Xavier ไปขึ้นที่สถานี Hôtel de Ville เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการกรุงปารีสที่ใช้ชื่อเดียวกัน เป็นอาคารเก่าอายุกว่า 600 ปีครับ

แต่สถานที่ๆเราจะไปต่อจากนี้ อายุมากกว่า  Hôtel de Ville เกือบ 300 ปีครับ นั่นคือวิหาร Notre-Dame นั่นเองครับ (The Cathedral of Notre-Dame de Paris) โดยเราเดินข้ามแม่น้ำจากสถานี Hôtel de Ville ก็จะพบเกาะ Île de la Cité ซึ่งเป็นที่ตั้งของตัววิหารแล้วครั

The Cathedral Notre-Dame de Paris เป็นวิหารคู่กรุงปารีสมายาวนานครับ เป็นแลนด์มาร์คประจำเมืองคู่กับหอไอเฟลที่อายุน้อยกว่ามาก จุดที่รู้สึกว่าเด่นมากๆของวิหารแห่งนี้คือ หอคอยคู่ทิศเหนือ-ใต้ที่ตั้งตระหง่านต้อนรับผู้มาเยือน น้าต่างกุหลาบทรงกลมขนาดใหญ่ทั้งสี่ทิศ ตัววิหารนั้นสูงมากๆ โดยเฉพาะด้านในเพดานสูงโปร่ง มีช่องให้แสงส่องเข้ามาอย่างสวยงามครับ และสุดท้ายเสาค้ำยันที่ยื่นออกมาด้านข้างวิหารที่เรียกว่า flying buttress

และอย่างที่ทุกท่านทราบกัน ประวัติศาสตร์ 850 ปีของวิหารแห่งนี้ได้จบลงหลังจากผมไปเยือนเพียง 10 วันเท่านั้นเอง ในวันที่ 15 เมษายน 2019 เกิดเพลิงไหม้ระหว่างการซ่อมแซมวิหาร ทำให้หลังคาวิหารถล่มลงมาทั้งหมดครับ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสถึงกับกล่าวว่า “ ส่วนนึงของเราได้ถูกไฟเผาผลาญไปแล้ว “

แต่หอคอยทิศเหนือ ทิศใต้ และหน้าต่างกุหลาบไม่ได้รับความเสียหาย และประเทศฝรั่งเศสก็เร่งซ่อมแซมตัววิหารอยู่ครับ โดยตอนแรกวางแผนไว้ให้เสร็จใน 5 ปี แต่ตอนนี้น่าจะช้ากว่านั้นเพราะผลกระทบของโควิด 19 ครับ

ออกจากวิหารก็เที่ยงพอดีครับ เราจึงข้ามแม่น้ำมาอีกฝั่ง แวะทานอาหารฝรั่งเศษที่ร้านอาหารที่ชื่อว่า Cafe Panis ซึ่งอยู่ติดสะพานพอดี เราจะเห็นวิววิหารระหว่างทานอาหารได้อย่างชัดเจนครับ โดยนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองทานอาหารฝรั่งเศสจริงจัง เลยลองสั่งมาสองเมนูคือ หอย Escargot และ Salmon Tartare ครับ โดยอันแรกมีความคล้ายๆหอยหวานบ้านเรานิดหน่อย ส่วน Tartare เป็นเนื้อดิบผสมไข่ และหัวหอมครับ กินแล้วสดชื่น มีกลิ่นหอมๆของเนื้อปลา และเครื่องปรุง อร่อยดีครับ มื้อนี้ตกอยู่ที่ประมาณ 17 ยูโรครับ

ถัดจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นรอบๆเกาะ Île de la Cité และแวะลงเรือชมแม่น้ำ Seine ของโดยเรือ Vedettes du Pont Neuf ครับ จุดจอดจะอยู่ทางตะวันตกสุดของเกาะข้างๆอนุสาวรีย์พระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 ครับ ค่าเรือประมาณคนละ 14 ยูโรครับ เรือจะพาเราชมวิวเลียบแม่น้ำไปยาวๆตรงถึงบริเวณหอไอเฟลที่เราไปเดินเมื่อเช้า และวกอ้อมกลับมาผ่านด้านหลังของวิหาร Notre-Dame กลับมาจอดที่เดิมครับ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงครับ เรานั่งเรือตอนบ่ายๆ ฟ้าก็เลยจะขาวๆ ย้อนแสงหน่อยๆ จริงๆถ้ามาล่องเรือตอนพระอาทิตย์ตกได้น่าจะสวยงามมากๆเลยครับ

