กราบสวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนนะครับ นี่เป็นรีวิวอันที่สองที่เขียนขึ้นเพื่อพาเพื่อนๆย้อนอดีตหนีโควิดไปเที่ยวไปต่างประเทศด้วยกันกับผมในปี 2019 ครับ โดยคราวนี้จุดหมายปลายทางก็คือเทือกเขา Dolomites ในทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีนั่นเอง

รีวิวก่อนหน้า: สวิส & ฝรั่งเศส 

https://th.readme.me/p/38119

คำว่า Dolomite นั้นแปลว่าหินปูนครับ ซึ่งตั้งตามสภาพภูมิศาสตร์ในแถบนี้ที่เต็มไปด้วยภูเขาหินปูน ซึ่งทำให้ภูมิทัศน์มีรูปร่างแปลกตา ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาแหลมที่เกิดจากกัดเซาะของน้ำและลม หรือทะเลสาบสีฟ้าอมเขียวสวยงามที่เกิดจากแร่แคลเซียมคาร์บอเนตนั่นเองครับ 

ซึ่งทริปนี้ก็จะเป็นทริปเที่ยวธรรมชาติไปซะ 90% ครับ แต่ไม่ได้ถึกถึงขั้นต้องไต่เขาอะไรมากมายเพราะว่าที่เที่ยวส่วนใหญ่ในเขต Dolomites นั้นมีรถยนต์ หรือ Cable Car พาไปถึงเกือบหมดครับ จะมีแค่บางจุดจริงๆที่ต้องเดินเท้าเข้าไป แต่ความสวยงามก็คุ้มค่าเหนื่อยครับ

::::::::::::::::::: แผนการเดินทาง :::::::::::::::::::

ทริปนี้เป็นทริปช่วงที่ผมศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษนะครับ เพราะฉะนั้นผมจะไม่เสียเวลาเดินทางจากไทยไปอิตาลี ซึ่งคิดเร็วๆคือ บวกเพิ่มอีก 2 วันจากแผนที่ผมวางไว้ครับ

เนื่องจากใน Dolomites นั้นเป็นเขตหุบเขา การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือการขับรถครับ ซึ่งเส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นถนนลาดยาง ขับรถง่าย จะมีแค่บางจุดเท่านั้นที่เป็นถนนเส้นเล็ก และชันครับ ซึ่งก็สามารถเลี่ยงได้ถ้าจำเป็น สำหรับคนไม่อยากขับรถ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเที่ยวในแถบนี้นะครับ ตามเมืองหลักๆจะมีรถบัสวิ่งข้ามเมืองอยู่ เพียงแค่จะเก็บที่เที่ยวได้ไม่ครบทุกที่ และเสียความยืดหยุ่นเรื่องเวลาไป ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการเที่ยวเสพธรรมชาติแบบนี้ครับ

ทริปนี้เราจะใช้เวลาทั้งหมด 5 วันนะครับ ตั้งแต่เท้าแตะพื้นที่เมือง Venice จนวนกลับมาขึ้นเครื่องกลับ ที่ทริปของเราเริ่มจากเมือง Venice เพราะว่าสนามบิน Venice อยู่ใกล้กับเขต South Tyrel ซึ่งเป็นที่ตั้งของเทือกเขา Dolomites ครับ โดยตัวเมืองจะอยู่ห่างจากบริเวณเทือกเขาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นเอง

Route ใน Dolomites นั้นเข้าออกทางเดียวกัน เราเลือกได้ว่าจะเที่ยววนจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้ายครับ ซึ่งทริปเราเลือกวนขวาไปซ้าย โดยเลือกจุดพักเที่ยวจุดแรกที่ Lake Misurina 

นอกจากจะเลือกระหว่างวนซ้ายกับขวาแล้ว เรายังเลือกได้อีกว่าจะวนรอบนอก หรือผ่านกลางเทือกเขาไป โดยความต่างจะอยู่ที่ถ้าเราวนเส้นนอก (Route A) ทางจะไม่โค้งและชันเท่า เพราะไม่ได้ผ่านเทือกเขาตรง แต่จะไม่ได้เเวะจุดเที่ยวไปสองสามที่ เช่น Giau Pass และ Gardena Pass ขณะเดียวกันถ้าวิ่งผ่านเทือกเขา (Route B) จะมีสองที่ๆ เราจะต้องวิ่งวนไปกลับคือ Lake Braies และ Val di Funes ซึ่งจะทำให้เสียเวลาอีกนิดหน่อย 

เนื่องจากเรามีเวลาไม่มาก และกะเก็บแค่ Landmark หลักๆ จึงใช้ Route A ครับ

Route A - http://bit.ly/33zoZPP

Route B - http://bit.ly/35Ge20I 

นี่คือ Route คร่าวๆนะครับ ตลอดเส้นทางยังมีที่เที่ยวและ Trail ให้เดินอีกมากมายที่ผมไม่ได้ใส่ลงไป ใครที่จะตามรอยลองๆไป customize ดูนะครับ ที่พักในแต่ละวันก็เช่นกันครับ มีให้เลือกหลากหลาย จะพักในเมือง หรือพักใกล้ที่เที่ยว ซึ่งทริปของผมจะเป็นอย่างหลัง เนื่องจากผมจะถ่ายรูปแสงเช้า แสงเย็นเกือบทุกวันครับ เลยเลือกพักใกล้ๆจะสะดวกกว่า

::::::::::::::::::: สรุปที่เที่ยว :::::::::::::::::::

Day 1: Venice - Lake Misurina - Lake Antorno (ที่พัก)

Day 2: Tre Cime di Lavaredo - Lake Braises/Pragser Wildsee (ที่พัก)

Day 3: Lake Braises/Pragser Wildsee - Val Di Funes (ที่พัก)

Day 4: Seiser Alm (Alpe di Siusi) - Seceda - Ortisei Town (ที่พัก)

Day 5: Lake Carezza - Venice 

เป็นทริปกะทัดรัด ไม่ได้เก็บครบทุกที่เที่ยวของ Dolomites นะครับ แต่ก็ได้ที่พีคๆ อย่าง Tre Cime di Lavaredo, Lake Braises, Seceda และ Lake Carezza ครับ

::::::::::::::::::: ค่าใช้จ่าย :::::::::::::::::::

เพราะผมเดินทางจากประเทศอังกฤษ ค่าเครื่องบินจะถูกกว่าบินจากไทยครับ ดังนั้นขอตัดส่วนนี้ออกไป แต่ยังเสียค่าทำวีซ่าเหมือนกันนะครับ 

ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน และวีซ่า)

= 21,044 THB (600 EUR)

ค่าอาหาร = 9,250 THB (263.5 EUR)

ทานในร้าน 100% ยกเว้นอาหารเช้าของที่พักครับ ตรงนี้ประหยัดได้ถ้าทานกาแฟน้อยๆ และพกพวกโรซ่าพร้อมจากไทยไปทานสลับกัน แต่ผมไปจากอังกฤษเลยไม่มีทางเลือกครับ

ค่าเช่ารถ, น้ำมัน, ค่าจอดรถ และทางด่วน = 3,314 THB (94.4  EUR)

