#รีวิว เเบ๊คเเพ็คทริปสังขละบุรี 3วัน2คืนกับงบ 2,000 บาทมีทอน

-ทริปนี่เราเดินทางโดยรถไฟ

-ต่อรถตู้จากกาญ -​ สังขละบุรี

-เช่ามอไซร์เที่ยวตลอด3วัน

-ค้างคืนโฮมสเตย์ราคาหลักร้อยวิวหลักล้าน #โครตฟิน !!

#จุดไฮไลท์ของอำเภอสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต้องมาสัมผัส นอกจากวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ธรรมชาติที่น่าประทับใจแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดต่างๆ ดังนี้ 
#สะพานมอญ สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือที่เรียกกันว่า เป็นสะพานไม้ยาวที่สุดในประเทศไทยที่มีความยาว 850 เมตร เป็นสะพานที่ใช้ข้าม แม่น้ำซองกาเลีย ระหว่างสังขละ-หมู่บ้านมอญ ถือเป็นไฮไลท์และมนต์เสน่ห์ของสังขละบุรี ใครมาสังขละเเล้วไม่ได้เเวะสะพานมอญคือคุณมาไม่ถึง
#วัดวังก์วิเวการาม หรือที่คนมอญเรียกกันว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นเเหล่งศูนย์รวมจิตใจของชาวอำเภอสังขละบุรีมาอย่างยาวนาน
#เจดีย์พุทธคยา
จำลองจากของจริง เป็นเจดีย์สีทองอร่าม เราสามารถเห็นได้เเต่ไกลจากตัวอำเถอสังขละบุรี
#กิจกรรมล่องเรือ
ท่องเที่ยวเเม่น้ำซองกาเรียชมวัดใต้น้ำ
#ตลาดนัดคนเดินสังขละบุรี
เเนะนำหมูจุ่มพม่าไม้ละบาท
#ด่านเจดีย์สามองค์
เป็นจึดไฮไลท์อีก1จุดที่เราสามารถเเวะซื้อของฝากเเละข้ามไปเที่ยวประเทศพม่าได้
#น้ำตกนพพิบูรณ์
น้ำตกที่เพิ่งถูกค้นพบได้ไม่นานนี้ สามารถเล่นน้ำชมธรรมชาติได้เป็นอย่างดี

การเดินทาง (ขนส่งสาธารณะ) #รถทัวร์สามารถขึ้นรถที่หมอชิตใหม่ รถทัวร์ บขส.999 กรุงเทพฯ - ด่านเจดีย์สามองค์ไปลงที่อำเภอสังขละบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 - 7 ชั่วโมง
#รถตู้
ขึ้นได้ที่หมอชิต,สายใต้ใหม่,สายใต้เก่า (เท่าที่รู้ครับ^^) กรุงเทพ-กาญจนบุรี แล้วต่อรถตู้จากกาญจนบุรี-สังขละบุรี รวมเวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง
#รถไฟ
สำหรับคนที่ชอบสโลไลฟ์สามารถขึ้นจากต้นทางสถานีธนบุรี มาลงที่สถานีน้ำตกใช้เวลาเดินทางประมาณ5ชั่วโมง เเล้วต่อรถตูัที่หน้าน้ำตกไทรโยคเข้าอำเภอสังขละใช้เวลาประมาณ2-3ชั่วโม'

เเนะนำที่พัก
#พีเกสเฮาท์รีสอร์ท
เพราะเราทาพักเเล้วยอมรับเลยว่าที่นี้เค้าได้ขื่อว่า #ที่พักหลักร้อยวิวหลักล้าน จริงๆครับ