จุดสุดท้ายของวันนี้คือพวกเราจะนั่ง Metro ไปแวะเดินเล่นที่ถนน Champs-Élysées สวรรค์ของเหล่านักช้อป และม๊อบต่างๆของกรุงปารีสครับ โดยถนนแห่งนี้ปกติจะมีนักท่องเที่ยวเดินช้อปปิ้งกันเต็มไปหมด แต่บางช่วงก็จะกลายเป็นที่ชุมนุมประท้วงต่างๆ คนฝรั่งเศสค่อนข้างซีเรียสเรื่องสิทธิเสรีภาพมากๆครับ ถ้ารัฐบาลบริหารอะไรไม่ดีไม่เหมาะสม ก็จะเกิดการชุมนุมประท้วงได้ง่ายๆครับ

อย่างตอนผมไปก็จะอยู่ในช่วงชุมนุมของกลุ่ม Mouvement des gilets jaunes (เสื้อกั๊กเหลือง) ที่น่าจะเรียกร้องเรื่องการขึ้นภาษีน้ำมันครับ ซึ่งเค้าก็จะประท้วงเป็นเวลาทุกๆวันอาทิตย์ ช่วงเวลาอื่นเราก็สามารถมาเที่ยวถนนแห่งนี้ได้ตามปกตินะครับ แต่ก็จะเห็นสภาพความรุนแรงบ้างประปราย เช่น ร้านค้ากระจกแตก รอยกระสุน และจะสังเกตว่าร้านทุกร้านจะปิดประตูเหล็กตอนปิดร้านเพื่อของเสียหายครับ

วันที่ผมไปไม่มีประท้วงครับ คนก็จะแน่นถนนหน่อย เรียกว่าถ้าไม่ใจรักการช้อปปิ้ง ก็หมดแรงเดินกันได้ง่ายๆเลย

ปลายสุดของถนน Champs-Élysées จะเป็นที่ตั้งของ the Arc de Triomphe หรือที่พวกเราเรียกกันว่าประตูชัยนั่นเองครับ โดยเราสามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้นะครับ จะเสียค่าเข้า 12 ยูโร แต่ตอนผมไปไม่ได้ขึ้น เพราะฟ้ามันหม่นมาก และเบียดคนมาไกลมาก เริ่มหมดแรงครับ เลยดูจากด้านล่างแทนแล้วกัน

เพราะหมดแรงเลยไปแวะหาขนมกินครับ ลองหาร้านที่เป็น Traditional ของฝรั่งเศสก็มีเปิดที่ไทยแล้วทั้งนั้น แต่ไม่เป็นไรครับ ขนมก็คือขนม ทานที่ไหนก็อร่อย โดยเฉพาะเวลาหิว

เราจึงแวะไปชิมมาการองของร้าน Ladurée ซึ่งสาขา Champs-Élysées ใหญ่มากๆ มีหลายรสสุดๆ แต่คนก็เยอะตามไปด้วยครับ อีกร้านที่แวะไปทานก็คือ Butterfly pie ของ Paul ครับ ทั้งสองร้านมีสาขาในไทยนะครับ ใครอ่านแล้วอยากทานบ้าง เปิด Grabfood ได้เลยครับ