นี่เป็นราคาหาร 4 คนนะครับ รถจะเป็น Audi A3 นั่น 4 คนได้สบายๆ แต่กระเป๋าใบใหญ่มากไม่ได้ ค่ารถตกคนละ 60 ยูโรนิดๆ ค่าน้ำมันคนละ 20 ยูโร และที่เหลือเป็นค่าทางด่วนและที่จอดรถครับ

ค่าที่พัก  = 5,843 THB (166.4 EUR)

เนื่องจากเราพักในเขตที่เที่ยว ก็เลยมีช้อยไม่เยอะเท่าพักในเมืองใหญ่ครับ ซึ่งเราพักโรงแรมกันทุกคืน ตลอด 4 คืน มีอาหารเช้าทุกวันครับ 

ค่าที่เที่ยว  = 2,637 THB (75.1 EUR)

ส่วนนี้จะเป็นพวกค่าเข้าที่เที่ยวต่างๆครับ และค่าขึ้น Cable Car 

ถ้าไปจากไทยก็คงต้องบวกค่าตั๋วเครื่องบินอีกประมาณ 15,000 - 30,000 ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นครับ และถ้าไม่มีวีซ่าเชงเก้นก็ต้องเผื่องบส่วนนี้ด้วยครับ ทั้งทริปก็อาจจะจบที่ประมาณ 40,000 - 50,000 บาท 

::::::::::::::::::: การเตรียมตัวอื่นๆ :::::::::::::::::::

สภาพอากาศ - แถบ Dolomites ภูเขาส่วนใหญ่จะเปิดให้เข้าไปเดิน Trail เที่ยวช่วงมิถุนายนเป็นต้นไป ซึ่งช่วงที่ผมไปคือกลางเดือนมิถุนายนพอดี แทบจะเป็นกลุ่มแรกๆที่ไปเดิน Tre Cime di Lavaredo ซึ่งช่วงนั้นพื้นราบอากาศเย็นสบาย ค่อนไปทางร้อนครับ ใส่เสื้อยืดเที่ยวได้สบายๆ แต่บนยอดเขายังมีหิมะกองอยู่บางส่วน เวลาลมพัดมาก็จะเย็นครับ เตรียมพวกเสื้อแจ๊กเกตอุ่นๆไปเผื่อก็พอครับ ไม่ถึงกับต้องใช้เสื้อขนเป็ด ส่วนเมือง Venice นี่ร้อนตับแตกเหมือนอยู่พัทยาช่วงเมษาครับ ที่ผมโชคดีมากๆคือไป 5 วัน อากาศดีทุกวันครับ ไม่เจอฝนเลย

เส้นทาง - แถบนั้นทำถนนบ่อยมากครับ บางช่วงเราอาจจะรถติดเป็นชม.เพราะต้องขับตามรถขนดินครับ เพราะฉะนั้นเช็คเส้นทางทุกวันนะครับ ว่ามีตรงไหนปิดบ้างจะได้อ้อมไปได้ครับ

ถนนส่วนบุคคล - อันนี้ต้องระวังเป็นพิเศษครับ ไม่ใช่ทุกเส้นทางเราจะขับรถเข้าไปได้ โดยเฉพาะแถบหมู่บ้าน ทางดิน บางเส้นทางเป็นถนนส่วนบุคคล ถ้าเราขับเข้าไปจะโดนโทรแจ้งตำรวจ และโดนปรับครับ ใช้ Google map พอเช็คได้ หรือจะถามที่พักที่เราพักก็ได้ครับ 

เกริ่นมาซะยาว เรามาเริ่มการเดินทางกันเลยดีกว่าครับ

::::::::::::::::::: Day 1: Lake Misurina :::::::::::::::::::

วันแรกพวกเราลงเครื่องที่เวนิชตอนสายๆ ที่สนามบิน Venice Marco Polo Airport รับรถเช่าของ ที่สนามบิน และขับตรงเข้าสู่เขตเทือกเขา Dolomites ครับ

โดยทางในช่วงแรกจะเป็นไฮเวย์ขับสบายยาวๆจนถึงช่วงชั่วโมงสุดท้ายที่จะเข้าเขตภูเขา ทางจะเริ่มเล็กลงเป็น 2 เลน มีขึ้นเนินบ้าง โค้งเล็กน้อยแต่ก็ยังลาดยางอย่างดีครับ

ระหว่างทางจะผ่านเมืองเล็กๆสองสามเมือง มีร้านอาหารให้แวะบ้าง มีทะเลสาบและทิวเขาสวยๆให้ชมระหว่างทาง ซึ่งขนาดทะเลสาบพวกนี้ไม่ใช่ที่เที่ยวหลักก็ยังสวยมากๆ ทุกที่น้ำเป็นสีฟ้าใส แต่ก็ยังสู้ทะเลสาบที่เป็นเป้าหมายของเราในวันนี้ไม่ได้ นั่นก็คือ Lake Misurina

เรามาถึง Lake Misurina ช่วงเที่ยงๆพอดี ที่จอดรถบริเวณทะเลสาบ และอีกหลายๆที่ในทริปนี้จะเสียค่าจอดทั้งหมด โดยมีตั้งแต่ชั่วโมงละ 2-4 ยูโร หารๆกันก็ไม่แพงมากครับ

ร้านอาหารแถวนี้จะเป็นลูกผสมเพราะที่นี่อยู่ใกล้ชายแดนติดกับเยอรมัน อาหาร ภาษา และคนในแถบนี้จะผสมกันระหว่างอิตาลีกับเยอรมันครับ รวมถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย เทียบกับเมืองอื่นๆในอิตาลี แถบนี้สงบ ปลอดภัย และไม่มีปัญหาเรื่องโจรล้วงกระเป๋าให้เห็นเลย

โดยมื้อเที่ยงของเราวันนี้อยู่ที่ร้านอาหารริมทะเลสาบที่ชื่อว่า Pizzeria Edelweiss เป็นร้านสไตล์เยอรมันจ๋า ตั้งแต่การตกแต่งร้านไปจนถึงชุดของเด็กเสิร์ฟ แต่ขายอาหารอิตาเลียนนะครับ (มื้อนี้คนละ 9 ยูโร)

ทานอาหารเที่ยงเสร็จเราก็แวะชมวิวริมทะเลสาบรอบๆก่อน กิจกรรมหลักๆคือเดินชมวิวรอบๆ มีโต๊ะให้นั่งกินข้าว และมีเรือพายให้เช่าครับ ซึ่งซีกหนึ่งของทะเลสาบจะเห็นวิวเขาหินปูนตัดสวยงามมากครับ ส่วนอีกฝั่งจะมีอาคารคล้ายๆโรงแรมในหนังเรื่อง Grand Hotel Budapest  แต่จริงๆแล้วมันคือ Opera Diocesana San Bernardo Degli Uberti Istituto Pio XII ซึ่งเป็นศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจครับ เข้าใจว่ามาอาศัยอากาศบริสุทธิ์แถบนี้ช่วยด้วย ซึ่งอาคารนี้ก็เป็น Landmark สำคัญแห่งนึงของทะเลสาบ  Lake Misurina ครับ การจะไปมุมมหาชนนี้เราต้องเดินไปจนสุดด้านตรงข้าม หรือจะขับรถไปก็ได้มีที่จอดอยู่ แล้วจะเห็นภาพสมมาตรของโรงแรมกับภูเขาเป็นฉากหลังพอดีครับ จริงๆถ้าอยากตื่นเช้ามาเห็นวิวนี้จากหน้าห้องนอนเลย ก็เลือกพักโรงแรม Grand Hotel Misurina ได้ครับ

