เชื่อว่าเมื่อพูดถึงสตูล สิ่งที่ทุกคนคิดถึงคงจะหนีไม่พ้น เกาะหลีเป๊ะ หรืออุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่อยู่ในทะเล แต่จริงๆ แล้วพื้นที่บนบกของสตูลก็มีอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลย นั่นคืออุทยานธรณีโลก เด็ดตรงไหนน่ะเหรอ เด็ดตรงที่ตอนนี้มันเป็นอุทยานธรณีโลกเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ เกิดจากการผลักดัน ความร่วมมือ และการอนุรักษ์ของชุมชนเป็นหลักเลย ต้องชื่นชมในความพยายามของชุมชนจริงๆ ค่ะ

กล่าวได้เลยว่า เกือบทุกที่บนผืนดินจังหวัดสตูล เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เพราะหากเราเพ่งมอง เล็งมอง เหล่มองกันดีๆ จะเห็นวาพื้นดินสตูลเต็มไปด้วยซากฟอสซิลของสัตว์จำพวกแอมโมไนท์ ไทรโลพอต และซากฟอสซิลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในถ้ำ บนภูเขา หรือกลางทะเลก็ตาม แต่ที่โด่งดังที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นซากฟอสซิลของช้างสเตโกดอน ฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดในไทย

ทว่า คนไทยน้อยคนนักที่รู้จัก หรือได้ไปเที่ยวจังหวัดนี้จริงจัง ข้อมูลจึง(ค่อนข้าง) จะน้อย เราเลยจะมาแชร์ข้อมูลเผื่อใครอยากจะเดินทางย้อนไปในอดีตหลายล้านปีที่แล้วแบบเดียวกับเราบ้าง

แพลนเที่ยวสตูล 3 วัน 2 คืนของเรา เริ่มต้นด้วยการบินไปลงที่สนามบินตรัง แล้วพักโรงแรมในตัวเมืองตรังก่อนคืนหนึ่งเอาแรง แล้วค่อยเริ่มเที่ยวในวันถัดไป

การเดินทางไปสตูล

สตูลไม่มีสนามบินของตัวเอง ถ้าจะบินไปสามารถบินไปลงได้ 2 ที่ คือ สนามบินตรัง กับสนามบินหาดใหญ่ ด้วยความที่แพลนเที่ยวเรากระจุกใกล้ๆ ตรังมากกว่า เราจึงบินไปกลับจากสนามบินตรังกัน

การเดินทางในสตูล

ต้องขับรถอย่างเดียวเท่านั้นจ้า ไม่มีรถโดยสาร หรือรถประจำทางใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากรถบขสที่วิ่งผ่านนานๆ คัน ส่วนใครที่คิดจะโบกรถเที่ยว ท่าจะลำบากหน่อย เพราะระหว่างทางแทบจะไม่มีรถคันอื่นขับผ่านเลย เรียกได้ว่าถนนทั้งเส้นเป็นของพวกข้า วะ ฮ่า ฮ่า แต่สองข้างทางจะร่มรื่นไปด้วยป่าไม้ เป็นธรรมชาติสุดๆ เลยล่ะ

แพลนเที่ยว

วันที่ 1 ขับรถจากตรังไปสตูล วันนี้แพลนเที่ยวเที่ยว 2 ถ้ำคือ ถ้ำภูผาเพชร กับถ้ำเจ็ดคต

วันที่ 2 พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า กับถ้ำเลสเตโกดอน สองที่นี้อยู่ติดกันเลย

อุทยานแห่งชาติเกาะเภตรา เพื่อไปชมเขตข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย

วันที่ 3 ปราสาทหินพันยอด

มาดูที่ถ้ำแรกกันก่อนเลย

ถ้ำภูผาเพชร เป็นถ้ำบนภูเขา ที่ได้ชื่อนี้เพราะหากมาถูกช่วง ภายในถ้ำจะมีประกายคล้ายเพชรส่องสว่างเต็มไปหมด ถ้าจำไม่ผิดประกายเหล่านี้เป็นแร่ธาตุบนหินงอกหินย้อยที่ทำปฏิกิริยาเกิดเป็นประกายเพชรขึ้นม