ขอดักเพื่อนๆเจน X, Y หน่อย มีใครเคยใช้มือถือค่ายนี้บ้างครับ

ที่สุดท้ายของวันขอปิดด้วยหนึ่งในขุมทรัพย์ของกรุงปารีส นักท่องเที่ยวชาวไทยทั่วไปอาจจะเฉยๆกับสิ่งนี้ แต่สำหรับนักเรียนไทยอังกฤษ หรือฝรั่งเศสจะโหยหาสิ่งนี้เป็นอย่างมากนั่นคือ ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่รสชาติเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่น โดยร้านที่พวกเราไปอยู่ไม่ไกลจากที่พักมาก(1st Arr.) ชื่อว่า Sanukiya ครับ เป็นร้านที่ได้ชื่อว่าอุด้ง อร่อยที่สุดในปารีส และมีชื่ออยู่ในมิชชิลินไกด์ด้วยครับ

ส่วนตัวผมนั้นไม่ชอบอุด้ง แต่เมนูอื่นก็อร่อยไม่แพ้กันครับ ทิ้งร้านอาหารญี่ปุ่นในเมือง Leeds ที่อังกฤษไม่เห็นฝุ่นเลย

จริงๆเย็นนี้มีแผนจะไปถ่ายไฟเล่นอีกนิดหน่อยครับ แต่มีลืมของ (ที่จริงๆไม่ได้ลืม) ก็เลยวิ่งไปวิ่งมาวุ่นวายหน่อยครับ หมดแรง คืนนี้เลยขอพักผ่อนก่อนนะครับ


Day VI: On The Street of Paris


เข้าสู่วันที่ 6 ของการเดินทาง โดยวันนี้เราเริ่มต้นด้วยการเที่ยวรอบๆที่พักของเราครับ โดยที่เที่ยวที่เรียกว่าติดกับที่พักเราเลยก็คือ Domaine National du Palais-Royal หรือก็คือ Royal Palace เก่าครับ ถ้าใครนึกไม่ออกมันคือลานที่มีแท่งเสาลายทางเยอะๆนั่นแหละ ที่นี่ห่างจากที่พักเราไม่ถึง 5 นาทีครับ เลยมาเที่ยวได้ตั้งแต่เช้า หลบนักท่องได้สบายๆครับ

ถ่ายรูปเล่นกันเสร็จ เราก็เดินเล่นเลียบแนวถนนโดยตรงไปยังเขต 9th หรือเขต Opéra นั่นเองครับ โดยแถบนี้มีร้านค้าซ่อนอยู่ตามซอยต่างๆ เราจึงเดินเล่นดูร้านเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ยาวจนถึงห้าง Galeries Lafayette สาขา Flagship ที่ถนน Haussmann นั่นเองครั

โดยห้าง  Galeries Lafayette นี้สามารถขึ้นไปชมวิวชั้นดาดฟ้าได้ด้วยนะครับ ซึ่งก็เห็นหอไอเฟลอีกแล้ว

เราแวะทานข้าวเที่ยงๆแถวๆ Galeries Lafayette จากนั้นเราก็ลง Metro ต่อไปยังสถานี Place Monge ซึ่งเป้าหมายของเราคือ วิหารแพนธีออน(Pantheon) หรือที่ชาวฝรั่งเศสเรียกว่า พ็องเธอง(Panthéon) ซึ่งสร้างเลียนแบบวิหารแพนธีออนของกรุงโรมครับ โดยขึ้นมาจาก Metro เราจะต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 500 เมตรนะครับ

ย่านนี้จะอยู่ในเขต 5th Arr.  ที่มีชื่อว่า Latin Quarter เป็นที่ตั้งของ Sorbonne university และวิทยาลัยอื่นๆอีกมากมาย ทำให้เขตนี้เต็มไปด้วยนักศึกษา อาคารเรียน และร้านหนังสือต่างๆ รวมถึงคาเฟ่ต่างๆ และสตรีทอาร์ตก็จะเห็นได้เยอะมากในย่านนี้ครับ

ตัววิหาร Panthéon ก็จะถูกห้อมล้อมไปด้วยนักศึกษาเช่นกันครับ วันที่ผมไปแดดค่อนข้างดีด้วย ชาวปารีสจึงออกมานั่งรับแดดกันเต็มไปหมด