พิกัด
https://goo.gl/maps/XCFy1Br4Y8m3DnRp7

กร๊าบบบบบ สวัสดี สวีดัส พบกับเราเพจเดี๋ยวพาไป กันอีกเเล้วน๊าาา ใกล้หน้าฝนเเล้วจะไปเที่ยวไหนทีก็ลำบาก แต่ใจเสพติดการท่องเที่ยว เลยหาสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวหน้าฝนได้แบบฟินๆ ทริปนี้เราเลยไปอ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี สถานที่เที่ยวที่ได้ชื่อว่า เมืองในหมอก เเละครั้งนี้เราเที่ยวกับเเบบเเบ๊กเเพ็คเดินทางโดยรถสาธารณะ กับงบ 2,000มีทอน ก็เลยจะมารีวิวสั้นๆให้อ่านเป็นเเนวทางการท่องเที่ยวกันนะครับ ^^

Day 1.....
เราเริ่มต้นกันที่ สถานีรถไฟ ธนบุรี เพื่อเดินทางไปลงที่สถานีรถไฟกาญจนบุรี โดยขบวนรถธรรมดาที่ 257 ต้นทางธนบุรี -​น้ำตก ออกจากธนบุรีรอบเวลา 07.50 น. บอกเลยว่าค่ารถไฟถูกโครตตตต 25 บาทเท่านั้นเอง

การนั่งรถไฟเป็นสิ่งที่เราชอบมาก เพราะการเดินทางโดยรถไฟเหมาะสำหรับคนที่ชอบเดินทางเเบบไม่เร่งรีบเเบบเรา ได้เห็นวิถีชุมชน 2ข้างทางตลอดเส้นทาง

บนขบวนรถไฟ ขบวนที่เราใช้บริการยังคงความคลาสสิคโดยการพ่วงตู้เเบบเก้าอี้ม้านั่ง ทำให้เราค่อนข้างตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้พอสมควร

07.50 น.รถไฟออกตามเวลา รถไฟค่อยๆวิ่งผ่านวิวทุ่งนา สลับกับภูเขาลูกนั้นทีลูกนู้นที ทำให้เรารู้สึกว่า
" ร ะ ห ว่ า ง ท า ง มันเพลิน จนลืมว่า ร ะ ย ะ ท า ง มันไกลเเค่ไหน"

หนึ่งไฮไลท์ของทางรถไฟสายน้ำตกเราจะผ่านสะพานข้าวเเม่น้ำเเคว เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยเเละชาวต่างชาตินิยมนั่งรถไฟมาเที่ยวกันที่นี่

การเดินทางโดยรถไฟทำให้เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติ เเบบนี้

ไฮไลท์สำคัญของเส้นทางรถไฟสายนี้คือ สะพานถ้ำกระเเซ หรือที่เรียกกันว่าสะพานมรณะ (จุดนี้เราจะผ่านตอนขากลับนะครับ เพราะขาไปเราลงเเค่สถานีกาญจนบุรีครับ)​

ใครผ่านจุดนี้นิยมเก็บภาพเป็นหนึ่งในคงามทรงจำเสมอ

วิวเเบบนี้ต้องเดินทางด้วยรถไฟเท่านั้นครับ

จุดนี้เราสามารถลงรถไฟเพื่อไปไหวสักการะ พระในถ้ำกระเเซหรือเดินถ่ายรูปบนสะพานรถไฟได้(ควรใช้ความระมัดระวัง)​

เอาละเข้าเรื่องกันดีกว่า รถไฟถึงกาญจนบุรีในเวลา10.35 น. เราลงรถไฟก็จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจวัดไข้ เเละเราก็ส่งใบที่กรอกรายละเอียดจากสถานีต้นทางหย่อนลงที่สถานีนี้ครับ

อยากบอกว่าสถานีกาญจนบุรีเป็นอีก1สถานีที่นักท่องเที่ยวนิยมลงมากเป็นอันดับต้นๆของเส้นทางสายน้ำตกเลย

เราขึ้นรถสองเเถวจากหน้าสถานีรถไฟกาญฯ มาลงที่ บขส.กาญฯ ในราคาคนละ 10 บาท รถใช้เวลาวิ่งประมาณ 15นาทีครับ