ถ้ำนี้จะปิดไวค่ะ ประมาณบ่ายสามโมงครึ่งก็ปิดแล้ว เราจึงเลือกไปที่นี่ก่อนในตอนเช้า โดยสามารถขับรถไปได้เลย ไม่ต้องจองคิว ไกด์ที่ถ้ำภูผาเพชรจะเป็นชาวบ้านแถวนั้นเอง แต่ความรู้ไกด์แน่นมากกกกนะ ขอบอก เพราะไกด์บางคนจะได้คุยกับนักธรณีวิทยาต่างประเทศที่เคยเดินทางมาศึกษาที่ถ้ำนี้ด้วย

ภายในถ้ำจะมีทางเดินไม้ (ทำโดยชาวบ้าน) ไปตลอดทาง การเดินจะมีสองช่วง เมื่อสิ้นสุดช่วงแรก เราสามารถเลือกที่จะเดินกลับ หรือเดินต่อไปยังช่วงที่สองด้วย เวลาที่ใช้ในการเดินไปกลับจนสุดทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ไหนๆ ก็เดินทางมาไกลกันขนาดนี้แล้ว พวกเราจึงเลือกเดินต่อไปให้สุด

อากาศบางช่วงจะค่อนข้างเบาบาง แต่ที่นี่ไม่มีค้างคาว จึงไม่เหม็นกลิ่นขี้ค้างคาว

จริงๆ แล้วถ้ำภูผาเพชรจะมีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นที่เราเดินกันรู้สึกจะเป็นชั้น 2 ชั้นใดชั้นหนึ่งนอกเหนือจากชั้นที่เราเดินกัน มีการค้นพบกระดูกมนุษย์โบราณด้วย แต่ปิดไม่ให้เข้าชม ชั้นที่เราเดินกันเคยมีค้างคาวอยู่ แต่พวกมันอพยพย้ายบ้านไปอยู่ที่ชั้นอื่นแล้ว ไกด์เล่าว่าแต่ก่อนมีค้างคาวเยอะ แต่พอเอาไฟมาปิด (จำไม่ได้แล้วว่าเป็นไฟสีอะไร) ค้างคาวก็ค่อยๆ หนีไปอยู่ที่ชั้นอื่น อาจเพราะไม่ชอบแสงไฟสีนี้ก็เป็นได่

ที่สุดทางจะมีจุดถ่ายรูป ที่ไกด์บอกว่าสมัยเปิดถ้ำแรกๆ ที่นี่ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียว สวยงามมาก แต่เมื่อคนเข้ามานานเข้า มอสสีเขียวจึงเหลืออยู่เพียงกระจุกเดียว ตรงบริเวณที่กั้นไม่ให้คนเข้าไปเท่านั้น

โถงสุดทางตรงนี้จะมีซากฟอสซิลอยู่บนกำแพง และเมื่อเดินลึกเข้าไปยังอีกโถงมืดๆ เล็กๆ อีกโถงนึง ที่ยังมีหลักฐานที่บ่งบอกว่าพื้นดินบริเวณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อนอยู่ด้วย

ฟอสซิลแมงดาทะเลโบราณบนกำแพงถ้ำ

ร่องรอยที่บ่งบอกว่าที่นี่เคยเป็นชายทะเลมาก่อนที่น้ำทะเลจะลดระดับ หรือพื้นดินยกตัวขึ้นมาเป็นภูเขาสูงอย่างรวดเร็ว

เมื่ออยู่ดูจนหนำใจแล้ว พวกเราจึงเดินกลับกัน ขากลับก็เดินกลับอีกทางนะคะ จึงได้เห็นซากหอยดึกดำบรรพ์ที่ฝังตัวอยู่ในหินกลางถ้ำด้วย

รวมๆ แล้วไกด์อยู่กับเราประมาณชั่วโมงกว่า เมื่อออกมาที่ปากถ้ำ เราจึงให้ทิปไกด์เป็นค่าเหนื่อย

ตัวนี้ เดาวา่เป็นแมวบรรพ์ดำดึกค่ะ 55

ค่าใช้จ่าย

ค่ารถเข้าอุทยาน 20 บาทต่อคัน

ค่าเข้าอุทยาน 20 บาทต่อคน

ค่าไกด์เข้าถ้ำภูผาเพชร 20 บาทต่อคน

ค่าเช่าไฟฉายติดหัวส่องภายในถ้ำ 20 บาทต่ออัน

ถ้ำที่สองคือ ถ้ำเจ็ดคต

ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่น้อยคนนักจะไป สาเหตุเพราะมันติดต่อยากค่ะ 555 เบอร์ที่มีในเน็ตแต่ละเบอร์คือไม่ใช่หมดเลย โทรไปไม่ติดบ้าง โทรไปแล้วไม่ได้ทำทัวร์แล้วบ้าง เพื่อนเราพยายามโทรไปที่เบอร์โน้นเบอร์นี้ตามเขาที่ให้ๆ กันมาอยู่หลายวัน จนได้เบอร์ที่ถูกต้องว่าต้องติดต่อโรงแรมริเวอร์ไซด์โดยตรงเลย