ภายในวิหารแห่งนี้จะเป็นหินอ่อนสีขาวเกือบทั้งหมดครับ เป็นแนวโรมันตามต้นฉบับเลย

ออกจากวิหารมาเราก็จะเดินวนกลับไปสถานี Metro เดิมครับ แต่คราวนี้จะลองอ้อมไปอีกทางนึง โดยวิหาร Panthéon จะตั้งอยู่บนเนิน ทำให้เรามองลงไปเห็นวิวกรุงปารีส และหอไอเฟล (อีกแล้ว)

โดยขากลับเราผ่าน Cafe และเหล่านักศึกษามากมายครับ ผ่านจัตุรัสวงเวียนที่ตลอดเส้นรอบวงคือร้านอาหาร  มีนักศึกษานั่งดื่มกาแฟตากแดดหน้าร้านเเน่นขนัดไปทุกร้าน เดินสวนกับชาวปารีสขี่จักรยานกลับบ้านโดยมีแท่งขนมปังฝรั่งเศสโผล่ออกจากเป้หลังเต็มไปหมด เป็นบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาสุดๆครับ

กลับแวะกลับมาที่โรงแรมเพื่อพักผ่อน เก็บของ และทานข้าวเย็นครับ โดยเย็นนี้เราจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ Louvre กัน โดยทุกวันเสาร์ตอนหกโมง ทางพิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าชมฟรีจนถึงสามทุ่มครับ (ตอนนี้อาจจะเปลี่ยนนโยบายไปแล้ว ต้องเช็คดีๆนะครับ)

เราจึงรีบกลับมาทานข้าวเย็นแถวๆโรงแรมรอครับ ร้านชื่อว่า Bistrot Richelieu มื้อนี้ผมสั่ง French Lamb Shoulder Confit (Epaule d'Agneau) ได้โอกาสลองเมนู Confit ในประเทศฝรั่งเศสซะที มื้อนี้ 18.5 ยูโรครับ

ถามว่าผมหาร้านอาหารต่างๆจากไหน ส่วนใหญ่ผมจะดูจาก App Yelp และ Foursquare โดยหลักๆก็เลือกร้านที่อยู่ใน Top 10 ของย่านนั้นครับ

พอใกล้หกโมงเย็น เราก็ไปต่อคิวเข้าพิพิธภัณฑ์ Louvre กันครับ ซึ่งคิวยาวมากกก แต่พอพิพิธภัณฑ์เปิดแถวก็ไหลไปเร็วอยู่ครับ ระหว่างรอเราก็ถ่ายรูปรอบๆไปพลางๆ

พิพิธภัณฑ์ Louvre คงไม่ได้อธิบายอะไรมากครับ ความประณีตงดงามของผลงานแต่ละชิ้น ความยิ่งใหญ่อลังการ แทบอยากจะเสียเงินเข้ามาเดินอีกรอบตอนกลางวันเลยครับ เพราะตอนเย็นเค้าไม่ได้เปิดไฟบางจุด เลยไม่ได้เก็บภาพข้างในมาสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีทำให้เราได้ตั้งใจเสพงานศิลป์ให้เต็มที่

ซึ่งห้องที่ชอบมากๆคือโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยภาพสีน้ำมัน ซึ่งเป็นสไตล์ที่ผมชอบ แทบจะหยุดดูทุกรูปครับ ยอมในการใช้สี การลงรายละเอียด และเรื่องราวของภาพที่สื่อออกมาสุดๆ ถึงจะไม่ค่อยรู้จักศิลปินผู้สร้างสักเท่าไหร่

และห้องที่ดังที่สุดก็ไม่พ้น ห้องแสดงภาพคุณโมนาลิซ่า ที่คนแน่นห้องตลอดครับ

หลังจากเดินเล่นจนมืดแล้ว เราก็ออกมาถ่ายรูปด้านนอกบ้าง ถึงเวลาทำงานเป็นช่างภาพอีกครั้ง โดยพิพิธภัณฑ์ Louvre ตอนดึกนี่คือสวยสุดๆ เพราะพีระมิดจะเปิดไฟสว่างจ้า รูปทรงก็ตัดกับอาคารรอบๆ มีคอนทราสมากครับ