นอกจากเดินวนรอบทะเลสาบแล้ว ที่นี่ยังมีสกีลิฟต์ให้ขึ้นไปบนยอดเขาข้างๆทะเลสาบด้วย เข้าใจว่าสำหรับให้ขึ้นไปเล่นสกีในหน้าหนาวครับ แต่พวกเราก็ลองขึ้นไปชมวิวทะเลสาบนี้มุมสูงกันครับ (ค่าขึ้น-ลง 12 ยูโร)

ลงมาเราก็เดินทางต่อไปยัง Lake Antorno ห่างจาก Lake Misurina ไปไม่ถึง 15 นาที ที่นี่จะมีสะพานไม้เล็กๆ และสันเขารูปสามเหลี่ยมเป็นจุดเด่น

ทะเลสาบนี้เป็นจุดแวะเที่ยวก่อนจะเข้าสู่ทางขึ้น Tre Cime di Lavaredo อันโด่งดัง ซึ่งปกตินักท่องเที่ยวจะไปกันตั้งแต่เช้า ทำให้ในระหว่างวันจะค่อนข้างเงียบเหงาครับ แต่พวกเราเลือกทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่พักในคืนแรก เนื่องจากที่พักราคาไม่แพง และเหมาะสำหรับถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น-ตก และดาวในตอนกลางคืนครับ รวมถึงตอนเช้ายังไปถ่ายรูป Lake Misurina ที่อยู่ใกล้ๆกันได้อีกด้วย

ที่พักเราในคืนนี้ชื่อว่า Albergo Chalet Lago Antorno เป็นตึกไม้หลังเล็กๆอยู่ติดทะเลสาบเลยครับ มีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากครับ เพราะมีแค่โรงแรมเดียวในแถบนั้น โดยค่าที่พักอยู่ที่คืนละ 42 ยูโรต่อคืนครับ มีอาหารเช้าให้ด้วย

โดยอาหารเย็นก็ทานกันที่โรงแรมนี้แหละครับ หมดกันไปคนละ 12 ยูโรครับ

ทานอาหารกันอิ่มแล้วก็ลุยเก็บรูปแสงเย็นฝั่งตรงข้ามโรงแรมกันต่อเลย การมีโรงแรมอยู่ติดที่เที่ยวมันคือที่สุดครับ จริงๆเราแพลนจะถ่ายดาวตอนกลางคืนด้วย แต่ฟ้าดันปิดครับ ไม่เป็นไรแค่ตอนเย็นก็ดีงามมากแล้ว



::::::::::::::::::: Day 2:Tre Cime di Lavaredo :::::::::::::::::::

เช้าวันที่สอง ผมออกมารอพระอาทิตย์ขึ้นที่ Lake Misurina เทือกเขาในแถบนี้จะเป็นหิน หินปูนเกือบทั้งหมดครับ ซึ่งจะมีสีชมพูและส้มปนอยู่ในเนื้อ พอกระทบกับแสงอาทิตย์ ยอดเขาจะกลายเป็นสีแดงส้มสวยงามมากเลยทีเดียว แต่ผมไม่ได้เห็นสีแดงส้มสวยๆเช้าวันนี้เพราะฟ้าครึ้มจากเมื่อคืน ได้แค่ชมพูจางๆเท่านั้นเอง

พอสายๆผมก็กลับมาที่ Lake Antorno อีกรอบครับ มาแวะเก็บแสงสายๆ พร้อมกับทานอาหารเช้าที่โรงแรมด้วยครับ วันนี้เราต้องเติมพลังกันให้เต็มที่เพราะจะขึ้นไปเดิน Trail กันบนยอดเขา Tre Cime di Lavaredo

การจะไปยัง Tre Cime di Lavaredoเราต้องเดินทางไปยังจุดที่เรียกว่า Rifugio Auronzo ซึ่งคือลานจอดรถที่อยู่ใกล้กับยอดเขามากที่สุดครับ การนำรถขึ้นมาที่นี่จะต้องผ่านด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง 30 ยูโรต่อรถหนึ่งคัน ถ้ามากันไม่เต็มคันรถ เราสามารถจอดรถไว้แถวๆนั้น แล้วนั่งรถบัสขึ้นไปแทนก็ได้จะตกอยู่ที่ราวๆ 7-8 ยูโรต่อคนครับ

Tre Cime di Lavaredo หรือชื่อเยอรมันคือ Drei Zinnen แปลเป็นอังกฤษได้ว่า Three Peaks of Lavaredo เป็นชื่อของยอดเขาหินปูนแหลมๆ 3 แท่งที่สูงเด่นเป็นสง่าขึ้นมา โดยในตอนนี้เข้าใจว่ามีบางส่วนหักไปบ้างยอดมันเลยดูไม่แหลมแล้ว เจ้าสามยอดนี้มีชื่อของตัวเองด้วยคือ Cima Piccola / Kleine Zinne / little peak, Cima Grande / Große Zinne / big peak, Cima Ovest / Westliche Zinne / western peak

จากลานจอดรถเราจะเห็นเจ้าสามหน่อนี้ได้อย่างชัดเจนครับ เรียกว่าแทบจะอยู่ตรงโคนมันเลย แต่มุมที่จะเห็น Tre Cime di Lavaredo ได้สวยที่สุด เราต้องเดินอ้อมมันไปอีกด้านนึง ตรงเนินหลังกระท่อมที่ชื่อว่า Dreizinnen Hut ( ใน Google map จะขึ้นว่า Sasso di Sesto) โดยระยะทางจะประมาณ 5 km แล้วเราสามารถเลือกต่อได้ว่าจะย้อนกลับทางเดิมหรือเดินต่อไปอีก 5 km เพื่อวกกลับมาเป็นวงกลม ระยะเวลาเดินจริงจะใช้เวลา 4-6 ชั่วโมงนะครับ ขึ้นกับเราอู้บ่อยแค่ไหนด้วย

ถ้ามาในหน้าร้อนระหว่างทางจากลานจอดรถไปที่สันเขาจะมีที่พักอยู่สองสามแห่งครับ แต่จะราคาแพงและไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเรื่องน้ำอาบที่จะต้องเสียตังค่าใช้ครับ ตรง Dreizinnen Hut จะเป็นที่พักที่วิวดี และใหญ่ที่สุด ถ้าเป็นสายแคมปิ้ง ที่นี่มีจุดกางเต้นต์และห้องน้ำให้ครับ ถ้ามีโอกาสมาค้างคืนที่นี่ได้ วิวตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตกจะต้องสวยมากแน่นอนครับ

ทางเดินในช่วงแรกจะเป็นทางราบเป็นส่วนใหญ่ จะมีทางแยกเล็กๆให้เราลงเนินข้างทางไปดูวิวริมผา มองกลับมาจะเป็นเจ้าสามหน่อชัดๆอลังๆ

เดินต่อไปอีกสักพักเราก็จะเริ่มเจอเศษหิมะที่เหลือรอดจากฤดูหนาวตลอดสองข้างทางครับ เนื่องจากบริเวณนี้จะเป็นคล้ายๆแอ่งกระทะ มีเทือกเขาล้อมรอบทำให้หิมะในแอ่งนี้ไม่โดดแสงส่องเท่าไหร่ จึงละลายช้ากว่าด้านนอกครับ