พอถึง บขส.กาญฯ เราก็ต่อรถตู้เข้าสังขละบุรี คาโดยสารคนละ 180 บาท รถใช้เวลาวิ่ง 3ชั่วโมงครึ่งครับ

เราถึงสังขละบุรีในเวลา 16.00 น.เราก็นั่วพี่วินมอไซร์คนละ20 บาท มาลงที่ พีเกสเฮาท์รีสอร์ท บอกเลยว่าที่นี่ราคาหลักร้อย วิวหลักล้านจริงๆ

ที่นี่สามารถนำเต้นท์มากางนอนได้ด้วยนะครับส่วนเราพักห้องพัดลมเป็นห้องเตียงคู่ วิวบอกเลยว่าสวยโครตๆๆ ในราคาคืนละ 350 บาทเท่านั้น ห้องแอร์ 750 บาท

ตกเย็นเราเช่ามอไซร์ของทางที่พักไว้เที่ยวตลอดทริป ค่าเช่าวันละ 200 บาท ตอนเช่าน้ำมันเต็มถัง ตอนคืนก็ต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังด้วยนะครับ
..... เราเเว้นมอไซร์มากันที่สะพานมอญเพื่อดูวิวตอนเย็น บอกเลยว่าบรรยากาศ้ย็นสบายดีมาก

จุดไฮไลท์สำคัญของสังขละบุรี แท่นเเท้นนนน “สะพานมอญ” เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 445 เมตร และเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็ง ในประเทศพม่า เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำซองกาเรีย ที่ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
สะพานนี้สร้างขึ้นโดยดำริของ หลวงพ่ออุตตมะ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ในปี พ.ศ. 2528 จนถึง พ.ศ. 2530 โดยใช้แรงงานของชาวมอญ เป็นสะพานไม้ที่ใช้สัญจรไปมาของชาวมอญและชาวไทยที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี

สะพานมอญ ถ้ามาช่วงเย็นๆนี่บอกเลยว่า ฟินโครตตตต เราจะได้เห็นวิถีชาวบ้าน เห็นเด็กกระโดดน้ำ ท้องน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา โดยมีภูเขาเป็นภาพพื้นหลัง เเดดร่มลมตกนี่บอกเลยว่าฟิน ^^

สะพานมอญเป็นอีกจุดหนึ่งที่ดึงดูดนักถ่ายภาพนักต่อนักให้มาเก็บภาพพระอาทิตย์ตกที่นี่
...... เริ่มหิวเราก็ไปตลาดสิครับ จุดศูนย์รวมสำคัญอีกเเห่งหนึ่งของสังขละคือ ตลาดโต้รุ่งครับ ที่นี่ เสาร์-อาทิตย์จะมีของขายเยอะเป็นพิเศษ เเต่จุดไฮไลท์จริงๆคือ เเท่นนนน เเท้นนนน หมูจุ่มพม่าไม้ละ1บาทครับ บอกเลยว่าถ้ามาสังขละเเล้วไม่ลองมากินเหมือนมาไม่ถึงนะ เชื่อเราสิ กินคำเเรกอื้อหือ อร่อยว่ะ !! เป็นหมูเเช่ในน้ำพะโล้ครับ ไม้นึงก็เเค่นี้ครับเเต่เด็ดที่น้ำจิ้ม น้ำจิ้มจะมี 2 ถ้วยครับ น้ำจิ้มเหมือนน้ำจิ้มสุกี้เเต่จี๊ดจ๊าดกว่า อีกถ้วยนึงจะคล้ายๆน้ำจิ้มซีฟูดครับ

กลางคืนที่พีเกสเฮาท์บอกเลยว่าเหมาะสำหรับนั่งชิลหรือเเม้กระทั่งการนั่งดูดาว

DAY 2 เราตื่นกันตั้งเเต่ 05.30 เพื่อออกมาดูเเสงเเรกของวันที่สะพานมอญกับบรรยากาศหมอกจางๆอากาศเย็นๆ เราขะได้เห็นวิถีขีวิตของชาวบ้านชาวมอญด้วย
ครับ
...... สะพานมอญห่างจากพีเกสเฮ้าท์ประมาณ 1 กิโลครับ โดยสะพานมอญเป็นจุดท่องเที่ยวที่เรียกว่า เป็นสัญลักษณ์ของสังขละบุรีไปแล้ว