ติดแค่วันนี้คนจะเยอะหน่อยเพราะเป็นวันเข้าฟรี ผมจึงวางแผนจะมาใหม่อีกรอบวันพรุ่งนี้ครับ


Day VII: The Palace


วันนี้เราจะไปเที่ยวพระราชวังแวร์ซายกันครับ (Château de Versailles) ตัวพระราชวังจะตั้งอยู่นอกเมือง เราจะต้องไปนั่งรถไฟ RER สาย C จากสถานี Gare Musée d'Orsay ไปยังสถานี Versailles Château Rive Gauche โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ซึ่งอันนี้เป็นการเดินทางนอกโซนนะครับ เราจะต้องใช้ตั๋วอีกแบบนึงครับ และจากสถานี เดินเท้าไปประมาณ 10 นาทีก็จะถึงตัวพระราชวังครับ

พระราชวังแวร์ซายเป็นที่เที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มากรุงปารีส เพราะฉะนั้นคนจะเยอะมากครับ ตั้งแต่แถวเข้าวัง ภายในวัง และในสวนของพระราชวังครับ รวมถึงร้านอาหารต่างๆด้วย ถ้าหากไม่อยากจะต้องแย่งชิงมุมถ่ายรูปและข้าวเที่ยง แนะนำให้มาแต่เช้าตั้งแต่ก่อนที่วังจะเปิด และเตรียมอาหารเที่ยงมาทานด้วยครับ เพราะในวังมีอาหารให้เลือกไม่เยอะเท่าไหร่ และราคาแพงอยู่ครับ

อีกเรื่องที่สำคัญคือเราสามารถซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังได้จาก Ticket Officer ตรงข้ามสถานี Versailles Château Rive Gauche ได้เลย (ตึกที่มี McDonald อยู่) ซึ่งซื้อที่จุดนี้จะดีกว่าซื้อหน้าวัง เพราะคนส่วนใหญ่จะไปซื้อหน้าวังกัน ซึ่งคิวก็จะยาวมากครับ ถ้าเราซื้อไปก่อน เราก็สามารถลัดคิวไปเข้าแถวรอเข้าวังได้เลยครับ

โดยตั๋วเข้าชมหลักๆจะมีสามแบบ คือตั๋วชมพระราชวังและสวน (Palace Ticket) ตั๋วชมอาคารอื่นๆในสวน (The estate of Trianon) และแบบรวม (Passport) ที่เข้าได้หมดทุกที่ครับ และบางวันก็จะมีกิจกรรมอื่นๆเพิ่มเติมเช่น Musical Gardens Show, Musical fountains show, Fountains Night Show ซึ่งจะไม่ได้มีทุกวัน มีตารางเวลาชัดเจน ซึ่งเราจะต้องซื้อตั๋วเพิ่มอีกครับ ราคาและตารางเวลาต่างๆ ตรวจสอบได้จากเว็บนี้ครับ https://en.chateauversailles.fr/plan-your-visit/tickets-and-prices

ภายในวังก็หรูหราหมาเห่ามากครับ ผนังและเสาหินอ่อนหลากสี พื้นไม้สีอ่อน ตัดกับ กรอบประตู บัว เพดานเลี่ยมทองคำ จิตรกรรมและประติมากรรมมากมายไม่แพ้พิพิธภัณฑ์ Louvre เลยครับ ภายในจะมีเส้นทางเดินระบุชัดเจนให้เราเดินชมแต่ละห้องในพระราชวังไปเรื่อยๆ ตัววังไม่ใหญ่มากครับ เดินไม่นานก็วนครบแล้ว แต่ถ้าเป็นคนชอบงานศิลป์ก็สามารถค่อยเดินดูรูปวาดไปเรื่อยๆได้ทั้งวันครับ

