ผมมีโอกาสได้ไปนอนโรงแรมระดับหรูหราห้าดาวที่นานๆจะมีโอกาสสักที (เห็นราคาแล้วมือไม้มันสั่น) ทีนี้พอ The Athenee Hotel เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันเลยจับต้องง่ายขึ้น แถมมีแพคเกจดีๆแบบ Dine'cation เข้ามาอีกเลยตกลงปลงใจไม่ยาก         

          The Athenee Hotel a Luxury Collection อยู่ริมถนนวิทยุ จะเข้าจากถนนวิทยุก็ได้หรือจะเข้าจากซอยร่วมฤดีก็ได้ ถ้าขับรถมาก็วนลงไปจอดชั้นใต้ดินได้เลย เดินขึ้นมาจากที่จอดรถจะเจอโถงชั้น 1 ซึ่งผมว่าสวยมากๆ ตกแต่งแบบไทยร่วมสมัย ถึงจะไม่ดูโมเดิร์นแต่ได้ความอลังการ บันได้ที่แยกชึ้นฝั่งซ้ายและขวานี่ดูแกรนด์ดีจริงๆ

          เข้า Check In ตั้งแต่ยังไม่ 10 โมงเช้า พนักงานเป็นกันเองและดูแลดีมากๆอธิบายสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายในโรงแรม แพ็คเกจที่ผมเลือกคราวนี้คือ Dine'cation ซึ่งรายละเอียดในแพ็คเกจคือห้องพักราคา 4,800 บาท ไม่รวมอาหารเช้า ได้ Hotel credit สำหรับทานอาหาร 4,800 บาทใช้ได้ทุกมื้อ ซึ่งจะใช้สำหรับอาหารเช้าก็ได้ ราคาท่านละ 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นสมาชิก Mariott Bon Voy จะมีสิทธิซื้ออาหารเช้าได้ในราคาท่านแรก 600 บาทและท่านที่ 2 เพิ่มอีกแค่ 1 บาท

          ดังนั้นเมื่อหักเราเที่ยวด้วยกันราคาค่าห้องจะเหลือแค่ 2 พันกว่าบาทเมื่อรวมกับราคาอาหารเช้าที่จ่ายเพิ่มก็แค่ประมาณ 3 พันบาทเท่านั้น ได้ Hotel credit 4,800 บาท คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

          ห้องพักของผมวันนี้เป็นห้อง Athenee Guest Room ตกแต่งแบบไทย-โคโลเนียล ออกไปทางหรูหราคลาสสิกมากกว่าความทันสมัย ผมชอบรายละเอียดการตกแต่งของห้อง เช่น ลายบนม่าน ลายฉลุกริลปิดช่องแอร์ มันทำให้ห้องดูกลมกลืนกัน หน้าต่างบานไม่ได้ใหญ่โตแบบพื้นจรดเพดานแต่ก็ใหญ่โตพอที่ห้องจะไม่มืดเกินไป แต่รู้สึกว่ากระจกน่าจะติดฟีล์มเพราะมองออกไปข้างนอกเหมือนฟ้าตุ่นๆตลอดเวลา วิวจากในห้องที่ผมพักเป็นตึก Park Venture แบบเต็มๆ จะเรียกว่าไม่มีวิวอะไรให้ดูก็ได้ครับ สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักครบถ้วนตามระดับและมาตรฐานของโรงแรม มีโต๊ะทำงานและเดย์เบดให้นั่งๆนอนๆพักผ่อน

          หน้าประตูห้องเป็นตู้เสื้อผ้าและตรงข้ามเป็นห้องน้ำ ขนาดของห้องน้ำไม่ได้ใหญ่โตกว้างขวางเหลือเฟือแต่ก็เพียงพอต่อการใช้งาน โถสุขภัณฑ์มาพร้อมกับสายชำระ มีอ่างอาบน้ำและshower box ให้เลือกตามความชอบ เครื่องใช้สำหรับการอาบน้ำเป็นของ THANN กลิ่นหอมใช้ได้เลยครับ นอกจากนี้โรงแรมยังมีหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอลล้างมือเตรียมไว้ให้ด้วย และที่นี่มีกิจกรรมให้ทำมากมายเลยครับ บางอย่างมีค่าใช้จ่าย บางอย่างอาจจะต้องจองล่วงหน้า ดูรายละเอียดได้จากตารางนี้เลยครับ

          เก็บของเรียบร้อยก็เกือบเที่ยง...ไปใช้เครดิตโรงแรมดีกว่า The Athenee Hotel มีห้องอาหารเปิดให้บริการเยอะมากครับ ทั้งไทย จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น นานาชาติ เลือกทานได้ตามชอบ ร้านอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศสจะอยู่ชั้นเดียวกันที่ชั้น 3 ขึ้นลิฟท์มาแล้วก็เลือกตามชอบได้เลย ผมเลือกร้าน The House of Smooth Curry ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยสำหรับมื้อเที่ยงวันนี้ครับ