เริ่มเช้า ชาวบ้านก็เริ่มดำเนินชีวิตประจำวัน นักท่องเที่ยวเองก็เริ่มออกหมาเดินเที่ยวสะพานมอญเช่นกัน
..... แน่นอนว่าแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลาย ๆ แห่ง รวมถึงที่นี่ สังขละบุรีด้วย ต่างมีเจ้าหนูมัคคุเทศก์น้อย ที่จะคอยเดินเข้ามาพูดคุย บอกเล่าเรื่องราวของสถานที่เกิดของพวกเขา ด้วยความน่ารัก เป็นมิตร พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่เงินเป็นสิ่งตอบแทน แต่ต้องการจะสื่อสารกับผู้คนด้วยจิตใจรักบ้านเกิด ถ้าคุณมีโอกาสไป ลองมองตาพวกเขา แล้วจะรู้ว่าเด็กน้อยกลุ่มนี้ พวกเขามีเสน่ห์มากแค่ไหน …

ดูวิวเสร็จเเล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยของการมาสังขละบุรีคือ การใส่บาตรมอญ เราเดินข้ามไปอีกฝั่งของสะพานก็จะเป็นฝั่งมอญ ฝั่่งมอญนี่คือประเทศไทยนะครับ เพียงเเต่ว่าชาวมอญอาศัยอยู่เยอะเลยเรียกกันว่าฝั่งมอญ

ระหว่างระพระมาเราก็แอบมาลองกินขนมพื้นบ้านดู 10บาท เเต่อร่อยดี

พิธีตักบาตรมอญ เป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวบ้านที่นี่ ทุกเช้าตรู่เวลาประมาณ 6.30 น. ชาวบ้าน นักท่องเที่ยว ต่างต่อแถวเนื่องแน่น เพื่อรอใส่บาตรพระสงฆ์ คุณจะพบรอยยิ้มของคนในชุมชน เด็กน้อยผู้นำโถข้าวมาซ้อนไว้บนศีรษะ หรือนักท่องเที่ยวที่สวมชุดมอญเดินถ่ายรูป เป็นภาพที่คุณไม่อาจเห็นที่ไหนในประเทศนี้ นอกจากที่นี่ สังขละบุรี    ที่ฝั่งมอญจะมีการจัดชุดใส่บาตรไว้ให้เราด้วยนะครับชุดละ 99 บาทพร้อมชุดมอญสำหรับเปลี่ยนถ่ายรูปฟรีครับ

ฝั่งมอญนอกจากจะมีการใส่บาตรเเบบชาวมอญเเล้วยังมีร้านค้าที่มีพ่อค้าเเม่ข่ยเปิดร้านขายของที่ระลึกเเบบภูมิปัญญาชาวบ้านในราคาที่ไม่เเพงด้วยนะครับ

หลังจากใส่บาตรเเละกินอาหารเช้าที่สะพานมอญเสร็จเเล้ว สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันคือวัดจมน้ำครับ โดยการเดินทางจะต้องเหมาเรือไปเท่านั้นครับ ค่าเรือคิด ไป-กลับลำละ 500 บาทครับ โดยเรือ1ลำนั่งได้ประมาณ 6-7 คนครับ

ครั้งนี้เป็นการนั่งเรือเที่ยวที่เราไม่เบื่อเลยนะ เพราะระหว่างเรือวิ่งลมจะตีหน้าทำให้เย็นตลอดเวลา อีกอย่างวิวสองข้างทางมันฟินด้วยละ

