โรงแรมที่เราจองไว้คือ Hop Inn ตั้งอยู่ใกล้ๆกับโบสถ์มาเลเต้ (Malate Church) ซึ่งอยูในเขตตัวเมือง โดยเป็นโรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายปีที่แล้ว จุ๋ยสืบประวัติมาว่า โรงแรมนี้เป็นโรงแรมในเครือโรงแรมเอราวัณ ของคนไทย จึงเลือกที่นี่เพื่ออุดหนุนคนไทยด้วยกัน เนื่องจากเพิ่งเปิดให้บริการ ภายในห้องพักที่แม้จะกระทัดรัดในราคาคืนละหนึ่งพันบาทต้นๆ จึงสะอาดสะอ้าน น่าอยู่น่านอนไปตลอด 3 วัน 3 คืนในมะนิลา

โรงแรม Hop Inn ตั้งใกล้กับสถานี Pedro Gil กับ สถานี Quirino Avenue ของรถไฟฟ้า LRT1 ที่ว่าใกล้นี้อย่าคิดว่าเดินออกจากโรงแรมแล้วจะเจอสถานีรถไฟฟ้าเลยนะ เพราะไม่ว่าจะเลือกขึ้นสถานีไหน ก็ต้องเดินร่วม 20 นาที เพราะแม้โรงแรมนี้จะตั้งอยู่ใกล้อ่าวมะนิลาเพียงแค่เอื้อม แต่ก็ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าหลายช่วงถนน

มองดูโดยรอบแล้ว บริเวณหน้าโรงแรมนอกจากร้าน 7-eleven ที่ตั้งบริเวณทางเข้าโรงแรมแล้ว ก็ไม่เห็นมีร้านอาหารที่พอจะฝากท้องได้ ในเมื่อบ่ายนี้ตั้งใจจะไปย่านมากาติ ด้วยรถไฟฟ้าอยู่แล้ว เราเลยเลือกที่จะไปหาอะไรกินที่ห้างโรบินสันส์ ซึ่งใกล้กับสถานี Pedro Gil

บนเส้นทางจากโรงแรม เราได้เห็นคนไร้บ้านอาศัยทางเท้าเป็นที่หลับนอน บางคนดีขึ้นมาหน่อยก็ใช้สามล้อถีบที่พอกันลมฝนได้บ้าง จนมาถึงถนน Pedro Gil ซึ่งเป็นถนนใหญ่จึงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะบริเวณหน้าห้างโรบินสันส์ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าห้างโรบินสันส์ในประเทศฟิลิปปินส์เป็นคนละโรบินสันกับประเทศไทย โดย Robisons Place Manila สาขานี้เป็นห้างขนาดใหญ่มาก หากมาคนเดียวผมคงเลือกกินอาหารที่ร้านข้างทาง เพราะสะดวกรวดเร็ว ราคาประหยัด แถมได้บรรยากาศของวิถีชีวิตผู้คน แต่มากับคุณชายจุ๋ย ซึ่งกินแต่อาหารหรูในห้าง มื้อแรกในฟิลิปปินส์จึงยอมเพื่อนร่วมทาง

อยากที่บอกว่าฟิลิปปินส์รับวัฒนธรรมตะวันตกมาอย่างเต็มๆ ตั้งแต่สมัยสเปน ต่อเนื่องถึงสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นอาหารส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารแนวตะวันตก เดินวน 1 รอบ พบว่ามีร้านอาหารน่าสนใจหลายร้าน แต่ละร้านโชว์ถึงความเก่าแก่ในการเปิดขายในฟิลิปปินส์ แต่สุดท้ายเราก็เลือกร้าน The Old Spaghetti House อาหารที่สั่งจึงหนีไม่พ้นสปาเก็ตตี้ซึ่งมีให้เลือกหลากเมนู เลือกไปเลือกมาตกลงปลงใจกับ Spaghetti White Sauce Seafood Alfredo รสชาตินัวๆ อร่อยและอิ่มแบบไม่หนักท้องมาก

บนฟุตบาทจากห้างโรบินสันส์สู่สถานี Pedro Gil เรียงรายไปด้วยสรรพสินค้าที่วางขายแบบแบกะดิน แม้ไม่ถึงขั้นไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แต่คิดว่าหากการเดินทางครั้งนี้ลืมหยิบอะไรใส่กระเป๋ามาด้วย ก็สามารถหาซื้อได้จากที่นี่

นอกจากการชมปนการหลบสรรพสินค้าแบบกะดินแล้ว เรายังได้ตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นรถจี๊ปนี่ย์เป็นครั้งแรก การเดินที่ช้าเพราะต้องหลบคน หลบร้านแบบกะดิน จึงยิ่งช้าขึ้นไปอีก เพราะมัวแต่ถ่ายรูปรถจี๊ปนี่ย์ ที่แต่ละคันตกแต่งด้วยสีสัน ลวดลายเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกันเลย

พูดถึงที่มาของรถจี๊ปนี่ย์กันสักนิด รถจี๊ปนี่ย์ก็คือรถจี๊ปนั่นเอง โดยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารอเมริกันได้ทิ้งรถจี๊ปไว้ในฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นฐานกำลังสำคัญของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้เป็นจำนวนมาก ชาวฟิลิปิโนหัวใสจึงนำมาดัดแปลงให้เป็นรถโดยสารคล้ายรถสองแถวบ้านเรา แต่มีขนาดใหญ่กว่า วิ่งรับส่งผู้โดยสารจนกลายเป็นระบบขนส่งมวลชนหลักในเขตเมือง สำหรับชื่อจี๊ปนี่ย์ (Jeepney) เกิดจากการผสมของคำ 2 คำ คือ คำว่า Jeep อันเป็นยี่ห้อรถ กับ Ney ซึ่งมาจากคำว่า Knee อันหมายถึงหัวเข่า คือเอกลักษณ์ของรถสองแถวที่หัวเข่าของผู้โดยสารที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันต้องชนกัน

จุดเด่นของรถจี๊ปนี่ย์อยู่ที่การตกแต่งลวดลายด้วยสีสันฉูดฉาดที่ไม่ซ้ำกันสักคัน ซึ่งการตกแต่งลวดลายนี้ ได้รับความนิยมและสืบทอดจนมาถึงปัจจุบัน เพราะรถสองแถวที่ผลิตขึ้นมาใหม่ก็ยังนิยมตกแต่งด้วยลวดลายในแนวทางเดียวกับจี๊ปนีย์รุ่นสงครามโลก ปัจจุบันจึงกลายมาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของฟิลิปปินส์ที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ คล้ายกับรถตุ๊กตุ๊กของบ้านเรา ที่คำว่า Tuk Tuk ได้กลายเป็นชื่อเรียกของรถลักษณะนี้ไปทั่วโลกเสียแล้ว

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 20.41 น.

ความคิดเห็น