          ด้านในตกแต่งแบบไทยเลยครับ มีของเก่าๆประดับไว้หลายชิ้นอยู่ ที่นั่งมีให้เลือกทั้งแบบในอาคารและนอกอาคารถ้าอากาศดีๆไปนั่งด้านนอกก็ไม่เลวครับ...แต่วันนี้ร้อนๆอบๆ นั่งข้างในนี้แล้วกัน

          พนักงานนำรายการอาหารมาให้ดู...เป็นอาหารไทยโบราณ บางรายการก็ประยุกต์กับวัตถุดิบจากต่างประเทศ ที่ชอบคือวัตถุดิบบางอย่างระบุที่มาในชื่ออาหารเลยเช่น กุ้งแม่น้ำจากอยุธยา หมูจากนครปฐม เนื้อโคราชวากิว

          สั่งอาหารเสร็จพนักงานนำน้ำกระเจี๊ยบมาเป็นให้ดื่มเรียกน้ำย่อย...ดื่มปุ๊บน้ำลายแตก น่าจะเป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำลายมากกว่า หลังจากนั้นนำข้าวเกรียบมาเสิรฟ น้ำจิ้มเป็นน้ำพริกเผาผสมน้ำจิ้มไก่ อร่อยแปลกลิ้นดี ข้าวเกรียบกรอบไม่หืนทานเพลินจริงๆครับ

          รายการอาหารเที่ยงวันนี้ประกอบด้วย ยำส้มโอกุ้งแม่น้ำอยุธยา ช่อม่วงปลาช่อนนา ต้มกะทิสายบัวกุ้งแม่น้ำอยุธยา แล้วก็เครื่องดื่ม ยำส้มโอรสชาติออกเปรี้ยวนำกลิ่นมะพร้าวเผาหอมๆ กุ้งแม่น้ำเผามาค่อนข้างดีเนื้อยังเด้งไม่แห้ง ส่วนตัวผมถ้าส้มโอหวานกว่านี้อีกนิดจะถูกปากเลยครับ ส่วนช่อม่วงปลาช่อนนา ไส้รสชาติเหมือนสาคูที่เปลี่ยนเป็นปลา ทานง่ายเด็กๆก็ทานได้ ต้มกะทิสายบัวกุ้งแม่น้ำออกแนวนวลๆกลางๆ ส่วนตัวคิดว่าเค็มได้อีกนิดหนึ่ง มีกุ้งอยู่ 2 ตัว ทาน 2 คนก็หารลงตัวพอดี

          พนักงานมาแนะนำของหวานเลยสั่งส้มซ่ากับข้าวเหนียวมะม่วงไป ส้มซ่าเปรี้ยวๆหวานๆชื่นใจเป็นที่สุด ใส่น้ำแข็งเพิ่มให้ความเย็นจะสดชื่นขึ้นอีก ส่วนข้าวเหนียวมะม่วงตัวมะม่วงผมว่าเปรี้ยวไปนิด ส่วนข้าวเหนียวกับน้ำกะทิหอมดีครับน้ำกะทิก็ข้นมาก

          ข้ามไปมื้อเย็นเลย เนื่องจากยังอิ่มจากมื้อกลางวันเลยสั่งอะไรง่ายๆมาทาน แค่สปาเก็ตตี้กับสลัดผัก รสชาติอาหารทั้ง 2 อย่างกลางๆครับทานได้แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากมาย ปริมาณที่ให้มาเยอะทีเดียวครับ

          เช้าวันต่อมาลงไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร Rain Tree Cafe ซึ่งนอกจากบริการอาหารเช้าแล้วก็ยังบริการอาหารมื้ออื่นๆแบบ All day dining ด้วย ไลน์อาหารไม่เต็มพื้นที่แบบครั้งล่าสุดที่ไปทาน(หลายปีมาแล้ว)...อาจจะเนื่องจากภาวะโควิด-19 แต่ก็ถือว่ามีให้เลือกหลากหลายดีอยู่ครับ

          รายการอาหารบางอย่างสั่งกับพนักงานได้ หรือสามารถไปสั่งที่ station ต่างๆได้ น้ำผลไม้มีแบบสกัดเย็นให้เลือกด้วยนะครับ หลักๆจะมีแอปเปิ้ล สัปปะรด แตงโม ฝรั่ง ซึ่งจะสามารถ mix ได้ตามใจเลยครับเป็นน้ำผลไม้ที่สดสุดๆเลยครับ ไลน์อาหารคาว หวาน ไทย จีน ฝรั่งมีให้เลือกตามความพอใจ

          อาหารที่ถูกใจผมที่สุดคือไข่พะโล้ หอมเครื่องและน้ำค่อนข้างเข้มข้นทีเดียว หมูสามชั้นนุ่มมากละลายในปาก ไข่ฟองไม่ใหญ่โตไข่แดงเป็นยางมะตูมเล็กน้อย อร่อยเลยครับ ทานกับข้าวสวยนี่มันเข้ากันจริงๆ อาหารอื่นๆรสชาติดีครับแต่ไม่ถึงขนาดโดเด่น ทานข้าวเสร็จไปเดินย่อยที่สวนเสียหน่อยครับ