ถ้ำเจ็ดคต เป็นถ้ำที่แม่น้ำไหลผ่าน มันจึงควบรวมกับกิจกรรมล่องแก่ง หรือถ้าเรียกให้ถูกคือการนั่งเรือเล่นในแม่น้ำ แบบที่มีคนพายให้ค่ะ 55 เรือที่เรานั่งจะเป็นเรือแคนู 1 ลำจะมีนักท่องเที่ยว 1 คน + ฝีพายอีก 1 คน พายไปเรื่อยๆ ในแม่น้ำ ระหว่างทางจะมีจุดให้แวะเล่นน้ำบ้างประปราย แต่ต่อให้ไม่ลงเล่นน้ำ ก็เปียกแน่นอนคะ่ ไม่เหลือ เพราะงั้น ควรไปที่นี่ช่วงบ่ายๆ ก่อนเข้าที่พักค่ะ

2 ใน 3 ของฝีพายเราไม่เคยพายเข้าไปในถ้ำเจ็ดคตมาก่อน ส่วนฝีพายคนสุดท้ายที่สูงอายุหน่อยบอกว่า เคยพานักท่องเที่ยวเข้าไปครั้งล่าสุดคือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว 555 นานจุง

ฝีพายจะต้องพายเรือทวนน้ำเข้าไป แนะนำให้เตรียมไฟฉายกำลังสูงๆ ไปด้วยจะดีที่สุดค่ะ ไฟมือถือแรงส่งไม่ถึง มองอะไรไม่เห็นเลยจ้า ภายในถ้ำอากาศโล่งโปร่งสบาย...หากฉายไฟขึ้นไปข้างบน จะเห็นเงาสะท้อนลงมาบนน้ำสวยมากค่ะ แต่ภาพที่มือถือเราถ่ายมาได้นั้น เอิ่มมม นึกว่าผีหลอก ขออนุญาตไม่เผยแพร่นะคะ 55

เมื่อพายจนออกจากถ้ำแล้ว เราจะได้หยุดพักเล่นน้ำสักครู่หนึ่ง ก่อนที่ฝีพายจะพายกลับไปทางเดิมค่ะ คราวนี้จะเร็วขึ้นหน่อยเพราะเป็นการพายตามน้ำ  เมื่อพายกลับถึงโรงแรมแล้วเป็นอันจบกิจกรรม ใครที่พักโรงแรมอื่น (เช่นเรา) สามารถอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่โรงแรมก่อนได้ค่ะ

ค่าใชจ่าย

ค่าล่องแก่งและเข้าถ้ำเจ็ดคต 450 บาทต่อคน

ติดต่อโรงแรมริเวอร์ไซด์ เบอร์โทร 0895981712

หลังจากวันแรกเข้าไป 2 ถ้ำยังไม่หนำใจ วันที่ 2 จึงไปอีกถ้ำหนึ่ง ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของจังหวัดสตูลพอๆ กับถ้ำภูผาเพชรเลยก็ว่าได้ ถ้ำที่ว่านี้คือ ถ้ำเลสเตโกดอน!!

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมชื่อถ้ำแปลกจังเลย ดูไม่เหมือนถ้ำในไทย ความจริงคือ ถ้ำนี้ตั้งชื่อตามช้างสเตโกดอน ช้างดึกดำบรรพ์ที่พบซากฟอสซิลในถ้ำ ส่วนคำว่า ถ้ำเล หมายถึงถ้ำที่มีน้ำไหลผ่านลงสู่ทะเลค่ะ รวมกันเลยเป็น ถ้ำเลสเตโกดอน คงพอจะเดาได้สินะคะว่า การเข้าถ้ำนี้คงต้อง เปียก แน่ๆ เลย 55