เดินต่อมาจะเจอจุดพักจุดแรกคือกระท่อมที่ชื่อว่า Rifugio Lavaredo ตอนผมไปถึงเส้นทางจะเปิดแล้ว แต่ที่พักยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยว ดังนั้นกระท่อมนี้จึงมีบริการแค่ห้องน้ำ และร้านกาแฟครับ ถ้ามาถึงจุดนี้ได้แปลว่าเราเดินมา 2 km แล้ว จุดถัดไปจะเป็นการไต่ขึ้นสันเขา มีสองทางให้เราเลือกว่าจะเดินทางที่ยาวแต่ชันน้อย หรือจะเดินทางสั้นและชันมาก

ซึ่งเราเลือกทางที่สั้นแต่ชัน ก็ไต่กันแบบหอบแห่กๆกันไป แต่ระยะก็สั้นจริงๆ น่าจะไม่ถึง 500 เมตร

พอเรามาถึงตรงกลางสันก็จะมีจุดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปนั่งบนหินถ่ายคู่กับยอดเขาเก๋  แต่ถ้าเราเดินเลาะสันเขาขึ้นเนินไปด้านตรงข้าม บนสุดจะเจอถ้ำเล็กๆ วิวจากจุดนั้นจะสวยกว่ามากๆ ไม่ควรจะพลาดเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าไต่ไม่ไหว ก็ไม่ต้องมาสุดก็ได้ แค่ครึ่งทางก็วิวดีมากแล้ว

เดินลงจากสันเขา เส้นทางจะกลับมาราบอีกครั้ง ตอนนี้เราจะเริ่มเดินออกห่างจากเจ้าสามยอดไปเรื่อยๆ ทำให้เราเห็นมันชัดขึ้น จุดนี้หิมะเริ่มเยอะขึ้นจนมีกำแพงหิมะขนาดย่อมๆสองข้างทาง บางจุดหนาจนแวะเล่นเลื่อนหิมะได้เลยครับ

และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือ Dreizinnen Hut ซึ่งตอนนี้จะยังไม่เปิดให้เข้าพัก และไม่มีร้านค้าใดๆ เป็นแค่ที่ให้นั่งพักเฉยๆครับ  เรามาถึงตอนเที่ยงพอดีเราก็เลยแวะไปนั่งกินแซนวิทที่เตรียมมา และมองวิวเจ้าสามยอดไปพลางๆ

จุดที่สวยที่สุดจะต้องขึ้นเนินเขาด้านหลังกระท่อมไป จะอยู่นอกเส้นทางหลักแต่มีรอยทางเดินให้เห็นลางๆครับ มองลงมาจากเนินจะเห็นกระท่อมโดยมี Tre Cime Di Lavaredo เป็นแบคกราวน์พอดี จริงๆจะมีทะเลสาบเล็กๆสองอันอยู่ตรงนี้ด้วย แต่ตอนผมไปทะเลสาบยังไม่ละลายเลย

ทางขึ้นเนินค่อนข้างชัน แคบ และลื่นเพราะเป็นหินกรวดก้อนเล็กๆ บวกกับน้ำจากหิมะละลาย แต่วิวบนนั้นก็คุ้มค่าปีนจริงๆ เราจะเห็นทั้งกระท่อมและเจ้าสามยอดอย่างชัดเจนเลยดีเดียว แทบจะเป็นมุมที่สวยที่สุดใน Route นี้แล้ว

บนยอดสุดของเนินจะมีถ้ำอยู่สองถ้ำ เป็นมุมยอดนิยมอีกมุมที่เราจะต้องถ่ายรูปเจ้าสามยอดนี้จากในถ้ำ

ลงมาจากเนิน เราก็มาสุมหัวตัดสินใจกันว่าจะวนต่อให้ครบรอบ หรือจะย้อนทางเดิมดี สังเกตเห็นคนส่วนใหญ่จะกลับทางเดิมกัน แต่สุดท้ายทีมเราก็ตัดสินใจวนรอบครับ ซึ่งต่อมาสักพักถึงได้รู้ว่าทำไมคนอื่นๆเค้าไม่เดินวนกัน

โดยเส้นทางครึ่งหลังคนเดินไม่เยอะ ทำให้ทางส่วนใหญ่มีหิมะกลบอยู่ รองเท้าเดินป่าดีๆที่กันน้ำได้จำเป็นมากๆ เพราะทางทั้งเปียกและลื่นครับ บางจุดลื่นมากจนต้องค่อยๆย่อตัวเดินไป เพื่อนในทีมถึงกับเอาเสื้อหนาวมาทำเป็นเลื่อนไถลไปตามทางเลยครับ

และแล้วความจริงก็ปรากฏ อยู่ดีๆทางที่เราเดินไปมันพาเราเดินต่ำลงเรื่อยๆ จากตอนแรกเราต้องเดินอยู่ระดับโคนของเจ้าสามยอด ไปๆมาๆเราลงต่ำไปกว่าลานจอดรถอีก โดยจุดที่ต่ำสุดเป็นพื้นราบที่เราเงยมองขึ้นไปแทบไม่เห็นเจ้าสามยอดแล้ว แถมเราได้เดินพื้นราบอยู่ไม่ถึงสิบนาที ทางมันก็บังคับให้ไต่กลับขึ้นไปใหม่ ไปสูงกว่าเดิมด้วย คือแบบ หุบสั้นๆแบบนี้ทำสะพานก็ได้มั้ง

สรุปคือผ่านจุดนั้นแบบหอบแห่กๆยิ่งกว่าเดิม ชันขนาดที่มีนักท่องเที่ยวพาหมามาด้วย แต่หมาเดินไม่ไหวต้องอุ้มขึ้น แต่ก็เป็นระยะสั้นๆนะครับ ใครไม่แข็งแรงก็เดินๆพักๆ ก็พอจะผ่านไปได้อยู่

ช่วงสามกิโลเมตรสุดท้าย เราเดินชมวิวไปเรื่อยๆ ทางชันๆไม่มีแล้ว เเต่เนื่องจากหิมะยังละลายไม่หมด ทางจึงยังลื่นและแฉะ เดินลำบากพอดู บางช่วงต้องออกไปเดินบนหญ้าเพราะหิมะหนาและลึก ก็สนุกไปอีกแบบ แต่ก็เริ่มล้าแล้วด้วย จุดผจญภัยเล็กๆอีกจุดคือการข้ามลำธาร แต่เป็นลำธารตื่นๆนะครับ เหยียบหินกระโดดข้ามเอาก็ได้ จะถอดรองเท้าลุยก็ได้แต่หนาวหน่อยเพราะเป็นน้ำจากหิมะละลายครับ

ช่วงท้ายๆเราจะเจอกระท่อมอีกแห่งนึงที่ยังปิดอยู่เช่นกัน ต้องเตือนไว้ด้วยว่าครึ่งรอบหลังจะไม่มีห้องน้ำ และร้านขายของนะครับ ควรจัดการให้เรียบร้อยก่อนตั้งแต่กระท่อมแรกสุดครับ