ไฮไลต์ของพระราชวังแวร์ซาย สำหรับผมคือ Hall of Mirror (Galerie des Glaces) เป็นห้องโถงติดวิวสวนที่มีบานกระจกขนาดใหญ่ประดับบนผนัง แต่จุดเด่นของห้องไม่ใช่ความสวยงาม แต่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในห้องแห่งนี้ครับ นั่นคือการลงนามสัญญาสงบศึกระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งนับเป็นจุดจบของสงครามครั้ง 1 ครับ และหลังการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสต่อเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งห้องนี้ก็ถูกใช้เพื่อลงนามการจัดตั้งจักรวรรดิเยอรมนี และแต่งตั้งพระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 1 เป็นประมุขแห่งจักรวรรดิเยอรมนีครับ นับหยามหน้าผู้แพ้อย่างฝรั่งเศสสุดๆ

ได้มายืนอยู่ในสถานที่ๆ ประมุขจากหลากหลายประเทศ หลายยุคสมัยมารวมกัน ก็จะรู้สึกขนลุกนิดๆ

พอเดินเล่นในวังครบแล้ว เราก็ไปลุยในส่วนต่อครับ ซึ่งภายในสวนของวังจะไม่ใหญ่มาก เดินเล่นได้สบายๆ หรือจะเช่ารถกอล์ฟขับก็ได้ครับ แต่แพงนิดนึง

จุดเด่นของสวนนี้คือบรรดาน้ำพุต่างๆครับ จะมีลิสให้เราไปตามหาว่าแต่ละอันอยู่ตรงไหนบ้าง

https://en.chateauversailles.fr/discover/estate/gardens/fountains#the-four-seasons-fountains

นอกจากนั้นจะมีโชว์น้ำพุตามช่วงเวลาด้วยครับ เป็นโชว์เล็กๆ เป็นสีสันของสีสันของสวนนี้

นอกเขตสวนจะมีรถไฟ (ที่วิ่งบนถนน) วิ่งวนรับเราไปตามจุดต่างๆครับ โดยหลักๆคือพาเราไปอาคารต่างๆในเขต The Estate of Trianon ซึ่งเราต้องซื้อตั๋วเพิ่มอย่างที่เล่าไปตอนแรกครับ ซึ่งจะเสียค่าขึ้นนะครับ แนะนำให้เลือกขึ้นเป็นจุดๆไปนะครับ

The Estate of Trianon เดิมคือหมู่บ้าน Trianon ที่ตั้งอยู่ข้างพระราชวัง ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ซื้อหมู่บ้านนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของวังครับ โดย The Estate of Trianon จะมีที่เที่ยวหลักๆ 3 ที่คือ The Grand Trianon ซึ่งเป็นวังสำหรับพักผ่อนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14,  Petit Trianon วังพักผ่อนของพระนางมารีอ็องตัวเน็ต และหมู่บ้านจำลองที่ชื่อว่า Queen’s Hamlet ที่สร้างตามคำขอของพระนางมารีอ็องตัวเน็ต ไว้สำหรับเดินเล่นในบรรยากาศหมู่บ้านชนบทครับ

โดยจุดแรกที่เราไปคือ The Grand Trianon ครับ จุดเด่นของวังนี้คือตัววังจะสร้างด้วยหินอ่อนสีชมพู และห้องแต่ละห้องก็จะแต่งคุมธีมเป็นสีๆสดใสครับ

ถัดมาจะเป็นวัง  Petit Trianon ของพระนางมารีอ็องตัวเน็ต จะมีสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่ด้านหน้าครับ และมีสวนใหญ่กับบ่อน้ำอยู่ด้านหลัง ห้องในวังนี้ก็จะตกแต่งหวานๆหน่อยครับ

และส่วนสุดท้ายคือหมู่บ้าน Queen’s Hamlet ครับ หมู่บ้านจะจำลองบ้านสไตล์ชนบทของฝรั่งเศสไว้ รวมถึงมีการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ต่างๆด้วย ตอนผมไปน่าจะยังไม่ใช้ฤดูปลูกผัก จึงยังเป็นฟาร์มว่างๆอยู่ แต่เป็นจุดที่เดินเล่นสนุกมากจุดหนึ่งครับ แต่ก็จะอยู่ขอบสุดของเขตแวร์ซายเช่นกันครับ ถ้าเดินเท้ามาก็จะแทบหมดแรงแล้ว