ใครที่จะมาถ้ำนี้ จะต้องติดต่อล่วงหน้านะคะ เขาจะจัดทริปเมื่อมีคนจองในวันนั้นครบ 7 คนขึ้นไป หากไม่ครบคนเขาจะไม่จัดทริป ด้วยความที่เรามีกันแค่ 3 คน จึงต้องรอใกล้ๆ วันเดินทางจึงจะรู้ว่าเราได้ไปวันไหน

จุดนัดรวมพลคือหน้าพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า (ไม่ใช่หน้าปากถ้ำนะคะ ถ้าไปรอตรงนั้นคือรอเก้อเลยนะ) พวกเรามาถึงก่อนเวลา จึงจอดรถเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์เปิดข้างหน้า และซื้อของฝากกันนิดหน่อย ปกติเราเป็นคนไม่ซื้อของฝากตามสถานที่ท่องเที่ยว แต่ของฝากที่นี่บอกได้เลยว่า มีขายแค่ที่นี่ที่เดียวจริงๆ ไปที่อื่นไม่มีแน่นอน เราเลยโดนตกเบ็ด ได้เสื้อโปโลปักลายช้างสเตโกดอนมาคนละตัว 55

เมื่อพี่ไกด์มาถึง สิ่งแรกที่พี่เขาแจ้งคือ ทริปนี้เป็นการท่องเที่ยวเชิงความรู้ เพราะทุกคนคงไม่สามารถอินไปกับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ตรงหน้าได้ หากเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร และเกิดมาได้อย่างไร—ซึ่งก็จริงของพี่เขาแหละ ใครที่แพลนจะไปทริปนี้ อย่าลืมเตรียมตัวและหัวใจไว้ให้พร้อมนะคะ

ประวัติความเป็นมาก่อนจะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของถ้ำนี้คือยาวมากกก และพี่ไกด์เล่าสนุกมากกก(พี่เขาเล่าเป็นชั่วโมงอ่ะแกรรรร)  ขอเล่าคร่าวๆ ว่า ตอนที่เข้าไปสำรวจถ้ำแรกๆ นั้นเขาใช้การปีนขึ้นไปบนเขา แล้วโรยตัวเข้าไปในถ้ำ โรยตัวแบบนั้นอยู่หลายปี ก่อนจะพบว่า จริงๆ แล้วมีทางเข้าอยู่ใกล้ๆ จ้าา กลายเป็นว่าทุกคนได้ฝึกโรยตัวจนกลายเป็นสไปเดอร์แมนไปแล้วไหมล่ะ

โมเดลจำลองถ้ำเลสเตโกดอน เราจะเข้าไปในภูเขาทางฝั่งสตูล แล้วออกด้านหลังภูเขาทางฝั่งตรัง แล้วเดินเท้าข้ามภูเขากลับมายังจุดเริ่มต้น.....เฮ้ย ไม่ใช่ดิ แล้วนั่งรถสองแถวที่เตรียมไว้กลับมาต่างหากเล่า

ซากฟอลซิลของจริงส่วนหนึ่งที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์

แพลนเดย์ทริปวันนี้คือ

1.ไกด์ให้ความรู้ถึงยุคเริ่มแรกของโลก และยุคของซากฟอสซิลที่เจอที่สตูล

2.นั่งรถสองแถวไปยังปากถ้ำ

3.ล่องคายัคเข้าไปในถ้ำ 1 ลำ มี นักท่องเที่ยว 1-2 คน + ฝีพาย 1 คน แล้วออกอีกทางหนึ่งของถ้ำ

4.ล่องคายัคผ่านป่าโกงกาง แล้วนั่งเรือหางยาวต่อ

5.นั่งรถสองแถวกลับไปหน้าพิพิธภัณฑ์

รูปตอนลอยเรือเข้าถ้ำ

หินงอกหินย้อนรูปทรงต่างๆ ในถ้ำ

ในถ้ำก็มีซากฟอสซิลเหมือนกันนะเออ เราจะได้เห็นตัวที่สมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับระดับน้ำเลยคะ่ ตอนที่เราไปน้ำขึ้นสูง ตัวที่สมบูรณ์ที่สุดในถ้ำจึงจมอยู่ใต้น้ำ ใครอยากเห็นก็ต้องดำลงไปดู แต่ เออออ ไม่น่ามีใครทำนะ 55