จุดที่สวยที่สุดของครึ่งหลังนี้จะเป็นบ่อน้ำเล็กๆที่ อยู่ตรงข้ามเจ้าสามยอดนี้พอดีครับ จะเป็นจุดที่น้ำนิ่ง สีสวย และมีเงาสะท้อนยอดเขาให้เห็นชัดๆเลย

ช่วงกิโลเมตรสุดท้ายทางจะแคบขึ้นเรื่อยๆ และเรียบกับหน้าผา ต้องเดินอย่างระวัง พวกผมเจอหิมะละลายด้วย ทำให้ทางลื่น มีจุดนึงแคบมากและต้องเหยียบหิมะลื่นๆ คือเสี่ยงสุดๆ แต่ระยะสองสามก้าวเท่านั้นครับ คิดว่าถ้ามาตอนหิมะละลายแล้วทางน่าจะกว้างกว่านี้

พอลงจากเจ้าสามยอด เราก็แวะพักหาขนมกินที่เติมพลังที่ Lake Misurina แล้วก็ตรงไปยังที่พักวันที่ 3 ชื่อว่า Hotel - Fallerhof ที่อยู่ใกล้ๆกับ Lake Braies ทะเลสาบชื่อดังระดับโลกเรื่องความสวยงาม ซึ่งเราได้ประจักษ์กันเต็มๆตาในวันรุ่งขึ้นครับ

ในตัว Lake Braies เองก็มีโรงแรมที่อยู่ติดทะเลสาบนะครับ ชื่อว่า Hotel Lago di Braies พักที่นี่ตอนเช้าคงเหมือนอยู่บนสวรรค์ แต่ราคาคงพาเราลงนรกได้ง่ายๆ ได้ยินว่าคิวจองยาวข้ามปีเลยด้วยครับ

มือเย็นเราก็ทานกันที่ร้านอาหารใต้โรงแรมนี่แหละครับ เป็นอาหารเยอรมัน ซึ่งไม่พ้นตระกูลไส้กรอก และ Schnitzel มื้อนี้เติมพลังกันเต็มที่เรียกแคลอรี่ที่ผลาญไปตลอด 7 ชั่วโมงบน Tre Cime di Lavaredo คืนมาครับ (15 ยูโร)



:::::::::::::::::: Day 3: Lago Di Braies ::::::::::::::::::

ตอนเช้าผมก็เข้าไปรอแสงเช้าที่ Lake Braies หรือชื่อเยอรมันคือ Pragser Wildsee ที่นี่มีช่างภาพมากางขาตั้งกล้องเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นเยอะมากๆ แทบจะเบียดกันตกน้ำ สมกับเป็นแลนด์มาร์คอันดับต้นๆของ Dolomites เลย

ต้องยอมรับว่าพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่สวยจริงๆ ทั้งสีของน้ำ เงาสะท้อน และแสงแดดกระทบยอดเขา ตอนนี้ยกให้เป็นทะเลสาบที่พระอาทิตย์ขึ้นสวยที่สุดที่เคยไปมา ให้ชนะ Switzerland, New Zealand, Leh และ Iceland ไปเลย

ด้วยจุดเด่นของยอดเขาใน Dolomites ที่จะสะท้อนสีชมพูเวลาโดนแสงเช้า ทำให้ภาพที่นี่ยามเช้ามัน Surreal มากๆ ช่วง Gloden hour ที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น/ตก ยอดเข้าจะเป็นสีแดงอมชมพูครับ พอพระอาทิตย์ขึ้นแล้วในช่วงสายๆจากชมพูจะกลายเป็นเหลืองทอง โทนสีผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไปหมด แต่ก็สวยงามมากๆเช่นกันครับ

พอแสงเช้าหมดผมก็กลับมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมครับ เป็นข้อดีของการที่โรงแรมอยู่ไม่ไกลที่เที่ยว วนกลับไปกลับมาได้สะดวกครับ โดยบรรยากาศหน้าที่พักตอนสายๆก็สวยงามไม่แพ้กันครับ พูดได้ว่าแถบ Dolomites นี้ หันไปทางไหนก็ฟินครับ

พออิ่มกันแล้ว พวกเราก็เก็บของออกจากที่พักเพื่อไปเที่ยว Lake Braies กันอีกรอบครับ โดยตอนกลางวันทะเลสาบแห่งนี้จะมีกิจกรรมมากมายให้ทำครับ ไม่ว่าจะเป็น Trail วนรอบทะเลสาบ พายเรือเล่น และขี่ม้าลุยน้ำครับ

แต่ต้องเตือนไว้เลยว่าแดดแรง อากาศร้อนมากๆครับ ทำเอาผิวไหม้ได้ง่ายๆเลย พวกเรานี่ถึงกับต้องเอาเสื้อกันลมมาใส่เพื่อให้ไม่โดนแดดเผาครับ

จุดแลนด์มาร์คของที่นี่ ซึ่งเพื่อนๆน่าจะเห็นตั้งแต่ภาพแรกแล้วนั่นคือท่าเรือครับ ในตอนเช้าท่าเรือจะยังไม่เปิด เราก็จะถ่ายรูปได้จากข้างนอกเท่านั้น แต่พอสายๆ เราก็จะมีมุมสะพานเพิ่มขึ้นมาให้ถ่ายรูปครับ เป็นหนึ่งในมุมที่เราจะเห็นกันบ่อยๆเวลาอ่านบทความ Dolomites ความยากของจุดนี้คือต้องรอจังหวะที่ไม่มีคนบนท่าเรือครับ ซึ่งผมรออยู่นานพอดูเลย แถมไม่มีที่หลบแดดด้วย หน้าไหม้กันไปนะครับ

เราอยู่ที่ Lake Braies กันจนเที่ยงครับ หลักๆใช้เวลาไปกับการพายเรือ และเดิน Trail รอบทะเลสาบ ส่วนมื้อเที่ยงเราก็ทานอาหารที่ร้านอาหารริมทะเลสาบ ก่อนที่ฝนจะเทลงมาครับ โชคดีมากๆที่มาถูกวัน ถึงทุกที่ๆเราไปจะอากาศดีทั้งหมด แต่ก็จะมีเมฆครึ้มลอยผ่านไปผ่านมาให้ลุ้นกันตลอดครับ ถ้าสังเกตรูปถ่ายที่ Tre Cime di Lavaredo เมื่อวานก็จะเห็นว่ามีบางรูปที่ท้องฟ้าสีฟ้าใส มีช่วงที่ฟ้าเป็นสีขาวเพราะเมฆ และบางมุมที่เห็นเมฆดำลอยอยู่ไกลๆครับ

แนะนำสำหรับคนที่จะตามรอยมานะครับ พระอาทิตย์ขึ้นที่นี่เป็นไฮไลต์สุดๆ ถ้าเป็นไปได้ควรมานอนค้างใกล้ๆทะเลสาบเพื่อตื่นมาชมครับ แต่ถ้าไม่ซีเรื่องแสงเช้า และเวลาไม่เยอะมาก สามารถเลือกเป็นจุดแวะระหว่างทางได้ครับโดยใช้เวลาประมาณ 3-4 ชม. ที่นี่ แต่ถ้าไม่เดินวนหรือพายเรือ ชั่วโมงนิดๆก็พอที่จะชมวิวและเดินเที่ยวรอบๆโรงแรมแล้วครับ