จุดเเวะจุดเเรกคือ วัดจมน้ำ หรือวัดวัดวังก์วิเวการาม(เดิม) เดิมวัดนี้เป็นวัดหลวงพ่ออุตตมะ ต่อมามีการสร้างเขื่อนน้ำจึงท่วมในที่เดิม จนหลายคนเรียกกันว่าเมืองบาดาล การเดินทางเข้าชมคือทางเรือเท่านั้นครับ วัดใต้น้ำ หรือ วัดจมน้ำ คือวัดวังก์วิเวการามเดิม

วัดจมน้ำ คือวัดวังก์วิเวการามเดิม ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็น Unseen Thailand เพราะมีความแปลกที่มีซากโบราณสถานจมอยู่ใต้น้ำ เป็นสถานที่เล่าขานถึงตำนานความเป็นมาของวัดหลวงพ่ออุตตมะ จนหลายคนเรียกกันว่าเมืองบาดาล นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในช่วงฤดูร้อนถึงต้นฤดูฝน ตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม – มิถุนายน เป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำจะลดลงมาก จะสามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์เก่าได้ ส่วนคนที่มาเที่ยวช่วงปลายฝนจนถึงฤดูหนาว ตั้งแต่ประมาณกันยายน – มกราคม อาจจะได้เห็นแค่บางส่วนของตัวโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำ หรือบางทีก็จมน้ำเป็นเมืองบาดาล จะมีให้เห็นก็เพียงแต่ยอดหอระฆังเดิมเท่านั้นที่สูงพ้นน้ำเท่านั้น

วัดวังก์วิเวการามเดิมนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2498 เป็นวัดที่เกิดจากพลังความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลวงพ่อ
อุตตมะ
วัดอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือบริเวณเนินที่มีแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี มารวมกันเป็นแม่น้ำแควน้อย ในปี 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีโครงการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือเขื่อนเขาแหลม เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เมื่อสร้างน้ำเพิ่มขึ้นจนท่วมตัวอำเภอเก่า หมู่บ้านชาวมอญ รวมถึงวัดวังก์วิเวการามเดิม สำหรับวัดย้ายมาอยู่บนเนินเขาด้านฝั่งตะวันตกของลำน้ำแควน้อยในปัจจุบัน
บริเวณวัดเดิม ถูกปล่อยให้จมอยู่ใต้น้ำ “วัดใต้น้ำ” หรือ “เมืองบาดาล” และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของ อ.สังขละบุรีครับ

การมาที่นี่ทำให้เรารู้สึกสงบเเบบบอกไม่ถูกเลยเลยละ

นั่งเรือมาอีกนิดก็จะเจอซากวัดเก่าที่จมน้ำหลงเหลือเเต่อนุสรณ์สถานให้คนรุ่นหลังได้ดูกันครับ จุดๆนี้เราสามารถลงไปถ่ายรูปได้นะครับ

เดินมาถึงด้านบนเราก็จะพบพระประธานให้เรากราบไหว้ครับ

เสร็จจากล่องเรือชมวัดเราก็เเว้นมอไซร์กันเพื่อไปด่านเจดีย์ 3องค์กันครับ โดยด่านเจดีย์3องค์ห่างจากตัว อ.สังขละประมาณ30กิโลเท่านั้นครับ

เมื่อมาถึงด่านเจดีย์3องค์ทถ้าเป็นช่วงเวลาปกติที่ไม่มีไวรัสโควิด-19 ที่นี่จะคึกคักเเละเต็มไปด้วยผู้คนที่จะข้ามด่านไปเที่ยวยังประเทศพม่าครับ

หากเรามาเองไม่ผ่านทัวร์ก็จะต้องทำการติดต่อที่ด่านชายแดนเจดีย์สามองค์เพื่อทำบัตรผ่านแดนเข้าพม่าภายใน 1 วันเสียก่อน
เอกสารที่ต้องเตรียม มีดังนี้
1. สำเนาบัตรประชาชนผู้ข้ามแดนทุกคน โดยเจ้าหน้าที่จะเก็บบัตรประชาชนตัวจริงไว้ 1 ใบ และให้บัตรผ่านแดนมา เมื่อกลับเข้ามาอย่าลืมแวะด่านเพื่อแลกบัตรประชาชนตัวจริงคืนนะครับ

