วัดสิรินธรวราราม ภูพร้าว หรือที่เรารู้จักในชื่อวัดเรืองแสง เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นคือ ภาพเรืองแสงของประติมากรรมต้นกัลปพฤกษ์ที่ติดอยู่ผนังหลังโบสถ์ ซึ่งจะปรากฎสีเขียวเรืองแสงเมื่อยามค่ำคืนเท่านั้น และลวดลายเรืองแสงที่อยู่รอบๆโบสถ์ สร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น

วัดสิรินธรวราราม ภูพร้าวก่อตั้งโดยพระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ ชาวเมืองจำปาสัก สปป.ลาว ศิลปะล้านช้าง รับอิทธิพลมาจากวัดเชียงทองของเมืองหลวงพระบาง โดยแต่เดิมพื้นที่แห่งนี้ เป็นป่ามีความอุดมสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเป็นหน้าผาสูง ไม่มีแหล่งน้ำ จึงไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ ครั้นเมื่อ พระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ เดินทางมาเผยแผ่ธรรมะทางฝั่งไทย ได้มาพักปักกลดที่ภูพร้าว ในราวปี พ.ศ.2497-2498 เห็นว่าเป็นสถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญจิตภาวนา

ต่อมา ในราวปี พ.ศ.2500 - 2514 ทางราชการมีการออกสำรวจระดับที่จะสร้างเขื่อน สิรินธร พระอาจารย์บุญมากได้มาขอบิณฑบาตสถานที่บนภูพร้าวแห่งนี้เป็นวัด ใช้ชื่อ ว่า "วัดภูพร้าว" มีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ สำหรับชื่อ "ภูพร้าว" นั้น สืบเนื่องจาก สมัยที่ธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติ ของภูเขาลูกนี้ มีพิเศษ คือ มีหินคล้ายลูกมะพร้าวเต็มไปหมด ทุบออกมาจะมีฝุ่นหรือเม็ดหินใสๆแวววาวระยับคล้ายเพชรพลอย ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น หินศักดิ์สิทธิ์ เอาไปรักษาโรค เรียกมะพร้าวฤาษี จึงเรียกเขาลูกนี้ว่า "ภูพร้าว" ต่อมามีคนเก็บเอาไปขาย ลูกละ 2-3 ร้อยบาท จนหมด

ปี พ.ศ. 2539 ทางราชการมีการแบ่งเขตการปกครองใหม่ตั้งเป็น อำเภอสิรินธร แยกจากอำเภอพิบูลมังสาหาร วัดภูพร้าวจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดสิรินธรวราราม"หลังจากนั้น เกิดความไม่สงบทางการเมืองในประเทศลาว ท่านพระอาจารย์บุญมากตัดสินใจกลับประเทศลาว และ มรณภาพลงเมื่อปี 2524 ที่วัดภูมะโรง สปป.ลาว (สิริอายุ 72 ปี) ทิ้งให้วัดร้างหลายสิบปี

จนกระทั่งปี 2542 พระครูกมลภาวนากร (พระอาจารย์สีทน กมโล) ลูกศิษย์ของท่านได้นำคณะศิษยานุศิษย์มาบูรณะปฏิสังขร วัดสิรินธรวราราม ให้กลับมาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมได้ดังเดิม หลังจากพระครูกมลละสังขารไปในปี 2549 พระครูปัญญา ก็เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดและสานต่องานสร้างวัด ต่อไป มีการก่อสร้างเพิ่มเติมเรื่อยมา ประทั่งปี พ.ศ.2547 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาชื่อว่า "วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว"

ปัจจุบันวัดภูพร้าว เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสิ่งที่โดดเดี่นคือ ภาพเรืองแสงของประติมากรรมต้นกัลปพฤกษ์ที่ติดอยู่ผนังหลังโบสถ์ ซึ่งจะปรากฎสีเขียวเรืองแสงเมื่อยามค่ำคืนเท่านั้น และลวดลายเรืองแสงที่อยู่รอบๆโบสถ์ สร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

Voravud Santiraveewan

 วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.13 น.

ความคิดเห็น