พวกเรารอฝนซา และรีบเดินทางต่อครับ โดยเป้าหมายต่อไปคือ Val di Funes หรือหุบเขา Funes (Villnöß) ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อว่า Santa Maddalena ซึ่งเป็นอีกแลนด์มาร์คของเขต Dolomites นี้ครับ และก็ยังเป็นที่พักของเราในคืนนี้ด้วย

เส้นทางไปยัง Val di Funes เป็นเส้นทางที่ชัน และแคบที่สุดในทริปนี้ครับ รวมถึงช่วงจากทะเลสาบมาที่นี่จะเป็นช่วงที่ขับรถยาวที่สุดในทริปเราครับ ซึ่งจะเสียเวลาไปในหุบเขาซะเยอะ เพราะถนนจะเล็กลงจนเวลาสวนกันต้องชะลอหลบกันครับ โค้งเยอะขึ้น ไต่ขึ้นไต่ลงเยอะขึ้น แต่ทางก็ยังเป็นถนนลาดยางอย่างดีครับ

และที่สำคัญคือวิวดีสุดๆ เสียดายที่ให้จอดชมวิวไม่ค่อยมีครับ เลยต้องถ่ายจากบนรถไปก่อน แถวนี้จะมีถนนส่วนบุคคลเยอะนะครับ ต้องระวังดีๆถ้าจะเลี้ยวเข้าถนนเส้นเล็กเส้นน้อยแถวๆนี้

และแล้วเราก็มาถึงที่พักตอนบ่ายแก่ๆครับ ที่พักเราคืนนี้ชื่อว่า Fallerhof ครับ จะอยู่ลึกเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งจะต้องขับออกจากถนนใหญ่ ลัดเลาะไปตามถนนเส้นเล็กๆ และไต่ขึ้นไปตามเนินเนื่องจากแถวนี้จะไม่ค่อยมีพื้นราบคับ

โดยที่พักเราเป็นคล้ายๆ Airbnb มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ครัวและระเบียงที่วิวดีมากๆ ราคาตกคนละ 22 ยูโรต่อคืน จะไม่มีอาหารเช้านะครับ แต่มีครัว ซึ่งพวกเราก็ใช้วิธีลงไปในหมู่บ้าน Santa Maddalena ซื้อของกินมาทำเป็นอาหารเช้าแทนครับ ซึ่งตัวหมู่บ้านก็เล็กมากๆ แทบจะไม่มีร้านค้าเลย มีมินิมาร์ทเล็กๆ และร้านอาหารสองสามแห่งเท่านั้น

ที่พักส่วนใหญ่บริเวณนี่จะเป็นบ้านฟาร์มที่ซอยเป็นห้องย่อยๆแบบนี้ครับ ซึ่งมีไม่เยอะ และเต็มเร็วมากๆ โรงแรมมีอยู่บ้างแต่จะอยู่อัดๆในตัวเมืองใกล้ๆโบสถ์ซึ่งจะวิวไม่สวยเท่า อีกทางเลือกนึงคือเดินทางต่อไปพักที่เมือง Ortisei (Urtijëi) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ห่างออกไปไม่ถึงชั่วโมงนึงครับ และใช้วิธีเดินทางเที่ยวที่หมู่บ้านนี้แทน

ที่ควรระวังของแถบนี้คือร้านอาหารไม่ค่อยเยอะครับ และราคาค่อนข้างสูง เป็น Fine dining ที่รับนักท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่ครับ

พอเก็บของเสร็จ เราก็แวะไปถ่ายแลนด์มาร์คของที่นี่ นั่นคือ Chiesetta di San Giovanni หรือภาษาอังกฤษคือ Church of St. John ครับ เราสามารถจอดรถ และเดินเข้าไปชมตัวโบสถ์ใกล้ๆได้ แต่ตัวโบสถ์นั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ เป็นอาคารเล็กๆ ตั้งอยู่กลางทุ่ง

โบสถ์นี้จะสวยสุดเวลาที่เราถอยออกไปมองจากไกลๆครับ เพราะจะเห็นเทือกเขาหินปูนเป็นพื้นหลัง โดยจะมีแพลตฟอร์มตั้งขึ้นมาให้นักท่องเที่ยวชะโงกข้ามรั้วไปดูวิวได้เพราะทุ่งหญ้านั้นเป็นที่ส่วนบุคคลครับ อยากได้รูปสวยๆก็ต้องชะโงกกันหน่อย (จุดถ่ายรูป >> 46.636608, 11.721163)

ถ้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น/ตก มุมนี้น่าจะสวยงามมากๆครับ เสียดายที่ท้องฟ้าวันนี้ไม่เป็นใจเท่าไหร่

ที่สุดท้ายของวันนี้คือร้านอาหารที่ชื่อว่า Waldschenke ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Santa Maddalena Church ครับ เป็นร้านอาหารเยอรมัน ค่อนข้างหรู มีระเบียงให้นั่งชมวิวด้วยครับ แต่ตอนพวกเราไปถึงฝนเทลงมาอีกแล้ว เลยได้นั่งทานด้านในแทน (26 ยูโร)

และสุดท้ายช่วงดึกๆฝนหยุดตก มีแสงเย็นโผล่มาให้เราเห็นแป๊บนึง แต่ไม่แรงพอที่จะสะท้อนยอดเขาสีแดงครับ และคืนนี้ก็ฟ้าปิดทั้งคืน เรียกว่าทริปนี้ฟ้าใสตอนเช้า ครึ้มตอนบ่าย ปิดตอนกลางคืน ไม่มีโอกาสเก็บภาพดาวเลยครับ



:::::::::::::::::: Day 4: Ortisei :::::::::::::::::::

เช้าวันที่ 4 แล้ว เป็นอีกเช้านึงที่ผมแพลนจะออกมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นแต่ฟ้าปิดสนิทมากครับ เลยได้แค่เก็บภาพตอนสายๆรอบๆที่พัก และแวะกลับไปทำอาหารเช้ากินที่ห้องครับ

หลังจากทานเสร็จเราก็เก็บของออกจากที่พักกัน โดยเราจะแวะไปที่จุดชมวิวอีกจุดนึงของหมู่บ้าน Santa Maddalena ซึ่งเป็นจุดที่ผมกะๆเอาจาก Google map มุมน่าจะสวยครับ จริงๆจะเดินเท้ามาจากที่พักก็ได้นะครับ แต่คงหอบแฮ่กๆแน่นอน  พวกเราเลยใช้วิธีขับรถเอา ซึ่งปลายทางก็ไม่มีที่จอดครับ ต้องหลบไหล่ทางเอา ถ้าใครจะตามรอย ลองหาที่พักใกล้ๆ จุดนี้ก็ดีนะครับ เพราะวิวสวยใช้ได้เลย

จุดที่แวะถ่าย >> 46°38'53.1"N 11°42'57.3"E

ต่อมาพวกเราก็ตีรถเข้าไปยังเมือง Ortisei (Urtijëi)  ที่อยู่ใกล้ๆกัน โดยเมืองนี้มี Landmark ที่สำคัญอยู่สองแห่งคือที่ราบสูง Alpe Di Siusi (Seiser Alm) และที่ราบสูง Seceda ซึ่งทั้งสองที่นี้สามารถเดินทางไปจากเมืองนี้ได้ทั้งคู่ครับ ซึ่งจุดขั้นที่ราบสูงทั้งสองที่นั้นห่างกันไม่มากครับ ประมาณ 800 เมตรเท่านั้นเอง เราจึงใช้วิธีจอดรถไว้ที่จุดนึง และเดินเท้าไปอีกจุด โดยแวะชมเมืองไปพลางๆครับ