2. กรณีนำรถยนต์เข้าไปในพม่า จะต้องใช้ สำเนาทะเบียนรถ/พรบ./ประกันภัย/ป้ายวงกลม(ป้ายการเสียภาษี) อย่างใดอย่างหนึ่ง และเสียค่าธรรมเนียมคันละ 50 บาท (มอเตอร์ไซค์เอาเข้าไปไม่ได้) ค่าธรรมเนียมผ่านด่านชายแดนเจดีย์สามองค์ จากฝั่งไทยไม่เสียค่าธรรมเนียม ส่วนฝั่งพม่าเสียค่าธรรมเนียมคือ ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 10 ดอลล่าร์ (ชาวต่างชาติไม่สามารถประทับตราวีซ่าใหม่ ณ จุดผ่านแดนนี้ได้)
เวลาทำการด่านเข้า-ออก 6.00 น. – 18.00 น.
ติดต่อสอบถามการเปิด-ปิดด่านได้ที่ ตม.สังขละบุรี โทร 034-595-335
ข้อแนะนำ
– นักท่องเที่ยวที่ผ่านแดน ไม่สามารถพักค้างคืนในพม่าได้ ต้องกลับเข้ามายังฝั่งไทยก่อนเวลาด่านปิด คือเวลา 18.00 น.
– หากขับรถยนต์เข้าไปในพม่าต้องเปลี่ยนจากขับเลนซ้ายเป็นเลนขวา
– สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์จากตัวเมืองสังขละ เพื่อขี่ไปเที่ยวแถวบริเวณด่านเจดีย์สามองค์ได้ แต่ไม่สามารถนำมอเตอร์ไซค์ผ่านข้ามแดนไปพม่า
– ฝั่งพม่ามีมอเตอร์ไซค์รับจ้างพาทัวร์วัดและตลาด ราคาประมาณ 100 – 120 บาท เช่นไปวัดเสาร้อยต้น ตลาดพญาตองซู และวัดเจดีย์ทอง
สำหรับใครที่กลัวหลง เดินทางไม่ถูก ไม่ต้องห่วงนะครับ ที่ด่านมีแผนที่ในการเดินทางให้ สามารถขอเจ้าหน้าที่ได้เลย เมื่อเข้าฝั่งพม่าแล้ว อย่าลืมว่าต้องขับรถเป็นเลนขวาค่ะ ถนนเป็นลาดยางนิดหน่อย หลังจากนั้นจะเจอแต่ทางดินลูกรัง ขรุขระบ้าง ได้บรรยากาศแอดเวนเจอร์หน่อยๆ ทีเดียว

ซากเส้นทางรถไฟเก่าที่มุ่งหน้าไปพม่าที่ยังคงหลงเหลือตั้งเเต่สมัยสงครามโลก
..... อ่อเราลืมบอกว่าการมาเที่ยวพม่านั้น เราจะต้องมีบัตรประชาชน หรือ พาสปอร์ตครับ ทางทัวร์จะจัดการให้เราหมดครับ เมื่อทำเรื่องผ่านเเดนเสร็จเเล้ว เราก็เดินข้ามไปยังฝั่งพม่าเเล้วจะมีรถสองเเถวมารอรับเราเพื่อเดินทางไปเที่ยวพม่ากันครับ

