หลังจากออกจากตูบน้ำปัว แคมป์ปิ้ง เราก็มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เพื่อจะไปเที่ยวบ่อเกลือ-สะปัน

ระหว่างทางช่วงเนินเขา ก็มีร้านกาแฟกิน ร้านอาหาร ให้แวะชมวิว ที่ ระหว่างทาง คาเฟ่ (Rawangtang Cafe) กับอีกหนึ่งบรรยากาศสวยๆ วิวภูเขา ที่มีน้ำตกไหลจากภูเขาลงมา มีเครื่องดื่ม และอาหารจำหน่าย พร้อมมุมถ่ายสวยๆ หลายจุด ให้นักท่องเที่ยวได้แวะพักคน พักรถกัน ก่อนจะเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติดอยภูคา

ครั้งก่อนเมื่อ 2 ปีที่แล้วเราก็เดินทางมาพักที่นี่ครั้งที่มาเที่ยวน่าน แวะพักอุทยานแห่งชาติดอยภูคาวันธรรมดา ที่บ้านพักอุทยาน จะมีโปรโมชั่นลดราคา

อัตราค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ

ชาวไทย : ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท

ชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท

ครั้งนั้น อยู่ช่วงฤดูล่าทางช้างเผือก มีทางช้างเผือกให้ชมสวยๆ ทางเจ้าหน้าที่ก็ใจดีช่วยปิดไฟ ให้เราได้ชมทางช้างเผือกชัดๆ บริเวณบ้านพัก พอเช้าเราก็สามารถเดินทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ จุดชม 1715 พร้อมทะเลหมอกสวยๆ ยามเช้ากันได้

สำหรับจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามก็จะเป็นที่บ้านพักอุทยาน และลานดูดาว กับลานดูเดิอน

จุดเด่นของดอยภูคาอีกอย่างคือ ชมพูภูคา นับเป็นบ้านแห่งสุดท้ายของต้นชมพูภูคาพันธุ์ไม้หิมาลัย ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ชมพูภูคาจะผลิตอกสวยงาม จุดชมต้นชมพูภูคาที่เข้าถึงง่ายที่สุดอยู่ริมถนนนห่างจากที่ทำการไป ๕ กิโลเมตร

ครั้งนี้มาสำรวจจุดกางเต็นท์แทน ที่ลานดูเดือน ก็มีนักท่องเที่ยวมาพักหลายคนพอสมควร บางคนก็มาครอบครัวใหญ่พักอยู่หลายคืนแล้ว สถานที่กางเต็นท์กว้างขวาง แบ่งเป็นโซนของทางอุทยานเอง และของนักท่องเที่ยวที่นำเต็นท์มากางเอง ห้องน้ำสะอาด มีหลายจุดบริการ


แต่ช่วงนี้ทางช้างเผือกยังมีให้เห็นไม่ชัด และเคยพักที่นี่แล้ว เลยตัดสินใจขับต่อจะไปพักที่อุทยานแห่งชาติขุนน่าน แทนเพื่อจะได้เที่ยวสะปัน-บ่อเกลือ ต่อในเย็นนี้เลยดีกว่า

ระหว่างทางไปเลยมีโอกาสได้แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิว 1715 อีกครั้ง ครั้งนี้นักท่องเที่ยวเดินทางแวะมาถ่ายรูปกันมากมายเลยทีเดียว

เมื่อชมวิวเรียบร้อยก็เดินทางต่อชมวิว 2 ข้างทางเรื่อยๆ ไปหาที่พัก และกางเต็นท์นอนที่สะปัน ก่อน แต่คนค่อนข้างเยอะช่วงนี้เลยตัดสินใจวนกลับมากางเต็นท์นอนที่อุทยานขุนน่านแทน ซึ่งไม่ไกลจากสะปันมาก และยังไม่เคยพัก

เที่ยวไทยกับAn

 วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เวลา 17.10 น.

ความคิดเห็น