ตัวเมืองเองก็เต็มไปด้วยที่พัก ร้านกาแฟ และร้านอาหารต่างๆครับ อาคารมีความน่ารัก ตามสไตล์เมืองท่องเที่ยว มีประติมากรรมเป็นระยะๆด้วย

พอมาถึงพวกเราก็ไปแวะเดินหาร้านกาแฟนั่งเล่นกันก่อนครับ

พอเติมพลังกันเสร็จ ที่แรกที่เราไปคือ Alpe Di Siusi โดยจุดขึ้นจะชื่อว่า Funivie Ortisei - Alpe di Siusi ค่าขึ้นประมาณ 24 ยูโรครับ โดยจะรวม Cable car + Chairlift ในช่วงแรกเราจะนั่ง Cable car ขึ้นจากเมืองไปยังยอดเขา จากนั้นก็จะนั่ง Chair Lift ลงไปยังทุ่งหญ้าด้านล่างครับ

ตรงยอดเขาจะมีวิวมุมกว้างๆให้ดู แต่สวยเทียบทุ่งด้านล่างไม่ได้เลยครับ ร้านอาหารก็จะอยู่บริเวณนี้ด้วย ซึ่งเป็นมื้อเที่ยงของเราในวันนี้ครับ (23 ยูโร)

เมื่อลง Chair Lift ก็จะถึงจุดที่เป็นที่ราบสูงแท้ๆ (แต่ก็เต็มไปด้วยเนินเขาอยู่ดี) โดยเราจะสามารถเดินเที่ยวไปตามถนนเส้นเล็กๆรอบๆได้ซึ่งวิวดีมากๆ

แต่ถ้าอยากได้รูปพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกที่นี่ก็จะต้องจองที่พักบนนี้ (โรงแรมในรูป) เพราะ Cable car เปิดสายปิดเย็นครับ ไม่ตรงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น-ตกเลย และจะปิดในบางเดือนด้วย รวมถึงถนนบนนี้นับเป็นถนนส่วนบุคคล ขับรถขึ้นมาไม่ได้ ยกเว้นจะจองที่พักบนนี้ครับ

เส้นทางที่แนะนำให้เดินชมวิวที่นี่จะเป็นเส้นจะเดินไปทางด้านหลังโรงแรมครับ ถ้ามีเวลาเยอะๆ แนะนำให้ค่อยๆเดินสำรวจไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามีเวลาไม่มากเดินเส้นนี้จะได้วิวตามในรูปครับ

เส้นทาง: http://bit.ly/2o3SoTi

ถัดมาเราก็จะไปขึ้นที่ราบสูง  Seceda กันครับ จากสถานี  Funivie Ortisei ให้เดินข้ามสะพานทะลุเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปยังสถานี Gondola ที่ชื่อว่า Seilbahn Seceda ซึ่งจะพาเราไปยังยอดเขา Seceda ครับ ระยะเวลาเดินเท้าประมาณ 15 นาทีครับ จะขับรถไปก็ได้หมือนกัน แต่จะเสียค่าจอดรถสองรอบ

โดย Gondola ไป Seceda ก็จะต้องขึ้นรอบสองเช่นกันครับ โดยจะต้องต่อรอบนึงที่สถานี Seced Furnes 2 เพราะว่ายอดเขามันสูงมาก ค่าขึ้นอยู่ที่ 32 ยูโรครับ

พอชึ้นมาถึงบนยอดเราก็เดินตามทางไปยังจุดชมวิวได้เลยครับ ระยะทางไปยังจุดแรกจะไม่ไกล และเดินสบายๆครับ แต่ตอนผมไปหิมะปิดทางนิดหน่อย เลยต้องออกนอกเส้นทาง ชันบ้างลื่นบ้างไปตามสภาพ

บนยอดเขาแห่งนี้ก็เป็นจุดเล่นสกีเช่นกันครับ แต่ถ้าไม่ใช่หน้าหนาว บรรดา Chair Lift จะไม่เปิดครับ และที่นี่ไม่มีที่พักด้วย จะมีแค่ร้านอาหารและห้องน้ำตรงสถานี Gondola เท่านั้นเอง ถ้าอยากได้วิวพระอาทิตย์ขึ้น-ตกที่นี่จะต้องขนเต้นท์ขึ้นมากางเองเท่านั้นครับ ซึ่งเห็นนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์บนนี้เยอะเหมือนกันครับ

เราสามารถเดินเลียบสันเข้าคมมีดแห่งนี้ไปได้เรื่อยๆนะครับ วันนั้นที่เห็นเดินกันไปไกลสุดเห็นจะเป็นสันที่ 2 ในภาพครับ พวกผมมีเวลาเหลือไม่เยอะแล้ว เพราะวันนี้ไปหลายที่เกิน จึงหยุดแค่ตรงสันแรกครับ ใครชอบเดิน Trail แนะนำให้เผื่อเวลาที่นี่ไว้วันนึงได้เลยครับ

จุดชมวิว: 46°36'02.6"N 11°43'39.3"E

ลงมาด้านล่าง เราก็ไปหาอาหารเย็นทานกันครับ นานๆทีเข้าตัวเมืองเลย ไปหาร้านอร่อยๆทานกันครับ ไปจบกับร้านที่ชื่อว่า Tubladel ครับ ที่ดังเรื่องอาหารตระกูล Grill ต่างๆ ฟินกันไปครับมื้อนี้ กระเป๋าเบาไปเลย (43.8 ยูโร)

คืนนี้เราพักนอพาทเมนต์ในตัวเมืองที่ชื่อว่า Elvis Apartment เป็นห้องอยู่ได้ 5 คน ห้องใหญ่ มีครัว สะดวกสบายมากครับ ตกคนละ 41.3 ยูโรต่อคืนครับ



:::::::::::::::::::: Day 5 : Lake Carezza ::::::::::::::::::::

วันสุดท้ายของทริปแล้ว วันนี้ไม่เร่งรีบมาก พวกเราทำข้าวเช้าทาน แล้วก็เดินทางออกจากเมือง Ortisei  กลับสู่ Venice ครับ โดยจะแวะเที่ยวแค่จุดเดียวคือ Lake Carezza ซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับนั่นเอง

Lake Carezza นั้นอยู่ห่างจากเมืองที่เราพักไปประมาณชั่วโมงนิดๆเท่านั้น แต่ระหว่างทางเจอซ่อมถนนไป เลยทำให้รถติดยาวๆ เวลาที่หายทำให้เราเหลือเวลาเที่ยวทั้งที่ทะเลสาบ และ Venice เพียงนิดเดียวเท่านั้นครับ

ตัวทะเลสาบนั้นไม่ใหญ่มาก จากที่จอดรถมีการทำอุโมงค์รอดใต้ถนนอย่างดีไปยังทะเลสาบ รวมทั้งห้องน้ำ ร้านอาหาร ขนม ครบครันครับ โดยพอทะลุอุโมงค์ไปก็จะเจอ Platform ให้ชมวิว ซึ่งก็เป็นมุมที่เราเห็นกันบ่อยๆในเนตนั่นเอง เราสามารถจะไปแค่แวะชะโงกชมวิวทะเลสาบหรือจะเดินวนก็ได้ครับ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่า วิวตรง Platform ที่จัดให้สวยที่สุดแล้ว