ระหว่างที่อยู่ถ้ำพี่ไกด์ให้ความรู้เยอะมากกกก เราเคยไปเที่ยวถ้ำอื่นๆ มาบ้าง และมีข้อสงสัยมากมาย พี่เขามาให้คำตอบเกือบหมดที่นี่เลยล่ะ บอกได้เลยว่าพอจบทริปนี้รู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้นเยอะเลย 55

ค่าใช้จ่าย

ค่าทริปคนละ 500 บา ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับกิจกรรมและความรู้ที่ได้

หมายเหตุ: เป็นการจองปากเปล่า ไม่ได้มีการโอนเงินมัดจำก่อนแต่อย่างใด ขอความร่วมมืดจองแล้วอย่าเทกระชั้นชิดนะคะ เพราะทางเจ้าหน้าที่เขาต้องจัดหาฝีพาย และซื้อน้ำขนมเตรียมไว้เหมือนกัน วันถัดจากวันที่เราไป มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ ประมาณ 30 คนที่จองล่วงหน้าไว้ มาแจ้งยกเลิกล่วงหน้าไม่ถึงหนึ่งวัน ทางเจ้าหน้าที่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยกเลิกก็คือยกเลิก ทั้งๆ ที่เขาเตรียมขนมและคนไว้เรียบร้อยหมดแล้ว

พอตกบ่าย เราก็หาทางไป สะพานข้ามกาลเวลา ที่อุทยานแห่งชาติเภตรา กันต่อ

สะพานข้ามกาลเวลา คือจุดที่เราจะได้ชมแผ่นดินสองยุคคือยุคแคมเบรียน กับยุคออร์โดวิเชียนมาบรรจบกัน ยุคหนึ่งจะเป็นดินสีแดง ส่วนอีกยุคจะเป็นดินสีดำ

มีเรื่องตลกตรงที่ว่า เราเปิดกูเกิ้ลแมป หาทางไปที่นี่ แล้วก็งงว่า ทำไมยิ่งขับ มันยิ่งเข้าใกล้โรงแรมที่พักเข้าไปทุกที(ฟระ) จนกระทั่งกูเกิ้ลแมปพาเรากลับมาที่โรงแรมจริงๆ ! อ้าวเฮ้ย บ้าเปล่านิ จะไปเที่ยวต่างหากโว้ยย แต่พอขับรถเลยโรงแรมไปอีกนิดเดียว ก็ถึงบางอ้อกันทุกคนเลยย เพราะอะไรน่ะเหรอ..เพราะอุทยานแห่งชาติเภตรา อยู่หน้าโรงแรมเราเลยอ่ะดิ 5555 ในใจนี่นึกถึงละครซิทคอมเลยจ้า

พอเรากลับถึงที่พัก เอ้ย ไปถึงอุทยานก็เริ่มเย็นแล้ว อุทยานกำลังจะปิด เจ้าหน้าที่แจ้งว่าถ้าเราขับรถเข้าไปจะเสียค่าเข้าอุทยาน แต่เดี๋ยวก่อนนนน หากคุณจอดรถแล้วเดินเข้าไปตอนนี้ (อย่าลืมทำเสียงแบบจอร์จกับซาราห์ด้วย) คุณจะสามารถเดินตัวปลิวเข้าไปโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ เลยจ้า (ว้าววว จอร์จ มันยอดมากกก)

เราเลยจอดรถแล้วเดินเข้าไป ระยะทางข้างในไม่ไกลมาก เดินเข้าไปชิวๆ ไม่นานก็ถึง ที่นี่จะมีคนมาวิ่งออกกำลังกายกันทั้งเช้าและเย้น หากเราเดินเข้าไปแล้วเจอป้ายนี้ แสดงว่าใกล้ถึงจุดหมายปลายทางของเราแล้ว ให้เดินลงสะพานไปเล้ยย

รู้สึกเหมือนกำลังนั่งไทม์แมชชีนเลยล่ะจ้า

อันนี้คือจุดข้ามกาลเวลา เป็นจุดที่แผ่นดินสองยุค (สีดำ กับสีแดง) เชื่อมต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่เราจะได้เห็น (เขาว่างั้นนะ)