          ท้องอืดจากอาหารเช้าก็มาเดินย่อยเสียหน่อย สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกายและสวนของที่นี่ไม่ได้อยู่ชั้นที่สูงมากนักนะครับ แต่ก็สูงพอที่จะเห็นวิวสวยๆได้อยู่ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่พอที่จะว่ายออกกำลังกายได้เลย ความลึก 1.5 เมตรอาจจะลึกอยู่สำหรับเด็กๆ ผู้ปกครองคอยดูแลไว้ด้วยแล้วกันครับ รอบสระมีที่นั่งให้เลือกหลายมุมหลายแบบเลยครับ ห้องออกกำลังกายขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่เครื่องเล่นครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นคาร์ดิโอหรือเวทเทรนนิ่งก็ได้หมด

          ขณะที่กำลังเดินอยู่ก็เห็นแขกบางท่านพาสุนัขตัวเล็กๆมาเดินเล่น...ที่นี่สุนัขเข้าพักด้วยได้นะครับแต่น่าจะต้องเป็นสุนัขพันธุ์เล็กยังไงสอบถามกับพนักงานอีกทีนะครับ

          มาถึงมื้อสุดท้ายแล้วครับ เลือกทานเป็นอาหารจีนที่ห้องอาหาร Silk Road ที่ชั้น 3 เหมือนเดิม ร้านนี้ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์อาจจะต้องจองนะครับ เห็นพนักงานบอกว่าคนเยอะทีเดียว เข้ามานั่งปุ๊บพนักงานนำถุงมาให้ก็สงสัยว่าถุงอะไร สรุปว่าเป็นถุงสำหรับใส่หน้ากากอนามัย...ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆดีครับ

          พนักงานนำเครื่องเคียงมาให้ทานเล่นไปก่อน มีถั่ววาซาบิแล้วก็หัวไชเท้าแช่อยู่ในอะไรซักอย่าง คีบเข้าปากหัวไชเท้าอร่อยถูกปากมากครับ เนื้อหัวไชเท้ากรุบกรอบ ไม่หนาเกินไป น้ำซอสที่แช่อยู่รสชาติไม่คุ้นลิ้นแต่กลมกล่อมและอร่อยมาก เค็มนิดหวานหน่อย ถามพนักงานได้ความว่าเป็นน้ำดองสูตรพิเศษของเชฟ ถ้าอยากทานต้องมาทานที่นี่เท่านั้น...แต่เท่าที่ทานดูน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่ซีอิ๊วแน่ๆ น่าจะเป็นมิรินหรือเหล้าหวานบางอย่าง

          อาหารที่สั่งมาประกอบไปด้วย ขนมจีบกุ้งหางหงษ์ กุ้งคริสตัลปู หมูเปรี้ยวหวาน แล้วก็ ติ่มซำสามกษัตริย์ ประกอบไปด้วย ฮะเก่าไข่ปลาคาร์เวีย ขนมจีบเป่าฮื้อ กรรเชียงปูนึ่งผงกะหรี่

          รายการอาหารที่เป็นติ่มซำนี่ชิ้นใหญ่มากครับ เนื้อแน่นและหนักมาก ขนมจีบกุ้งเนื้อแน่นทานคำเดียวไม่หมดแน่นอน กุ้งคริสตัลปูก็เนื้อปูค่อนข้างเยอะทีเดียว ขนมจีบเป่าฮื้อได้ความหอม นุ่ม หนึบของเป่าฮื้อ ส่วนจานที่ชอบที่สุดคือหมูเปรี้ยวหวาน หมูทอดมากรอบแต่ข้างในไม่แข็งยังคงความนุ่มอยู่ผัดแบบจีนที่ออกเปรี้ยวนำ หอม อร่อยมากๆครับ

ทานอาหารเสร็จก็ไปสั่งกาแฟดื่มสักหน่อยที่ร้าน The Bakery แล้วก็เช็คเอาท์จบการพักของผมวันนี้ รวมค่าอาหารที่ทานไปทั้งหมด 5,000 กว่าบาทแต่จ่ายจริงรวมค่าห้องพักแล้วแค่ 3000 กว่าบาทเรียกว่าคุ้มสุดๆ

      อีกอย่างที่ประทับใจที่นี่คือพนักงานครับ แทบทุกจุดที่มีพนักงานของโรงแรมจะบริการแบบสุภาพ เป็นกันเองมากๆ ทำให้การพักผ่อนที่นี่ไม่เกร็งหรือรู้สึกแปลกที่แปลกทางเลยครับ...ถ้ามีโอกาสผมจะกลับไปพักที่นี่อีกแน่นอนครับ สวัสดีครับ

Pratuneung

 วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 16.29 น.

ความคิดเห็น