เพราะรถติดในช่วงแรกทำให้เรามาถึงที่นี่ใกล้เที่ยง ซึ่งทำให้มุมทะเลสาบมันย้อนแสงครับ ภาพเลยออกมาฟุ้งๆอย่างที่เห็น แต่มองด้วยตาก็สวยนะครับ อีกเรื่องที่น่าเสียดายคือด้านข้างทะเลสาบเค้าตัดต้นไม้ไปเยอะมาก จนกลายเหลือเป็นดินโล่ง ไม่รู้ตัดไปทำไมครับ แต่เสียทัศนียภาพไปมากอยู่

จากนั้นเราก็ขับรถยาวๆไปกินข้าวเที่ยง(ตอนบ่ายแก่ๆ) ที่ Venice ครับ ตอนแรกไม่ได้แพลนจะแวะ Venice เพราะแผนวันนี้เราเผื่อเวลาไว้กรณีที่ขึ้น Seceda เมื่อวานไม่ทัน แต่ปรากฏว่าไปทัน เราเลยกะว่าจะแวะเที่ยว Venice สักครึ่งวัน แต่สุดท้ายซ่อมถนนไปเลยเหลือเวลาให้ Venice แค่ 3-4 ชั่วโมงครับ แต่ไม่แนะนำให้รวม Venice ไว้ในทริป 5 วันนะครับ เพราะเแน่นมากๆ ตอนเที่ยวในเมืองนี่แทบจะวิ่งเหยาะๆ และทีมผมมีคนเคยมาแล้วคอยนำทางให้ ถ้าไม่เคยมานี่จะหลงได้ง่ายๆเลยครับ

เพราะอยู่ในป่าเขามานาน แล้วก็ตัดภาพมาที่ Venice เลย ทำให้มีความ Culture Shock เบาๆ เพราะเมืองนี่คือที่สุดแห่งความวุ่นวายซึ่งก็เป็นสีสันไปในตัว ทุกที่ทุกเวลาใน Venice จะมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นครับ มองไปทางไหนก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่น่าสนใจ บวกกับตัวอาคารบ้านเรือนที่สวยงามและดูมีเรื่องราวในทุกๆที่ เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ช่างภาพสายสตรีท และแคนดิตเลยทีเดียว

เนื่องจากเราไปแบบรีบๆ กึ่งๆไป Venice Fun Run ยังไงยังงั้น ก็เลยไม่มีเวลาศึกษาเส้นทางสักเท่าไหร่ครับ จริงๆเดินไปไหนมาบ้างยังไม่มั่นใจเลยรู้แค่ปลายทางที่ไป ภาพที่ถ่ายมาก็เป็นแบบเดินผ่าน เห็น กดแชะนึง แล้วก็วิ่งตามทีมไป มันก็จะเรียลๆนิดนึงนะครับ

จุดหมายแรกของเราคือ Rialto Bridge จริงๆใช้คำว่าร้านอาหารข้างๆ Rialto Bridge จะตรงกว่าเพราะเราไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันมา โดยพี่ในทีมเคยมาทานและชอบแถบนี้มากครับ พวกเราก็หน้ามืดสั่งกันมาเต็มที่ให้สมเป็นมื้อแรกและมือเดียวใน Venice ของผมครับ (60 ยูโร)

หลังจากอิ่มกันแล้ว เราก็มาเดินเล่นกันที่ Rialto Bridge คนเยอะมากๆ เบียดกันเดินขึ้นเบียดกันลงครับ แถมอากาศตอนนั้นก็ร้อนสุดๆ เหมือนไปพัทยาเดือนเมษาจริงๆครับ

ตัวสะพานสวย แต่วิวจากสะพานนั้นสวยกว่าครับ เราจะเห็นโค้งแม่น้ำ พร้อมกับความวุ่นวายฉนับ Venice รวมอยู่ในภาพด้วย เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้จริงๆครับ

ถัดมาเราก็เข้าสู่ช่วงหลังของ Venice Fun Run โดยเราจะตัดเมืองอีกฝั่งไปยัง Basilica di San Marco และ St. Mark's Square ครับ รวมระยะทางจากสถานีรถไฟที่เราลงมาก็ 2.5 Km พอดีครับ ซึ่งเราก็จะเจอปลายสุดของเกาะพอดี สรุปเดินครบทั้งเกาะนะครับ แต่เดินตัดกลาง ไม่ได้เดินวน 555

แล้วก็ใกล้หมดเวลาเที่ยวแล้วครับ เราต้องรีบไปคืนรถ และขึ้นเครื่องกลับ เราจริงรีบเดินทางกลับ ทางเดินรึป่าวไม่แน่ใจนะครับ แต่สุดท้ายก็วนกลับมาสถานีรถไฟจนได้ คิดว่าระยะรวมๆน่าจะ 5K พอดีครับ ก็ได้สัมผัส Venice แบบเร็วๆ ไว้ในอนาคตจะกลับมาลงลึกที่นี่อีกรอบนะครับ

ก็จบลงแล้วนะครับกับทริป 5 วันใน Dolomites จริงๆแถบนี้ยังมีจุดสวยๆอีกหลายจุดให้แวะไป โดยเฉพาะถ้าเป็นสาย Trekking มีอีกหลายสิบ Trail ที่สวยสุดให้เดินครับ นอกจากนี้ถ้ามาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือต้นฤดูหนาวจะได้แลนสเคปที่แตกต่างจากตอนผมไปมากๆครับ การเที่ยวในแต่ละที่ก็เข้าถึงง่าย ถึงง่ายมากๆ ขับรถไม่ยาก ถนนดี ถ้ามีโอกาส แนะนำให้มาลองจริงๆครับ ผมยังอยากจะมาซ้ำและเก็บที่ๆพลาดไปอยู่เลย

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามอ่านจนจบนะครับ หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้เพื่อนๆตามรอยไปเที่ยวได้ง่ายขึ้นนะครับ

ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้านะครับ


สุดท้ายนี้ขอฝากรีวิวเก่าๆไว้ด้วยนะครับ

✦ Switzerland & Paris

https://th.readme.me/p/38119

✦ Baltics & Nordics: Lithuania - Latvia - Estonia - Finland - Sweden

https://th.readme.me/p/28273

✦ Leh-Ladakh

https://th.readme.me/p/15558

✦ New Zealand: 12 Day in South Island

https://th.readme.me/p/10306

✦ Iceland: 10 Day round trip

https://th.readme.me/p/4522

✦ Singapore

https://th.readme.me/p/3507

✦ Japan : Tokyo & Kawaguchiko & Gala Yuzawa & Nagano

https://th.readme.me/p/2006

✦ Malaysia: Kuala Lumpur & Cameron Highland & Penang
https://th.readme.me/p/1935

✦ Vietnam : Ho Chi Minh & Dalat & Mui Ne

https://th.readme.me/p/1936

✦ Indonesia : Bromo & Kawa Ijen & Borobudur

https://th.readme.me/p/1939

✦ Russia: Moscow & Saint Petersburg

https://th.readme.me/p/1940

Mountain Seal

 วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 17.09 น.

ความคิดเห็น