อุทยานนี้เหมือนเป็นจุดรวมพลหลังจบทริปถ้ำเลเลยค่ะ เพราะระหว่างที่เรากำลังเดินกลับออกไป พี่ผู้ชายสองคนที่เราเจอในทริปเมื่อเช้าก็แพลนว่าจะมาที่นี่ตอนเย็นเหมือนกัน พวกเขาไปถึงก่อนพวกเราไม่กี่นาทีเองด้วยซ้ำ พวกเราเดินและถ่ายรูปกันอยู่สักพัก แต่ก็ไม่เห็นเจอพวกเขาสักที ปรากฏว่าพวกเขาไปคนละฝั่งกับเรา และฝั่งนั้นสะพานเชื่อมขาดดดด เลยเดินมาไม่ถึงจุดข้ามกาลเวลา 555 พวกเขาสองคนเลยรีบบึ่งมาที่นี่ 

นอกจากพวกเราจะเดินสวนกับทั้งคู่ระหว่างเดินออกแล้ว เรายังเจอกับคู่แฟนอีกคู่หนึ่งในทริปถ้ำเลตอนเช้าที่นี่ด้วยเหมือนกัน สรุปคือทั้ง 7 คนมาเจอกันที่นี่ในตอนเย็นหมดเลย เป็นความบังเอิญที่น่าทึ่งมากค่ะ

วิวขาเดินออกจากอุทยาน

ด้วยความอยากรู้ ก่อนกลับกทมเราจึงไปยัง “อีกฝั่ง” เพื่อไปดูสะพานที่ขาดว่าอ๋อออ มันขาดแบบนี้นี่เอง เราไปช่วงต้นตุลา ปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาซ่อมเสร็จแล้วหรือยัง

ป้ายอีกฝั่งนึง

จุดที่สะพานขาด

ค่าใช้จ่าย

ค่าเข้าอุทยาน คนละ 20 บาท (แต่ถ้าใส่รองเท้าผ้าใบเข้าไป หรือรองเท้าวิ่งคือฟรีจ้า เขาตีเป็นคนที่เข้าไปออกกำลังกายข้างใน)

เวลาปักหมุดในกูเกิ้ลแมป ให้ปักไป สะพานข้ามกาลเวลา ค่ะ ถ้าปักไป อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ก็จะได้ไปเที่ยวเล่นในฝั่งที่ขาดแทนเด้อค่า

รีวิวสุดท้ายของทริปนี้ และเป็นเหตุผลหลักที่เราอยากไปที่สตูล เพราะเราอยากไปดู “ปราสาทหินพันยอด” ไงเล่า ใครที่เพิงได้ยินชื่อสภานที่นี้เป็นครั้งแรกคงจะงงว่า สตูลมีปราสาทด้วยเหรอ สร้างในสมัยไหนอ่ะ อยุธยาหรือเปล่า อืม ตอนแรกเราก็คิดงี้ล่ะ จนกระทั่งไปหารูปดู เลยถึงบางอ้อว่าคำว่าปราสาท มันคือการเปรียบเปรยต่างหากกก

ปราสาทหินพันยอด ในอดีตเคยเป็นถ้ำใต้น้ำที่ถูกยกตัวขึ้นมาเหนือน้ำเมื่อมีแผ่นดินมีการเคลื่อนไหว และถูกกัดกร่อนโดยฝนกรดทำให้เต็มไปด้วยรูเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด ในขณะที่ทางด้านล่างก็ถูกกระแสน้ำและกระแสลมกัดกร่อน ล่าสุดก็เพิ่งมีข่าวว่าส่วนหนึ่งของปราสาทถล่มจนต้องปิดสถานที่นี้เป็นการชั่วคราวเมื่อหลายเดือนก่อน ถือว่าเราโชคดีมากที่ได้ไปดูที่นี่ก่อนที่มันจะเปลี่ยนรูปร่างไ

ปราสาทหินพันยอดตั้งอยู่กลางทะเล เข้าถึงได้ด้วยการพายเรือพายัคลอดช่องหินเข้าไปเท่านั้น ตอนที่เราไปคลื่นบ้าคลั่งเว่อร์ ตอนที่พี่ไกด์พายคายัคล่องเข้าไป เสียวว่าหัวจะทิ่มหินมาก ทิ่มทีนึง คงได้ทดสอบกันแล้วว่าระหว่างหัวกับหิน อะไรจะแข็งกว่ากัน 55 ข้างในปราสาทจะเป็นพื้นทรายที่เรายืนได้ ถ่ายรูปได้ นอนเล่นได้ ลอยน้ำได้ แล้วแต่สภาพคลื่นลมจะอำนวย