ออกมาจากด่านเจดีย์สามองค์ขากลับเข้าตัวอำเภอสังขละบุรีเราได้เเวะที่นี่ เเท่นเเท้นนนน
.... จุดเล่นน้ำตกซองกาเรีย ตั้งอยู่บริเวณสะพานแม่น้ำซองกาเรีย อำเภอสังขละบุรี ห่งจากตัวเมืองเมืองสังขละ ประมาณ ​8 กิโลเมตร ขับรถไปทางชายแดนด่านเจดีย์สามองค์จะเห็นสะพานซองกาเรียทางขวามือ มีพื้นที่จอดรถ และมีบริการฝากรถเสียคันละ 20บาท พร้อมบริการเช่าห่วงยาง อันเล็ก 10 บาท อันใหญ่ 20 บาท ความน่าสนใจของพื้นที่บริเวณนี้ คือเป็นจุดเล่นน้ำ ที่มีน้ำไหล ใสและเย็น น้ำก็ไม่สูง เล่นน้ำสนุกมากครับ และมีซุ้มรับประทานอาหารริมน้ำ มีอาหารอีสานรสชาติจัดจ้านขายด้วย เป็นบรรยากาศปิคนิกที่เย็นสบายมาก

เเพซองกาเรียจะเน้นอาหารตามสั่งกับอาหารอีสานครับ จัดเลยส้มตำไข่เค็ม ส้มตำปูปลาร้า ลาบหมู ข้าวผัดรวม   นอกจากจะได้วิวนั่งกินอาหารริมน้ำแล้ว เรายังสามารถลงเล่นน้ำได้ด้วยนะ น้ำที่นี่ไม่ลึกครับ เฉลี่ยระดับเอวเท่านั้น

จุดเเวะต่อมาก่อนถึงตัวอำเภอสังขละบุรีเราได้เเวะ วัดหลวงพ่ออุตตมะ หรือวัดวังก์วิเวการาม เป็นสถาปัตยกรรมของวัดนี้เป็นแบบพม่า วัดนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรีแล้ว ยังเป็นวัดที่ถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับคนพื้นที่ คือเป็นศูนย์รวมจิตใจของขาวสังขละ วัดนี้ห่างจากเจดีย์พุทธคยาเพียงนิดเดียวเท่านั้นครับ คือมาเที่ยวครั้งเดียว เที่ยวได้ถึง 2 ที่เลยนะ

จุดเเวะต่อมา พุทธคยาจำลอง หรือ พระเจดีย์พุทธคยา เป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่กับวัดวังก์วิเวการาม เป็นเจดีย์องค์ใหญ่นี้ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ มีสีเหลืองทอง สามารถมองเห็นได้จากแม่น้ำซองกาเลีย ภายในองค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงเป็นเจดีย์ที่มีผู้คนมาสักการะ บูชาองค์เจดีย์ที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เจดีย์พุทธคยายังเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีในวันสำคัญทางพุทธศาสนาและงานเทศกาลเช่น งานวันสงกรานต์ เจดีย์พุทธคยา ตั้งขึ้นอยู่ไม่ไกลจากวัดวังก์วิเวการาม ห่างไปประมาณ 650 เมตรเท่านั้น

ก่อนเข้าที่พักเราเเวะจุดไฮไลท์สำคัญของสังขละบุรี เพื่อเก็บเเสงสุดท้ายของวันแท่นเเท้นนนน “สะพานมอญ” เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 445 เมตร และเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็ง ในประเทศพม่า เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำซองกาเรีย ที่ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
สะพานนี้สร้างขึ้นโดยดำริของ หลวงพ่ออุตตมะ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ในปี พ.ศ. 2528 จนถึง พ.ศ. 2530 โดยใช้แรงงานของชาวมอญ เป็นสะพานไม้ที่ใช้สัญจรไปมาของชาวมอญและชาวไทยที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี

บรรยากาศฟินๆช่วงเย็นของพีเกสเฮาท์รีสอร์ท

มุมมองสะพานมอญ ใช้เลนส์Zoom จาก พีเกสเฮาท์รีสอร์ท

Day 3.....
เราเช็คเอาท์ออกจากที่พักเพื่อมาต่อรถตู้จากสังขละบุรีมาลงที่น้ำตกไทรโยค โดยรถจะออกทุก 1ชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2ชั่วโมงครึ่งถึงน้ำตกไทรโยคครับ