เราเที่ยวที่พระราชวังแวร์ซายกันเกือบทั้งวันครับ ขากลับตอนแรกจะแวะไปชมวิวในตัวเมืองปารีส The Basilica of the Sacred Heart of Paris (Sacré-Cœur) แต่พระราชวังแวร์ซายทำเราขาลากกันหมดแล้ว จึงแวะไปเดินเล่นเบาๆในเมืองแทน โดยที่ๆเราแวะไปคือ The Centre Pompidou (Centre Georges-Pompidou) ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติของกรุงปารีส ซึ่งโดดเด่นในเรื่องการนำโครงสร้างภายในของอาคารทั้งหมดมาแสดงไว้ด้านนอกอาคารโดยไม่มีกรอบอาคารปกปิดใดๆครับ

ต่อมาเราก็แวะมาเดินเล่น และหาข้าวเย็นทางที่ย่าน Le Marais ซึ่งไม่ห่างจาก The Centre Pompidou มากนัก ย่านนี้ย่านเมืองเก่า และย่านแฟชั่นรวมร่างกันอยู่ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยอาคารเก่าที่เปลี่ยนเป็นร้านขายของอาร์ตๆเต็มไปหมดครับ และของที่ขายย่านนี้คือสวยและน่าซื้อกลับบ้านมาก โดยเฉพาะพวกถ้วยชาม ถ้าไม่ติดว่าเอากระเป๋าไซส์ Carry-on มาก็ได้มีหมดตัวที่ย่านนี้แน่ๆครับ

และมื้อเย็นเราก็แวะไปทานอกเป็ดที่ร้าน Le Gai Moulin เจ้าของร้านอัธยาศัยดีมากๆครับ เสียดายตอนนี้ร้านปิดถาวรไปแล้ว

และเนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันเดินทางกลับ ซี่งไม่มีอะไรนอกจากการเดินทางไปสนามบินครับ ดังนั้นกิจกรรมสุดท้ายของผมในทริปนี้ ในกรุงปารีสยามค่ำคืน นั่นก็คือกลับไปเก็บแสงเย็นที่พิพิธภัณฑ์ Lourve อีกรอบตามที่สัญญาไว้เมื่อวานครับ ซึ่งวันนี้มาตั้งแต่พระอาทิตย์ตก คนไม่เยอะเท่าเมื่อวานด้วย ได้ภาพดีๆกลับมาเยอะมากครับ

จึงขอใช้ภาพ พิพิธภัณฑ์ Lourve ยามเย็นถึงยามค่ำคืน เป็นภาพปิดของทริป From Matterhorn to Eiffel Tower เลยก็แล้วกัน ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมากที่อยู่ด้วยกันจนจบทริปครับ ไว้จะรีบมารีวิวทริปอื่นๆที่ดองไว้ให้เพื่อนๆได้อ่านกันอีกนะครับ สวัสดีครับ



สุดท้ายนี้ขอฝากรีวิวเก่าๆไว้ด้วยนะครับ




✦ Baltics & Nordics:  Lithuania - Latvia - Estonia - Finland - Sweden

https://th.readme.me/p/28273

✦ Leh-Ladakh

https://th.readme.me/p/15558

✦ New Zealand: 12 Day in South Island

https://th.readme.me/p/10306

 ✦ Iceland: 10 Day round trip

https://th.readme.me/p/4522

✦ Singapore

https://th.readme.me/p/3507

✦ Japan : Tokyo & Kawaguchiko & Gala Yuzawa & Nagano

https://th.readme.me/p/2006

✦ Malaysia: Kuala Lumpur & Cameron Highland & Penang

https://th.readme.me/p/1935

✦ Vietnam : Ho Chi Minh & Dalat & Mui Ne

https://th.readme.me/p/1936

✦ Indonesia : Bromo & Kawa Ijen & Borobudur

https://th.readme.me/p/1939

✦ Russia: Moscow & Saint Petersburg

https://th.readme.me/p/1940


Mountain Seal

 วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23.25 น.

ความคิดเห็น