เห็นเรือลำน้อยนั้นไหมมม นั่นล่ะประตูปราสาทของเราล่ะ ธรรมชาติฝุดๆ

ภาพกำแพงปราสาทระยะใกล้

ภาพระยะใกล้กว่า

ภาพระยะใกล้เว่อร์ๆ รูพวกนั้นหาใช่รูขุมขนกว้างไม่ แต่เป็นรูจากฝนกรดในอดีต

การมาที่นี่ควรถามทางทัวร์ หรือเช็กน้ำขึ้นน้ำลงก่อนนะคะ เพราะหากไปช่วงที่น้ำขึ้นสูงมากๆ ทางเข้าจะถูกปิด เข้าไม่ได้ ตอนที่เราไปน้ำกำลังขึ้น เรือเราออกเช้าจึงเข้าทัน แต่กลุ่มหลังจากเราเข้าไปไม่ได้แล้ว เพราะน้ำปิดทางเข้า

หลังออกจากปราสาท เราก็ไปต่อกันที่ จุดชมวิวอ่าวฟอสซิล...ตามนั้นแหละค่ะ ปีนป่ายไปดูฟอสซิลกันต่อ ดูจนไม่คนก็ฟอลซิลจะต้องเบื่อหน้ากันไปข้างอ่ะ บอกเลย ทริปนี้คือ เจอฟอสซิลทั้งในน้ำ ในถ้ำ บนบก แล้วยังมีกลางทะเลอีกนะ! แทบจะอ้วกออกมาเป็นฟอสซิลแล้ววววว

รูปถ่ายหัวใจที่ปลายแหลม ต้องปีนหินขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีฟอสซิลให้ส่องประปราน แต่พอมายืนตรงจุดนี้คือ...เสียวหล่นจุงงง

ค่าใช้จ่าย

ทริปครึ่งวัน 800 บาทต่อคน มีอาหารให้ 1 มื้อ (จัดเต็มมาก ของคาว ของหวานมาหมดเลย) เลือกได้ว่าจะไปครึ่งวันเช้าหรือครึ่งวันบ่าย ใน 1 วัน ทะเลจะมีน้ำขึ้นน้ำลง 2 ครั้ง หากมีเวลาทั้งวัน แนะนำให้ถามทางทัวร์ว่าวันนั้นควรไปช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายจะดีที่สุดค่

ทัวร์ชุมชนที่เราใช้บริการจะพาเราไป 4 ที่ คือ  โบราณสถานบ่อเจ็ดลูก (บ่อน้ำศักสิทธิ์) /ทะเลแหวกสันหลังมังกร/ปราสาทหินพันยอด และจุดชมวิวอ่าวฟอสซิส แต่เราขอนัดเจอที่ท่าเรือใกล้ๆ ท่าเรือปากบารา เพราะเดินทางสะดวกกว่า เราจึงไม่ได้ชมสองที่แรก (ตอนที่เรือออกจากท่ามารับเราที่อีกท่านึง ทะเลก็หายแหวกแล้วจ้า) ซึ่งก็ไม่เป็นไรค่ะ เป้าหมายหลักของเราในวันนี้คือปราสาทหินพันยอดดดดด

ทัวร์มีหลายเจ้าค่ะ จัดโดยคนในชุมชนหมดเลย เจ้านึงก็ชุมชนนึง ราคาจะเท่ากันหมด เพราะเป็นราคากลาง ใครที่สนใจสามารถพิมพ์คำว่า ปราสาทหินพันยอด หรือ เที่ยวพันยอดในเฟสบุ๊กได้ค่ะ

ไกด์ชุมชนบางส่วนก็คือเหล่านักเรียนในชุมชนนี่ล่ะค่ะ ที่หารายได้เสริมช่วงปิดเทอม หรือช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์กันโดยการมาเป็นไกด์ให้นักท่องเที่ยว

จบการรีวิวอุทยานธรณีโลกแห่งเดียวในไทยแล้วจ้า หากใครอยากไปเที่ยว ก็อย่าลืมติดต่อไปตามรายละเอียดที่เราให้ไว้เลยนะ อยากให้ไปเที่ยวกันเยอะๆ เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน :)

สตูลไม่ได้มีดีแค่ทะเล!

Duck's journey

 วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564 เวลา 22.02 น.

ความคิดเห็น