ค่าโดยสารคิดเเบบเหมาระยะทาง คนละ 180 บาทครับ

รถใช้เวลาวิ่งประมาณ 2ชั่วโมงครึ่งก็ถึงเวลาที่เราจะลงที่น้ำตกไทรโยคกันเเล้วครับ

กินเมื้อเที่ยงที่น้ำตกไทรโยคเเล้ว จากน้ำตกไทรโยคเราต่อรถสองเเถวคนละ10บาทเพื่อมาลงสถานีรถไฟน้ำตกเพื่อเดินทางกลับ กทม.กันต่อครับ บรรยากาศบนรถมันจะฟินๆหน่อย

นั่งสองเเถวประมาณ 10นาทีก็ถึงสถานีรถไฟน้ำตก เราก็ไปกรอกรายละเอียดการเดินทางเเล้วซื้อตั๋วไปลงสถานีธนบุรี ค่าเสียหายสุดถูกที่ 39 บาทเเถมยังได้ดูวิวที่ดังระดับโลกกับวิวสะพานมรณะอีกด้วย

รถไฟออกจากสถานีน้ำตกตามเวลาคือ 12.55 น.ครับ

โดยเราจะผ่านสะพานถ้ำกระเเซหรือสะพานมรณะที่โด่งดังไปทั่วโลกด้วยครับ

มองเผินๆจะคล้ายๆอุโมงค์ต้นไม้ พิกัดที่หยุดรถถ้ำกระเเซครับ

ถัดจากสะพานถ้ำกระเเซเราก็จะผ่านสะพานข้ามเเม่น้ำเเควอีกครั้งครับ เรานั่งรถไฟดูวิวเพลินๆจนถึงธนบุรีตามเวลาที่ 17.40 น รถไฟไทยตรงเวลามากครับ

สรุปรายจ่ายคร่าวๆไม่รวมค่ากินนะครับ
-35 บาท ค่ารถไฟจาก ธนบุรี -​กาญจนบุรี
-10 บาท ค่ารถสองเเถว สถานีรถไฟกาญจนบุรี-บขส.กาญฯ
-180 บาท ค่ารถตู้ กาญฯ -​สังขละบุรี
-600 บาท ค่าเช่ามอเตอร์ไซร์ 3 วัน (หาร2)​
-70 บาท ค่าน้ำมันมอเตอร์ไซร์
-900 บาท ค่าที่พักพีเกสเฮาท์ 3คืน(หาร2)​
-500 บาท ค่าเรือเที่ยววัดจมน้ำ(หาร4)​
-99 บาท ค่าชุดเเละของใส่บาตร
-180 บาท ค่ารถตู้ สังขละบุรี-น้ำตกไทรโยค
-10 บาท ค่ารถสองเเถวไปสถานีรถไฟน้ำตก
-39 บาท ค่ารถไฟ น้ำตก -​ ธนบุรี
**รวม 1123 บาท (*หารค่าห้อง, ค่ามอไซร์, ค่าเรือ)​ ไม่รวมค่ากินครับ

อำเภอสังขละบุรีเป็นอีก1สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ไม่ควรพลาด ซึ่งนอกจากการท่องเที่ยวได้ภาพถ่ายสวยๆกลับบ้านกันเเล้วเรายังได้เรียนรู้ได้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตเเบบชาวมอญที่ใช้ชีวิตตามพระราชดำหริ เศรฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9
...... ลองมาครับ สังขละบุรีเที่ยวง่ายๆ มาไม่ยาก
...... ขอบคุณที่อุตสาห์นั่งทนอ่านรีวิวไก่เขี่ยของเราจนจบครับขอบคุณจริงๆ รีวิวนี้อาจจะเป็นเเนวทางของใครหลายๆคนที่ค้นหาข้อมูลไปสังขละบุรีนะครับ
...... หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวไม่มากก็น้อยครับ ขอบคุณที่ชื่นชอบการเดินทางของพวกเรา เเล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าครับ กับเราเพจเดี๋ยวพาไป #โตเเล้วเที่ยวไหนก็ได้

Taeremix

 วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 20.11 น.

ความคิดเห็น